แผนบริหารการสอนประจำบทที่ 2
วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม
- นักศึกษาสามารถอธิบายองค์ประกอบด้านฮาร์ดแวร์ได้
- นักศึกษาสามารถอธิบายองค์ประกอบด้านซอฟต์แวร์ได้
- นักศึกษาสามารถอธิบายองค์ประกอบทางด้านบุคลากรได้
- นักศึกษาสามารถอธิบายหน้าที่ของแต่ละองค์ประกอบได้
- นักศึกษาสามารถบอกอธิบายลักษณะของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่สำคัญได้
เนื้อหา
- องค์ประกอบด้านฮาร์ดแวร์
- องค์ประกอบด้านซอฟต์แวร์
- บทบาทและความสำคัญของบุคลากรคอมพิวเตอร์
- บทสรุป
- แบบฝึกหัดท้ายบท
วิธีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนประจำบท
- ศึกษาเอกสารประกอบการสอน
- บรรยาย
- ร่วมกันศึกษาและแสดงความคิดเห็นเป็นกลุ่ม
- นำเสนอหน้าชั้นเรียน
- นักศึกษาทำแบบฝึกหัดท้ายบท
- ประเมินผลและเฉลยแบบฝึกหัดท้ายบท
สื่อการเรียนการสอน
- เอกสารประกอบการสอน
- สไลด์ประกอบการสอน
- ใบงาน
- อินเทอร์เน็ต
- แบบฝึกหัดท้ายบท
การวัดผลและประเมินผล
- การตอบคำถามของนักศึกษา
- ผลสรุปการทำกิจกรรม
- ทดสอบจากแบบฝึกหัดท้ายบท
บทที่ 2
ระบบคอมพิวเตอร์
ตามปกติแล้ว ทุก ๆ สิ่งทุก ๆ อย่างถ้าเราสังเกตให้ดีจะพบว่าการทำงานของสิ่งนั้นจะสำเร็จบรรลุตามวัตถุประสงค์ได้ จะต้องประกอบกันหรือทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ อย่างเช่นร่างกายเรา ถ้าเรานึก หรือ คิด จะทำสิ่งใดหรือ อะไรสักอย่าง จะต้องเกิด กระบวนการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ เช่น ถ้าเรานึกอยากจะไปซื้อของสักอย่าง หนึ่ง อันดับแรกเราต้องใช้สมองค้นหาจากความจำซะก่อนว่าของสิ่งนั้นมีขายอยู่ที่ไหน พอนึกออกแล้ว สมองก็จะคิดต่อไปว่าจะไปโดยวิธีการใด มีเงินครบหรือยัง ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นสมองก็จะต้องคิดแก้ไปหา และจะต้องสั่งส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเราให้ขับเคลื่อนไมว่าจะเป็นแขน ขา หรือปาก เพื่อที่จะให้สิ่งที่เราต้องการนั้น สำเร็จไปได้อย่างลุล่วง
คอมพิวเตอร์ก็เช่นกันการที่จะทำงานใด ๆ นั้นจำเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่างเข้ามาทำงานร่วมกันเป็น “ระบบคอมพิวเตอร์ (Computer System)” จึงจะทำให้งานนั้นสามารถดำเนินไปได้ ซึ่งองค์ประกอบ เหล่านี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ คือ ฮาร์ดแวร์ (Hardware) ซอฟต์แวร์(Software) และบุคคลากร (People ware) ทุก ๆ ส่วนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน ต้องประกอบเข้าด้วยกัน ระบบคอมพิวเตอร์จึงจะทำงานได้ อย่างมีประสิทธิภาพ จะขาดส่วนใดส่วนหนึ่งมิได้
- ภาพที่ 2.1 แสดงองค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์
ที่มา : http://www.suwanpaiboon.ac.th/wbi/page/na3.htm
- ฮาร์ดแวร์
ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถึง ส่วนประกอบของตัวเครื่องที่เราสามารถจับต้องได้ เครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นอุปกรณ์ที่ประกอบขึ้นจากการทำงานประสานกันของแผงวงจร อุปกรณ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ซึ่งแต่ละส่วนถูกออกแบบมาให้ทำหน้าที่แตกต่างกัน เราเรียกอุปกรณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ว่า ฮาร์ดแวร์ (Hardware) ซึ่ง สามารถแบ่งออกเป็น 4 หน่วย คือ
- หน่วยรับข้อมล (Input Unit)
- หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit)
- หน่วยความจำ (Memory Unit)
- หน่วยแสดงผล (Output Unit)
- ภาพที่ 2.2 แสดงการทำงานของฮาร์ดแวร์ (Hardware)
ที่มา : www.pixabay.com
- หน่วยรับข้อมูล (Input Unit)
หน่วยรับข้อมูลจะทำหน้าที่รับคำสั่งและข้อมูลไปเก็บไว้ที่หน่วยความจำ เพื่อคอยการประมวลผล หน่วยรับข้อมูลอาจจะรับข้อมูลหรือคำสั่งได้จากอุปกรณ์หลายแบบ แตกต่างตามความเหมาะสมของงานแต่ละ ประเภท หน่วยรับข้อมูลสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
- แป้นพิมพ์ (Keyboard)
เป็นอุปกรณ์รับข้อมูลพื้นฐานที่ต้องมีในเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง จะรับข้อมูลจากการกด แป้น แล้วทำการเปลี่ยนเป็นรหัสสัญญาณทางไฟฟ้าเพื่อส่งเข้าไปในหน่วยประมวลผลของเครื่อง แป้นพิมพ์ ส่วนใหญ่จะถูกออกแบบแป้นเป็นกลุ่ม คือ
- แป้นอักขระ (Character Keys) การจัดวางตัวอักษรเหมือนแป้นบนเครื่องพิมพ์ดีด
- แป้นควบคุม (Control Keys) มีหน้าที่สั่งการคำสั่งพิเศษบางอย่าง โดยใช้งานร่วมกับแป้นอื่นแป้นฟังก์ชั่น (Function Keys) อยู่แถวบนสุด มีสัญลักษณ์เป็น F1 – F12 ซอฟต์แวร์แต่ ละชนิด อาจกำหนดแป้นเหล่านี้ให้มีหน้าที่เฉพาะอย่างแตกต่างกันไป
- แป้นตัวเลข (Numeric Keys) เป็นแป้นที่แยกจากแป้นอักขระมาอยู่ทางด้านขวา มี ลักษณะคล้ายเครื่องคิดเลข ช่วยอำนวยความสะดวกในการบันทึกตัวเลขเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์
- ภาพที่ 2.3 แป้นพิมพ์ (Keyboard)
ที่มา : www.pixabay.com
- เมาส์ (Mouse)
เมาส์เป็นอุปกรณ์นำเข้าข้อมูลอีกประเภทหนึ่งที่ให้ผู้ใช้ติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์แทน แป้นพิมพ์เพราะโปรแกรมที่ใช้งานในปัจจุบันส่วนใหญ่ถูกออกแบบให้สามารถทำงานร่วมกับเมาส์ได้ เพื่อเป็น การลดภาระที่ผู้ใช้ต้องพิมพ์คำสั่งต่าง ๆ ผ่านทางแป้นพิมพ์ ผู้ใช้เพียงแต่เลื่อนเมาส์ ที่จอภาพจะปรากฏเป็นลูกศร เรียกว่าตัวชี้เมาส์ (Mouse Pointer) เคลื่อนที่ไปมาบนจอภาพในทิศทางเดียวกันกับที่ผู้ใช้เมาส์ ออกไปเมื่อตัวชี้เมาส์เลื่อนออกไปอยู่ยังตำแหน่งที่ต้องการ ให้ผู้ใช้กดปุ่มด้านซ้ายที่อยู่บนตัวเมาส์ (คลิก) เพื่อ เลือกรายการนั้น ๆ ขึ้นมา
- ภาพที่ 2.4 เมาส์ (Mouse)
ที่มา : www.pixabay.com
- ตัวเลื่อนเมาส์พอยท์เตอร์แบบสัมผัส (Touching Pad)
เป็นอุปกรณ์นำเช้าข้อมูลที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในเครื่องคอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้ว (Notebook) ซึ่งใช้งานแทนเมาส์และแทร็กบอล มีลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ด้านล่างมีปุ่มอยู่ 2 ปุ่ม ทำ หน้าที่เหมือนกับปุ่มซ้ายและขวาของเมาส์ สามารถเลื่อนเมาส์พอยท์เตอร์ได้โดยการสัมผัสที่แผ่นสี่เหลี่ยม เมื่อผู้ใช้เลื่อนนิ้วที่สัมผัสไปมา จะเห็นว่าลูกศรที่เป็นเมาส์พอยท์เตอร์บนจอภาพเลื่อนตามในทิศทางของการเลื่อนนิ้วที่สัมผัสบนแผ่นสี่เหลี่ยมนั้น
- ภาพที่ 2.5 ทัชชิ่งแพด (Touching pad)
ที่มา : www.pixabay.com
- จอยสติก (Joystick)
เป็นก้านสำหรับใช้โยกขึ้นลง / ซ้ายขวา เพื่อย้ายตำแหน่งของตัวชี้ตำแหน่งบนจอภาพ มี หลักการทำงานเช่นเดียวกับเมาส์แต่ต่างกันตรงมีแป้นกดเพิ่มเติมมาจำนวนหนึ่งสำหรับสั่งงานพิเศษ นิยมใช้กับการเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์หรือควบคุมหุ่นยนต์
- ภาพที่ 2.6 จอยสติก (Joystick)
ที่มา : www.colourproduct.com.hk
- จอภาพระบบสัมผัส (Touch Screen)
เป็นจอภาพแบบพิเศษซึ่งผู้ใช้เพียงแตะปลายนิ้วลงบนจอภาพในตำแหน่งที่กำหนดไว้เพื่อเลือก การทำงานที่ต้องการ ซอฟต์แวร์ที่ใช้จะเป็นตัวค้นหาว่าผู้ใช้เลือกทางเลือกทางใด และทำงานให้ตามนั้น จอภาพระบบสัมผัสนี้ในปัจจุบันเป็นที่นิยมกันมาก ทั้งในคอมพิวเตอร์หิ้วกระเป๋า สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต
- ภาพที่ 2.7 จอระบบสัมผัส (Touch Screen)
ที่มา : www.pixabay.com
- สไตลัส (Stylus)
สไตลัสเป็นปากกาที่ใช้กับแท็บเล็ตและอุปกรณ์เคลื่อนที่ต่าง ๆ ซึ่งใช้แรงกดในการวาดภาบนหน้าจอ โดยสามารถใช้ร่วมกับซอฟต์แวร์รู้จำลายมือ (handwriting recognition software) เพื่อแปลงจากลายมือที่วาดหรือเขียนให้อยู่ในรูปแบบที่หน่วยระบบสามารถประมวลผลได้
- ภาพที่ 2.8
สไตลัส (Stylus)
ที่มา : www.tutorialbyte.com
- เครื่องอ่านภาพ (Scanner)
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้อ่านหรือสแกนข้อมูลบนเอกสารเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ใช้วิธีส่องแสงไปยัง วัตถุที่ต้องการสแกน แสงที่ส่องไปยังวัตถุแล้วสะท้อนกลับมาจะถูกส่งผ่านไปที่เซลล์ไวแสง (Charge-Coupled Device หรือ CCD) ซึ่งจะทำการตรวจจับความเข้มของแสงที่สะท้อนออกมาจากวัตถุและแปลงให้อยู่ในรูปของข้อมูลทางดิจิทัล เอกสารอาจจะประกอบด้วยข้อความหรือรูปภาพกราฟิกก็ได้ ปัจจุบันสแกนเนอร์ที่นิยมมากที่สุด คือ เครื่องสแกนเนอร์แบบแท่น ผู้ใช้เพียงวางกระดาษ ต้นฉบับที่ต้องการไปบนเครื่องสแกนเนอร์ มีวิธีการทำงานคล้ายกับเครื่องถ่ายเอกสาร ทำให้
ไช้งานได้ง่าย
- ภาพที่ 2.9 เครื่องอ่านภาพ (Scanner)
ที่มา : www. epson.com
- เครื่องอ่านเครื่องหมายด้วยแสง (Optical Mark Reader – OMR)
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้หลักการอ่านสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายที่ระบายด้วยดินสอดำลงในตำแหน่ง ที่กำหนด ตัวอย่างเช่น ข้อสอบแบบเลือกคำตอบ เป็นต้น โดยดินสอดำที่ใช้นั้นต้องมี สารแม่เหล็ก (Magnetic particle) จำนวนหนึ่ง เพื่อให้เครื่องโอเอ็มอาร์สามารถรับรู้ได้ ซึ่งปกติจะเป็นดินสอ 2B จากนั้น เครื่องโอเอ็มอาร์ก็จะอ่านข้อมูลตามเครื่องหมายที่มีการระบายด้วยดินสอดำ
- ภาพที่ 2.10 เครื่องอ่านเครื่องหมายด้วยแสง
ที่มา : www. microlab.com
- เครื่องอ่านแทบสี (Bar-Code Reader)
ทำหน้าที่อ่านรหัสที่มีลักษณะเป็นแถบสีขาวสลับดำ (Bar-code) ที่นิยมกันมากคือ UPC (Universal Product Code) เป็นรหัสที่ติดอยู่บนห่อสินค้าทั่วไปโดยเครื่องอ่านแถบสีจะทำการอ่านแถบรหัสบน สินค้าแล้วแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้าส่งไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อตรวจสอบราคาและปริมาณสินค้า สามารถแสดงยอดเงินรวมและทำการปรับปรุงรายการสินค้าคงเหลือได้พร้อม ๆ กัน ห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ นิยมใช้กันมาก จึงพบเห็นได้ทั่วไป
- ภาพที่ 2.11 เครื่องอ่านแถบสี
ที่มา : www.pixabay.com
- เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID readers)
เป็นเครื่องอ่านความถี่คลื่นวิทยุซึ่งจะอ่านข้อมูลจากไมโครชิปอาร์เอฟไอดีที่ฝังอยู่ในอุปกรณ์หรือสิ่งต่าง ๆ เช่น สินค้า ใบขับขี่ บัตรประชาชน เป็นต้น ในชิปอาร์เอฟไอดีจะมีการบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตัวอย่งการใช้งาน เช่น ข้อมูลรายละเอียดส่วนตัวในบัตรประจำตัวประชาชน ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าเพื่อติดตามกระบวนการผลิตหรือ การใช้เพื่อติดตามสัตว์เลี้ยงที่หายไป ใช้กับบัตรทางด่วนซึ่งจะหักเงินจกบัตรแทนการจ่ายเงินสด
- ภาพที่ 2.12
อุปกรณ์ที่ฝังไมโครชิปอาร์เอฟไอดี
ที่มา : www.identiv.com
- กล้องถ่ายภาพดิจิทัล (Digital Camera)
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับถ่ายภาพแบบไม่ต้องใช้ฟิล์ม ภาพที่ได้จะประกอบด้วยจุดเล็ก ๆ จำนวนมาก และสามารถนำเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์สแกนเนอร์อีก เป็น อุปกรณ์ที่เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเนื่องจากไม่ต้องใช้ฟิล์มในการถ่ายภาพและสามารถดูผลลัพธ์ได้ จากจอที่ติดอยู่กับกล้องได้ในทันที
- ภาพที่ 2.13 กล้องถ่ายภาพดิจิทัล
ที่มา : http://images.clipshrine.com
- อุปกรณ์รับข้อมูลเสียง (Voice Input Devices)
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ไมโครโฟน เป็นอุปกรณ์รับข้อมูลในรูปแบบเสียง โดยจะทำการแปลง สัญญาณเสียงเป็นสัญญาณดิจิทัลแล้วจึงส่งไปยังคอมพิวเตอร์
- ภาพที่ 2.14 อุปกรณ์รับข้อมูลเสียง
ที่มา : http://www.clker.com
- หน่วยประมวลผลกลาง (CPU : Central Processing Unit)
หน่วยประมวลผลกลาง จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางควบคุมการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งหมด โดยนำข้อมูลจากอุปกรณ์รับข้อมูลมาทำการประมวลผลข้อมูลตาม คำสั่งของโปรแกรมและส่งผลลัพธ์ที่ได้ออกไปที่หน่วยแสดงผลในรูปแบบที่ผู้ใช้เข้าใจ เช่น ทางกระดาษพิมพ์ หรือบันทึกไว้ที่สื่อบันทึกข้อมูล เช่น แผ่นบันทึก เทปแม่เหล็ก เพื่อนำมาใช้อีก หน่วยประมวลผลกลางสามารถทำการคำนวณและโยกย้ายข้อมูล หรือเปรียบเทียบข้อมูลได้อย่างรวดเร็วมาก
- ภาพที่ 2.15 หน่วยประมวลผลกลาง
ที่มา : www.pixabay.com
หน่วยประมวลผลกลางประกอบขึ้นมาจากวงจรอิเล็กทรอนิกส์อยู่ 2 ส่วนคือ
- หน่วยคำนวณและตรรกะ (Arithmetic and Logical สUnit : ALU)
หน่วยคำนวณตรรกะ ทำหน้าที่เหมือนกับเครื่องคำนวณอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยทำงาน เกี่ยวกับการคำนวณทางคณิตศาสตร์ เช่น บวก ลบ คูณ หาร อีกทั้งยังมีความสามารถอีกอย่างหนึ่งที่เครื่อง คำนวณธรรมดาไม่มี คือ ความสามารถในเชิงตรรกะศาสตร์ หมายถึง ความสามารถในการเปรียบเทียบตาม เงื่อนไข และกฎเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์ เพื่อให้ได้คำตอบออกมาว่าเงื่อนไขนั้นเป็น จริง หรือ เท็จ ได้
- ส่วนควบคุม (Control Unit)
หน่วยควบคุม ทำหน้าที่ควบคุมลำดับขั้นตอนการประมวลผล รวมไปถึงการประสานงานกับ อุปกรณ์นำเข้าข้อมูล อุปกรณ์แสดงผล และหน่วยความจำสำรองด้วย
- หน่วยความจำ (Memory Unit)
หน่วยความจำ เป็นที่เก็บโปรแกรม ข้อมูล และผลลัพธ์ไว้ภายในคอมพิวเตอร์หน่วยนี้รวมถึงสื่อข้อมูลที่ ช่วยในการจดจำ เช่น แผ่นบันทึก เป็นต้น โดยเปรียบเทียบหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ไห้กับความจำของ สมองคนซึ่งใช้การจดจำสิ่งต่าง ๆ และสื่อข้อมูลที่ช่วยในการจดจำเปรียบเทียบได้กับสมุดบันทึกซึ่งใช้ช่วยใน การจดจำเพิ่มเติมจากสมอง สำหรับหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์แบ่งไห้เป็น 2 ประเภทคือ
- หน่วยความจำหลัก (Primary Memory Unit)
หน่วยความจำหลักงานร่วมกับหน่วยประมวลผลกลางจะห้องให้หน่วยประมวลผลกลางนำ ข้อมูลมาเก็บหรือเรียกข้อมูลไปได้อย่างรวดเร็ว หน่วยความจำที่ทำงานร่วมกับหน่วยควบคุม (Control Unit) และหน่วยประมวลผลทางคณิตศาสตร์และตรรกะ (ALU) หน่วยความจำหลักจะอยู่ภายในตัวเครื่องและเป็น ส่วนที่จำเป็นห้องมีสำหรับคอมพิวเตอร์ โดยแบ่งเป็นส่วนสำคัญไห้ดังนี้
- แรม (RAM : Random Access Memory)
ใช้ในระบบคอมพิวเตอร์ ลักษณะเด่นคือสามารถเขียนข้อมูลลงไปและเรียกดูข้อมูลได้ แรมจะเก็บข้อมูลตราบเท่าที่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลหรือหากไฟฟ้าเลี้ยงวงจรขาดหายไป ข้อมูลที่เก็บไว้ก็จะสูญหายไป หน่วยความจำนี้เรียกว่า โวลาไทล์ (Volatile Memory) คือ เมื่อไฟดับข้อมูลที่มีอยู่นั้นจะสูญหายไป หรือเรียกว่า Read Write Memory หรือเรียกว่า หน่วยความจำชั่วคราว เราสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ
- DRAM (Dynamic Random Access Memory)
- ภาพที่ 2.16 DRAM
ที่มา : https://i.ytimg.com
DRAM เป็นชิปของหน่วยความจำที่นิยมใช้หน่วยความจำหลักในเครื่อง คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC: Personal Computer) มีเวลาในการเข้าถึงข้อมูลค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับ SRAM ข้อดีของ DRAM คือ มีความจุสูงมากและราคาไม่แพงหาซื้อได้ง่ายตามร้านจำหน่ายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
- SRAM (Static Random Access Memory)
- ภาพที่ 2.17 SRAM
ที่มา : http://3.bp.blogspot.com
SRAM เป็นชิปที่มีเวลาในการเช้าถึงข้อมูล ที่เร็วกว่า DRAM มาก SRAM มัก นำไปใช้ในหน่วยความจำแบบแคช (Cache Memory) เนื่องจากมีความเร็วสูงกว่า DRAM มาก ซึ่งใกล้เคียงกับ การทำงานของซีพียู ทำให้ไม่มีสภาวะรอคอยเกิดขึ้น แต่ SRAM จะมีราคาค่อนข้างสูง ความจุต่อชิปก็น้อยเมื่อ เทียบกับ DRAM
- รอม (ROM : Read Only Memory)
- ภาพที่ 2.18 ROM
ที่มา : www.howstuffworks.com
เป็นหน่วยความจำที่ได้รับการบรรจุข้อมูลไว้ภายในก่อนแล้ว โดยทั่วไปแล้วรอมจะถูกอ่านได้อย่างเดียวเท่านั้น โดยจะใช้เก็บคำสั่งที่ใช้อยู่เป็นประจำและคำสั่งเฉพาะ โปรแกรมที่อยู่ในรอมนี้จะอยู่อย่างถาวร แม้ว่าจะปิดเครื่องโปรแกรมก็จะไม่ถูกลบไป เรียกว่า นอน-โวลาไทล์ (Non-Volatile Memory) คือ ข้อมูลจะไม่หายเมื่อปิดเครื่อง ปัจจุบันหน่วยความจำหลักมีลักษณะเป็น ในหน่วยความจำหลักที่เป็นประเภทของ EEPROM (Electronic Erasable Programmable Read Only Memory) ซึ่งสามารถเขียนและลบโปรแกรมที่ถูกจัดเก็บภายในหน่วยความจำได้โดยการใช้กระแสไฟฟ้า
- หน่วยความจำสำรอง (Secondary Memory Unit)
เป็นหน่วยความจำที่ต้องอาศัยสื่อบันทึกข้อมูลและอุปกรณ์รับ-ส่งข้อมูลชนิดต่าง ๆ ได้แก่
- ฟล็อปปี้ดิสก์ (Floppy Disk)
เป็นแผ่นพลาสติกวงกลม ปัจจุบันมีขนาด 3.5 นิ้ว (วัดจากเส้นผ่านศูนย์กลางของ วงกลม) สามารถอ่านได้ด้วยดิสก์ไดร์ฟ โดยการอ่านมีหลักการทำงานคล้ายกับการเล่นซีดีเพลง ส่วนการบันทึก มีหลักการทำงานคล้ายกับการบันทึกเสียงลงในเทปบันทึกเสียง ต่างกันก็ตรงที่ผู้ใช้ไม่ต้องกดปุ่มใด ๆ เมื่อต้องการบันทึกข้อมูล เพราะโปรแกรมที่ใช้งานจะจัดการให้โดยอัตโนมัติ โดยจะมีแถบป้องกันการบันทึก (Write-protection) อยู่ด้วย ผู้ใช้สามารถเปิดแถบนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีการบันทึกข้อมูลอื่นทับไปหรือลบข้อมูลทิ้ง ปัจจุบันไม่นิยมใช้งานแล้ว แต่ฟล็อบปี้ดิสก์กลายเป็นรูปสัญลักษณ์ (Icon) ที่ใช้สื่อถึงการบันทึกข้อมูลในโปรแกรมต่าง ๆ
- ภาพที่ 2.19 ฟลอบปี้ดิสก์ (Floppy disk)
ที่มา : https://vistazomovil.files.wordpress.com/2013/09/imagen-diskettes.jpg
- ฮาร์ดดิสก์ (Hard disk)
ฮาร์ดดิสก์ทำมาจากแผ่นโลหะแข็ง สามารถเก็บข้อมูลได้มากและทำงานได้รวดเร็ว ฮาร์ดดิสก์ส่วนใหญ่จะถูกยึดติดอยู่ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่ ก็มีบางรุ่นที่เป็นแบบ เคลื่อนย้ายได้ (Removable disk) ฮาร์ดดิสก์ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน จะประกอบด้วยจานแม่เหล็กหลาย ๆ แผ่น และสามารถบันทึกข้อมูลได้ทั้งสองหน้าของผิวจานแม่เหล็ก โดยที่ทุกแทรก (Track) และเซกเตอร์ (Sector) ที่มีตำแหน่งตรงกันของฮาร์ดดิสก์ชุดหนึ่งจะเรียกว่า ไซลินเดอร์ (Cylinder)
แผ่นจานแม่เหล็กของฮาร์ดดิสก์นั้นหมุนเร็วมาก โดยที่หัวอ่านและบันทึกจะไม่สัมผัสกับผิวของแผ่น จานแม่เหล็ก ดังนั้นจึงอาจมีความผิดพลาดหรือเสียหายเกิดขึ้นได้ถ้ามีบางสิ่งบางอย่าง เช่น ฝุ่น ขวางหัวอ่านและบันทึก เพราะอาจทำให้หัวอ่านและบันทึกกระแทกกับผิวของแผ่นจานแม่เหล็ก การที่ฮาร์ดดิสก์มีประสิทธิภาพ และความจุที่สูง เนึ่องจากประกอบด้วยแผ่นจานแม่เหล็กจำนวนหลายแผ่นทำให้เก็บข้อมูลได้มากกว่า นอกจากนี้ฮาร์ดดิสก์จะหมุนด้วยความเร็วสูงมาก คือ ตั้งแต่ 7,200 รอบต่อนาที ทำให้สามารถอ่านข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว
การเชื่อมฮาร์ดดิสก์กับแผงวงจรหลักจะต้องมี ส่วนเชื่อมต่อฮาร์ดดิสก์ (Hard disk Interface) ซึ่งจะมีวงจรมาตรฐานที่ทั้งแผงวงจรหลักและฮาร์ดดิสก์รู้จัก ทำให้ข้อมูลสามารถส่งผ่านระหว่างแผงวงจรหลักและฮาร์ดดิสก์ได้ มาตรฐานส่วนเชื่อมต่อฮาร์ดดิสก์ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน คือ SATA (Serial ATA), EIDE (Enhanced Integrated Drive Electronics) และ SCSI (Small Computer System Interface)
- ภาพที่ 2.20 ฮาร์ดดิสก์ (Hard disk)
ที่มา : www.wikimedia.org
- ภาพที่ 2.21 ฮาร์ดดิสก์แบบพกพก (External Hard disk)
ที่มา : www.pixabay.com
- โซลิดสเตตไดร์ฟ (Solid State Drive หรือ SSD)
เป็นใช้ชิปวงจรรวมที่ประกอบเป็นหน่วยความจำเก็บข้อมูล :ซึ่งถูกสร้างมาเพื่อทดแทนการใช้งานจานแม่เหล็กในฮาร์ดดิสก์แบบเดิม ด้วยการใช้ชิปวงจรรวมนี้ส่งผลให้ความเสียหายจากแรงกระแทกของโซลิดสเตตนั้นน้อยกว่าฮาร์ดดิสก์ การที่โซลิดสเตตไม่ใช้วิธีการอ่านข้อมูลด้วยวิธีหมุนจานแม่เหล็กทำให้อุปกรณ์ชนิดนี้กินไฟน้อยกว่าเดิม นอกจากนั้นเวลาในการเข้าถึงข้อมูลยังเร็วขึ้นอีกด้วย เนื่องจากสามารถเข้าถึงข้อมูลในตำแหน่งต่าง ๆ ได้ทันที ด้วยขนาดที่เล็กและเบาลงมากกว่าฮาร์ดดิสก์ส่งผลให้ในปัจจุบันโซลิดสเตตถูกนำไปเป็นชิ้นส่วนของเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา สมาร์ทโฟน แท๊บเล็ต เป็นต้น
- ภาพที่ 2.22 โซลิดสเตตไดร์ฟ (Solid State Drive)
ที่มา : http://www.versiondaily.com
- ซีดี-รอม (CD-ROM หรือ Compact Disk Read Only Memory)
แผ่นซีดีรอมจะมีลักษณะคล้ายซีดีเพลง สามารถเก็บข้อมูลได้สูงถึง 700 เมกะไบต์ ต่อแผ่น การใช้งานแผ่นซีดีรอมต้องใช้ร่วมกับซีดีรอมไดร์ฟ (CD-ROM Drive) ซึ่งจะมีหลายชนิดขึ้นกับความเร็วในการทำงาน ซีดีรอมไดร์ฟรุ่นแรกสุดนั้นมีความเร็วในการอ่านข้อมูลที่ 150 กิโลไบต์ต่อ วินาที เรียกว่ามีความเร็ว 1 เท่าหรือ 1 X ซีดีรอมไดร์ฟรุ่นหลัง ๆ จะอ้างอิงความเร็วในการอ่านข้อมูลจากรุ่นแรก เช่น ความเร็ว 2 เท่า (2x) 5 ความเร็ว 4 เท่า (4x) เป็นต้น แต่ปัจจุบันนี้ ซีดีรอมไดร์ฟที่จะมีความเร็วตั้งแต่สิบเท่าขึ้นไป
ซีดีรอมได้รับความนิยมใช้เป็นสื่อเก็บข้อมูลสำหรับอ่านอย่างเดียวเป็นอย่างมาก เช่น ซอฟต์แวร์ เกมส์ แผนที่โลก หนังสือ ภาพยนตร์ เป็นต้น
ในปัจจุบันนี้มีแผ่นซีดีรอมที่สามารถบันทึกและอ่านข้อมูลได้ เรียกว่า ซีดีอาร์ (CD-R หรือ CD Recordable) ซึ่งสามารถนำซีดีรอมไดร์ฟชนิดใดก็ได้อ่านข้อมูลไนแผ่นซีดี โดยการบันทึกข้อมูลลงบนแผ่นซีดี อาร์สามารถเก็บข้อมูลได้ประมาณ 700 เมกะไบต์ในหนึ่งแผ่น
- ภาพที่ 2.23 ซีดีรอม CD-ROM
ที่มา : http://www.webrecovery.it
- ดีวีดี (DVD หรือ Digital Versatile Disk)
เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน โดยแผ่นดีวีดีสามารถ เก็บข้อมูลได้ตํ่าสุดที่ 4.7 จิกะไบต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับเก็บภาพยนตร์เต็มเรื่องด้วยคุณภาพระดับสูงสุดทั้งภาพ และเสียง (ในขณะที่ CD-ROM หรือ Laser Disk ที่นิยมใช้เก็บภาพยนตร์ในปัจจุบันต้องใช้หลายแผ่น) ทำให้ดีวีดีมีความนิยมใช้งานอย่างแพร่หลายแทนที่ซีดีรอม
ข้อกำหนดของดีวีดีจะสามารถมีความจุได้ตั้งแต่ 4.7 GB ถึง 17 GB และมีความเร็วในการเข้าถึง (Access time) อยู่ที่ 600 กิโลไบต์ต่อวินาที ถึง 1.3 เมกะไบต์ต่อวินาที รวมทั้งสามารถอ่านแผ่นซีดีรอมแบบเก่า ได้ด้วย
- ภาพที่ 2.24 ดีวีดี (DVD)
ที่มา : www.pixabay.com
- เทปแม่เหล็ก (Magnetic Tape)
เป็นหน่วยเก็บข้อมูลที่ใช้กันมานาน ปัจจุบันได้รับความนิยมน้อยลง เทปแม่เหล็กมี หลักการทำงานคล้ายเทปบันทึกเสียง ในเครื่องเมนเฟรมเทปที่ใช้จะเป็นแบบม้วนเทป (Reel-to-reel) ซึ่งเป็นวงล้อขนาดใหญ่ ในเครื่องมินิคอมพิวเตอร์จะใช้คาร์ทริดจ์เทป (Cartridge tape) ซึ่งมีลักษณะคล้ายวิดีโอเทป ส่วน ในเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์จะใช้ตลับเทป (Cassette tape) ซึ่งมีลักษณะเหมือนเทปเพลง เทปทุกชนิดที่กล่าวมามีหลักการทำงานคล้ายกับเทปบันทึกเสียง คือจะอ่านข้อมูลตามลำดับก่อนหลังตามที่ได้บันทึกไว้ เรียกหลักการนี้ว่าการอ่านข้อมูลแบบลำดับ (Sequential access) จึงเป็นข้อเสียของการใช้เทปแม่เหล็กบันทึกข้อมูล คือทำให้อ่านข้อมูลได้ช้า เนื่องจากต้องอ่านข้อมูลในม้วนเทปไปเรื่อย ๆ จนถึงตำแหน่งที่ต้องการ ผู้ใช้จึงนิยมนำเทปแม่เหล็กมาสำรองข้อมูลเท่านั้น ใช้กับข้อมูลที่สำคัญและไม่ถูกเรียกใช้บ่อย ๆ เพื่อป้องกันการสูญหายของข้อมูล
ข้อดีของเทปแม่เหล็กคือสามารถบันทึก อ่านและลบกี่ครั้งก็ได้ รวมทั้งมีราคาตํ่า นอกจากนี้ยังสามารถ บันทึกข้อมูลจำนวนมาก ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ในลื่อที่มีขนาดใหญ่มากนัก ความจุของเทปแม่เหล็กจะมีหน่วยเป็น ไบต์ต่อนิ้ว (Byte per inch) หรือ บีพีไอ (bpi) ซึ่งหมายถึงจำนวนตัวอักษรที่เก็บได้ในเทปยาวหนึ่งนิ้ว หรือเรียก ได้อีกอย่างว่าความหนาแน่นของเทปแม่เหล็ก
- ภาพที่ 2.25
เทปแม่เหล็ก (Magnetic Tape)
ที่มา : www.pixabay.com
- รีมูฟเอเบิลไดร์ฟ (Removable Drive)
เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่ไม่ต้องมีตัวขับเคลื่อน (Drive) สามารถพกพาไปไหนได้โดย ต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย Port USB ปัจจุบันความจุมีตั้งแต่ 4, 16, 32, 64, 128 กิกะไบต์ และขยายจนถึง 1 เทอราไบต์ ทั้งนี้ ยังมีไดร์ฟลักษณะเดียวกันเรียกในชื่ออื่น ๆ เช่น Pen Drive, Thump Drive, Flash Drive, Handy Drive เป็นต้น
- ภาพที่ 2.26 รีมูฟเอเบิลไดร์ฟ (Removable Drive)
ที่มา : http://media.trusper.net
- การ์ดเมมโมรี (Memory Card)
เป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลที่มีขนาดเล็ก พัฒนาขึ้น เพื่อนำไปใช้กับอุปกรณ์เทคโนโลยี แบบต่าง ๆ เช่น กล้องดิจิทัล คอมพิวเตอร์มือถือ (Personal Data Assistant –
PDA) โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น
- ภาพที่ 2.27 การ์ดเมมโมรี (Memory Card)
ที่มา : www.freesoftwaresclub.com
- หน่วยแสดงผล
หน่วยแสดงผลทำหน้าที่แสดงผลจากการประมวลผล โดยนำผลที่ได้ออกมาจากหน่วยความจำหลักแสดงให้ผู้ใช้ได้ ทั้งในรูปแบบแสดงผลทางจอภาพหรือในรูปแบบของการบันทึกลงสื่อบันทึก ข้อมูลเราเรียกอุปกรณ์นี้ว่า อุปกรณ์แสดงผล (Output Device)
จะเห็นได้ว่าอุปกรณ์บางอย่างเป็นได้ทั้งอุปกรณ์รับข้อมูลและแสดงผลซึ่งเรียกว่า Input/output Device อุปกรณ์เหล่านี้ได้แก่ เครื่องขับแผ่นบันทึกข้อมูล (Diskette) ฮาร์ดดิสก์ (Hard disk) เป็นต้น โดยจะ เรียกอุปกรณ์เหล่านี้ตามหน้าที่ในขณะที่ทำงานร่วมกับหน่วยความจำหลัก คือ ถ้าเป็นการนำข้อมูลเข้ามา หน่วยความจำหลัก ก็จะเรียกอุปกรณ์นี้เป็น อุปกรณ์รับข้อมูล แต่ถ้าเป็นการนำข้อมูลออกจากหน่วยความจำ หลักก็จะเรียกอุปกรณ์แสดงผล ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- อุปกรณ์ที่ใช้แสดงผลลัพธ์ชั่วคราว
หมายถึง อุปกรณ์ที่ให้ผลลัพธ์แก่ผู้ใช้ในระยะเวลาหนึ่ง ไม่สามารถเก็บไว้เป็นหลักฐานได้ เช่น จอภาพ เป็นต้น อุปกรณ์แสดงผลทั่วไปที่นิยมใช้มีรายละเอียดดังนี้
- คอมพิวเตอร์จอภาพ (Monitor)
ใช้แสดงข้อมูลหรือผลลัพธ์ให้ผู้ใช้เห็นได้ทันที มีรูปร่างคล้ายจอภาพของโทรทัศน์ บนจอภาพประกอบด้วยจุดจำนวนมากมาย เรียกจุดเหล่านั้นว่า พิกเซล (Pixel) ถ้ามีพิกเซลจำนวนมากก็จะทำให้ผู้ใช้มองเห็นภาพบนจอได้ชัดเจนมากขึ้น แบ่งได้เป็นสองประเภท คือ
จอซีอาร์ที (Cathode Ray Tube) นิยมใช้กับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ส่วนมากในปัจจุบัน ใช้หลักการยิงแสงผ่านหลอดภาพคล้ายกับโทรทัศน์ ปัจจุบันไม่ได้รับความนิยมแล้ว
จอแอลซีดี (Liquid Crystal Display) นิยมใช้เป็นจอภาพของเครื่อง คอมพิวเตอร์แบบพกพาทำให้เป็นจอภาพที่มีความหนาไม่มาก มีน้ำหนักเบาและกินไฟน้อยกว่าจอภาพซีอาร์ที แต่มีราคาสูงกว่า เทคโนโลยีจอแอลซีดีในปัจจุบันจะมีสองแบบคือ Passive Matrix ซึ่งมีราคาตํ่าแต่ขาดความคมชัดและอาจมองไม่เห็นภาพเมื่อผู้ใช้มองจากบางมุม ส่วน Active Matrix หรือบางครั้งอาจเรียกว่า Thin Film Transistor (TFT) จะให้ภาพที่คมขัดกว่าแต่จะมีราคาสูงกว่ามากซึ่งจะมีจอภาพอยู่หลายชนิดให้เลือก โดยแตกต่างกันใน ส่วนของ ความละเอียด (Resolution) จำนวนสี (Color) และขนาดของจอภาพ (Size)
ในส่วนความละเอียดของจอภาพ ในปัจจุบันจะนิยมใช้จอภาพชนิดสีแบบ ซูเปอร์วีจีเอ (Super VGA) ซึ่งมีความละเอียด 800×600 พิกเซล สำหรับจอภาพที่มีความละเอียดตํ่า (Low resolution) และสำหรับจอภาพที่มี ความละเอียดสูง จะนิยมใช้ความละเอียดที่ 1024×768,1280×1024 หรือ 1600×1200 พิกเซล ซึ่งจะให้ความ คมชัดที่สูงมาก สิ่งที่เป็นปัจจัยอีกอันหนึ่งที่ทำให้ภาพดูคมชัดมากขึ้นถึงแม้ว่าจะมีจำนวนพิกเซลเท่ากัน ก็คือ ระยะห่างระหว่างพิกเซล (Dot pitch) โดยระยะห่างระหว่างพิกเซลน้อยก็จะให้ความละเอียดได้มากกว่า จอภาพ ที่มีขายในท้องตลาดปัจจุบันมีระยะห่างระหว่างพิกเซลอยู่ระหว่าง 0.21-0.28 หน่วย ซึ่งระยะห่างระหว่างพิกเซล นี้เป็นสิ่งที่ติดมากับเครื่องไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ปัจจุบันนี้ผู้ใช้มักจะแสดงภาพกราฟิก ภาพจากโทรทัศน์ ภาพเคลื่อนไหว บนจอภาพคอมพิวเตอร์ จึง ต้องการจอภาพที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น จอภาพที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีขนาด 15 นิ้ว และ 17 นิ้ว ส่วนจอภาพซึ่งมี ขนาดใหญ่กว่านี้จะนิยมใช้กับงานที่เน้นกราฟิก เช่น งานออกแบบ (CAD) เป็นต้น
การต่อจอภาพเข้ากับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์นั้นจะต้องมี แผงวงจรกราฟิก (Graphic Adapter Board) ซึ่งจอภาพแต่ละชนิดก็ต้องการแผงวงจรที่ต่างกัน แผงวงจรกราฟิกจะถูกเสียบเช้ากับ ช่องขยายเพิ่มเติม (Expansion slot) ในคอมพิวเตอร์ แผงวงจรกราฟิกมักจะมีหน่วยความจำเฉพาะที่เรียกว่า หน่วยความจำวิดีโอ (Video memory) เพื่อให้ใช้โปรแกรมด้านกราฟิกได้สวยงามและรวดเร็ว
สิ่งที่เป็นปัจจัยข้อหนึ่งที่ผู้ใช้จอภาพต้องคำนึงคือ อัตราการเปลี่ยนภาพ (Refresh Rate) ของการ์ดวิดีโอ โดยภาพที่แสดงบนจอภาพแต่ละภาพนั้นจะถูกลบและแสดงภาพใหม่เริ่มจากบนลงล่าง หากอัตราการเปลี่ยน ภาพในแนวดิ่ง (Vertical-refresh rate) เป็น 60 ครั้งต่อวินาที หรือ 60 Hz จะเกิดการกระพริบทำให้ผู้ใช้ปวดศีรษะ ได้ มีผู้วิจัยพบว่าอัตราเปลี่ยนภาพ
ในแนวดิ่งไม่ควรตํ่ากว่า 70 Hz จึงจะไม่เกิดการกระพริบ และทำให้ผู้ใช้ดูจอภาพได้อย่างสบายตา
- ภาพที่ 2.28 จอภาพคอมพิวเตอร์ (Monitor)
ที่มา : www.pixabay.com
- อุปกรณ์ฉายภาพ (Projector)
เป็นอุปกรณ์ที่นิยมใช้ในการเรียนการสอนหรือการประชุม เนื่องจากสามารถนำเสนอข้อมูลให้ผู้ชมจำนวนมากเห็นพร้อม ๆ กัน ในปัจจุบันจะมีอยู่หลายแบบ ทั้งที่สามารถต่อสัญญาณจากคอมพิวเตอร์โดยตรง หรือใช้อุปกรณ์พิเศษในการวางลงบนเครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ (Overhead Projector) ธรรมดา เหมือนกับอุปกรณ์นั้นเป็นแผ่นใส่แผ่นหนึ่ง
อุปกรณ์ฉายภาพจะมีข้อแตกต่างกันมากในเรื่องของกำลังส่องสว่าง เนื่องจากยิ่งมีกำลังส่องสว่างสูง ภาพที่ได้ก็จะชัดเจนมากขึ้น กำลังส่องสว่างมีหน่วยวัดค่าอยู่ 3 แบบ คือ LUX, LUMEN และ ANSI LUMEN โดยการวัดค่าแบบ LUX จะวัดค่าความสว่างที่จุดกึ่งกลางของภาพ จึงได้ค่าความสว่างสูงที่สุดเมื่อ เทียบกับอีก 2 แบบ การวัดแบบ LUMEN จะแบ่งภาพออกเป็น 3 ส่วน คือ บน กลางและล่าง และแต่ละส่วนจะถูกแบ่งออกเป็น 3 จุด คือ ริมซ้าย กลาง และริมขวา รวมจุดภาพทั้งหมด 9 จุด แล้วจึงใช้ค่าเฉลี่ยของความสว่างทั้ง 9 จุดคิดออกมาเป็นค่า LUMEN ส่วนการวัดแบบ ANSI LUMEN จะมีมาตรฐานสูงสุด โดยใช้วิธีเดียวกับ LUMEN แต่จะกำหนดขนาดจอภาพไว้คงที่คือ 40 นิ้ว (หากไม่กำหนด การวัดค่าความสว่างจะสูงขึ้นเมื่อจอภาพ มีขนาดเล็กลง)
- ภาพที่ 2.29 อุปกรณ์ฉายภาพ (Projector)
ที่มา : www. http://wuji-zentrum.de/
- อุปกรณ์เสียง (Audio Output)
คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ ๆ มักจะมีหน่วยแสดงเสียง ซึ่งประกอบขึ้นจาก ลำโพง (Speaker) และ การ์ดเสียง (Sound card) เพื่อให้ผู้ใช้สามารถฟังเพลง เสียงภาพยนต์ หรือให้เครื่องคอมพิวเตอร์ รายงานเป็นเสียงให้ทราบเมื่อเกิดปัญหาต่าง ๆ เช่น ไม่มีกระดาษในเครื่องพิมพ์ เป็นต้น รวมทั้ง สามารถเล่นเกมส์ที่มีเสียงประกอบได้อย่างสนุกสนาน โดยลำโพงจะมีหน้าที่ในการแปลงสัญญาณจากคอมพิวเตอร์ให้เป็น เสียงเช่นเดียวกับลำโพงวิทยุส่วนการ์ดเสียงจะเป็นแผงวงจรเพิ่มเติมที่นำมาเสียงกับช่องเสียบขยายในเมนบอร์ด เพื่อช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถส่งสัญญาณเสียงผ่านลำโพง รวมทั้งสามารถต่อไมโครโฟนเข้ามาที่การ์ดเพื่อ บันทึกเสียงเก็บไว้ด้วยเทคโนโลยีด้านเสียงในขณะนี้อาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
- Waveform Audio หรืออาจเรียกว่า digital audio
เป็นเทคโนโลยีที่เปรียบเสมือนการเก็บเสียงลงเทปเพลง แต่ในที่นี้จะเป็นการบันทึกเสียงลงในรูปของแฟ้มข้อมูลตามฟอร์แมต ต่าง ๆ เช่น .WAV .MP3 เป็นต้น ซึ่งสามารถนำเสียงที่บันทึกไว้นี้อ่านกลับมาเป็นคลื่นเสียงออกทางลำโพงได้ และเนื่องจากข้อมูลเสียงที่เก็บไว้อยู่ในรูปของดิจิทัล ทำให้การปรับแต่งเสียงสามารถทำได้โดยสะดวก
- MIDI (Musical Instrument Digital Interface)
เป็นมาตรฐานของ อุตสาหกรรมดนตรีแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้สำหรับการส่งและแลกเปลี่ยนสัญญาณเสียงในรูปแบบที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สามารถใช้งานได้ โดยจะเป็นเทคโนโลยีที่เปรียบเสมือนการเก็บโน้ตเพลง เนื่องจากข้อมูลแบบ MIDI จะเป็นคำสั่งในการสังเคราะห์เสียงแทนที่จะเป็นเสียงเพลงจริง ๆ และจะใช้อุปกรณ์ ซินธิไซเซอร์ (Synthesizer) ในการรับคำสั่งจากข้อมูล MIDI ทำให้สามารถแก้ไขหรือปรับแต่งเพลงได้ทีละตัวโน้ต รวมทั้ง สามารถปรับแต่งจังหวะได้โดยไม่กระทบกระเทือนถึงระดับเสียงของตัวโน้ต
- ภาพที่ 2.30
อุปกรณ์เสียง (Audio Output)
ที่มา : https://images.morele.net
- อุปกรณ์ที่แสดงผลลัพธ์แบบถาวร
หมายถึง อุปกรณ์ที่ให้ผลลัพธ์ที่สามารถเก็บไก้เป็นหลักฐานได้ต่อ ๆ ไปในอนาคต เช่น เครื่องพิมพ์ เป็นต้น
- เครื่องพิมพ์ (Printer)
เครื่องพิมพ์ เป็นอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเช้ากับคอมพิวเตอร์เพื่อทำหน้าที่ในการแปลง ผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในรูปของอักขระหรือรูปภาพที่จะไปปรากฏอยู่ บนกระดาษ นับเป็นอุปกรณ์แสดงผลที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายมากที่สุด โดยเครื่องพิมพ์แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
- เครื่องพิมพ์กระทบ (Impact Printer)
เครื่องพิมพ์แบบกระทบ มีหลายลักษณะ เป็นเครื่องพิมพ์ที่อาศัย การกดหัวพิมพ์กับแถบผ้าหมึก เพื่อให้เกิดตัวอักษร ได้แก่ เครื่องพิมพ์แบบเรียงจุด (Dot Matrix Printer) เป็นเครื่องพิมพ์ที่ได้รับความนิยม โดยองค์ประกอบสำคัญได้แก่ หัวพิมพ์ (Print Head) ที่ประกอบไปด้วยเข็มพิมพ์ 9 เข็ม หรือ 24 เข็ม (ทำให้เรียกเครื่องพิมพ์ชนิดนี้ ได้อีกว่า เครื่องพิมพ์ 9 เข็ม และเครื่องพิมพ์ 24 เข็ม) ชุดของ เข็มพิมพ์แบบ 9 เข็มจะเรียงตรงกันในแนวตั้งคอลัมน์เดียว ส่วนชุดของเข็มพิมพ์แบบ 24 เข็ม จะเรียงกันใน แนวตั้งโดยแบ่งเป็น 3 คอลัมน์ ๆ ละ 8 เข็ม วางเหลื่อมกันระหว่างคอลัมน์ โดยหัวเข็มจะกระแทกผ่านผ้าหมึก ลงบนกระดาษ ทำให้เกิดตัวอักษรขึ้นมา
- ภาพที่ 2.31 เครื่องพิมพ์แบบกระทบ (Impact Printer)
ที่มา : http://www.mayinkim.com
คุณภาพของเครื่องพิมพ์ประเภทนี้พิจารณาจาก
- จำนวนหัวเข็มเครื่องพิมพ์ที่มีจำนวนหัวเข็มมากจะมีคุณภาพดีกว่าเครื่องพิมพ์ที่มีหัวเข็มน้อย
- ความเร็วในการพิมพ์ โดยปกติพิมพ์ได้ 25 – 450 ตัวอักษรต่อวินาที
ข้อดีของเครื่องพิมพ์ลักษณะนี้คือ
- หมึกพิมพ์เป็นตลับ ราคาไม่สูงมากนัก
- สามารถพิมพ์กระดาษหลายก๊อปปี้ได้
- เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก (Ink Jet Printer)
เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก โดยหัวพิมพ์ ซึ่งเป็นตลับหมึกของเครื่องพิมพ์ จะมีรูเล็กๆ ไว้พ่นหมึกลงบนกระดาษ ใช้หลักการพ่นหมึกลงในตำแหน่งที่ต้องการ โดยการควบคุมด้วยไฟฟ้าสถิตย์จากคอมพิวเตอร์ ทำให้ไม่เกิดเสียงดังในขณะใช้งาน และยังสามารถพ่นหมึกเป็นสีต่าง ๆ เป็นเครื่องพิมพ์สีได้ อีกด้วย เครื่องพิมพ์ประเภทนี้มีชื่อเรียกหลายชื่อ ตามเทคโนโลยีของผู้ผลิต เช่น Bubble Jet, Desk Jet Printer เป็นต้น เป็นเครื่องพิมพ์ที่ราคาไม่สูงมากนัก ปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างสูง
- ภาพที่ 2.32 เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก (Ink Jet Printer)
ที่มา : https://openclipart.org
หมึกของเครื่องพิมพ์จะเก็บไว้ในตลับ สามารถเปลี่ยนตลับใหม่ได้ ปัจจุบันมีวิธีฉีดสีเข้าไปในตลับ แทนที่จะเปลี่ยนตลับ ทำให้ประหยัดต่อผู้ใช้ โดยสีที่ใช้ประกอบด้วย แม่สีฟ้า (Cyan) แม่สีม่วง (Magenta) และแม่สีเหลือง (Yellow) โดยสีดำจะเกิดจากการผสมของแม่สีทั้งสามสี ซึ่งไม่ดำสนิท เหมือนตลับหมึกสีดำเฉพาะ (แต่ราคาก็ถูกกว่าด้วย)
- เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (Laser Printer)
เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (Laser Printer) ใช้หลักการเปลี่ยนตัวอักษร และภาพให้เป็นสัญญาณภาพ ที่มีความละเอียดตั้งแต่ 200 ชุดถึง 1,200 ชุดต่อนิ้ว จากนั้นใช้แสงเลเซอร์วาดภาพที่จะพิมพ์ลงบนกระบอกรับภาพ (เช่นเดียวกับ เครื่องถ่ายเอกสาร) โดยกระบอกรับภาพจะมีประชุไฟฟ้าตามรูปร่างของภาพ เมื่อกระบอกรับภาพ หมุนมาถึงตัวปล่อยผงหมึก ผงหมึกจะเกาะ เฉพาะบริเวณที่ไม่มีประจุไฟฟ้า แล้วกระบอกรับภาพจะอัดผงหมึกลงบนกระดาษ แล้วอบด้วยความร้อน ภาพพิมพ์ก็จะติดบนกระดาษ มีทั้งเครื่องพิมพ์ขาวดำ และเครื่องพิมพ์สี ซึ่งราคาจะแพงมาก
- ภาพที่ 2.33 เครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์ (Laser Printer)
ที่มา : http://www.sito48.it
ตลับหมึกของเครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์ บรรจุในตลับที่เรียกว่า โทนเนอร์ (Toner) เวลาเปลี่ยน ต้องเปลี่ยนทั้งชุด ปัจจุบันเครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์ มีการพัฒนาไปหลายรูปแบบ โดยมีรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจ คือ เป็นเครื่องพิมพ์เลเซอร์ พร้อมอุปกรณ์สแกนเนอร์ และเครื่องโทรสารในเครื่องเดียว
- เครื่องพิมพ์เทอร์มอล (Thermal Printer)
เครื่องพิมพ์ใบเสร็จแบบเทอร์มอล (Thermal Printer) ใช้หลักการถ่ายเทความร้อนจากหัวพิมพ์ไปยังกระดาษความร้อน หรือกระดาษเทอร์มอล ซึ่งในตัวกระดาษถูกเคลือบด้วยสารเคมีที่จะปรากฏสีเมื่อโดนความร้อนในปริมาณที่เหมาะสม ส่งผลให้เครื่องพิมพ์ประเภทนี้ไม่ต้องใช้หมึกในการพิมพ์เอกสาร แต่ด้วยคุณสมบัติของสารเคมีที่เคลือบกระดาษอยู่ส่งผลให้เมื่อเวลาผ่านไปข้อมูลที่ปรากฏอยู่บนกระดาษจะหายไป ลักษณะเอกสารที่เหมาะกับเครื่องพิมพ์ประเภทนี้จึงเหมาะกับใบเสร็จสำหรับร้านสะดวกซื้อ ร้านขายสินค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ เป็นต้น
- ภาพที่ 2.34
เครื่องพิมพ์เทอร์มอล (Thermal Printer)
ที่มา : http://www.lb-tech.com.my
- พล็อตเตอร์ (Plotter)
Plotter เป็นอุปกรณ์แสดงข้อมูลที่มักจะใช้กับงานออกแบบ (CAD) โดยจะ แปลงสัญญาณข้อมูล เป็นเส้นตรง หรือเส้นโค้ง ก่อนพิมพ์ลงบนกระดาษ ทำให้แสดงผลเป็นกราฟแผนที่ แผนภาพต่าง ๆ ไค้ โดยตัวพล็อตเตอร์ จะมีปากกามากกว่า 1 ด้าม เคลื่อนไปมา ด้วยการควบคุมของคอมพิวเตอร์ โดยปากกาแต่ละด้ามจะมีสี และขนาดเส้นที่ต่างกัน ทำให้ไค้ภาพที่สวยงาม มีคุณภาพสูง และขนาดตามขนาด ของเครื่องพล็อตเตอร์
- ภาพที่ 2.35 พล็อตเตอร์ (Plotter)
ที่ : http://4madeira.com
- พอร์ตและช่องทางการเชื่อมต่อ (Port and connector)
นอกจากส่วนประกอบของฮาร์ดแวร์ทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมาแล้วพอร์ตและช่องทางการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกยังเป็นสิ่งที่เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานคอมพิวเตอร์ ในปัจจุบันที่ช่องทางการเชื่อมต่อมากมาย ดังนี้
- พอร์ตขนาน (Parallel Port)
ในอดีตพอร์ตขนาน ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นช่องทางต่อเชื่อมกับเครื่องพิมพ์ โดยพอร์ตที่ติดตั้งกับเครื่องคอมพิวเตอร์จะมีรูขนาดเล็กจำนวน 25 ช่อง เรียกว่าพอร์ตตัวเมีย มาตรฐาน DB25 และอุปกรณ์ต่อพ่วงพอร์ทตัวผู้เพื่อเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ภายหลังได้มีการออกแบบให้อุปกรณ์อื่น ๆ สามารถใช้พอร์ตขนานได้ จนกระทั่งความนิยมลดลงเมื่อพอร์ตยูเอสบี (USB) ถูกใช้มากขึ้น
- ภาพที่ 2.36 พอร์ทขนาน
ที่มา : www.howstuffworks.com
- พอร์ตอนุกรม (Serial Port)
พอร์ตอนุกรมเป็นอุปกรณ์ที่อยู่เครื่องกับคอมพิวเตอร์มาไม่ต่ำกว่า 20 ปี โดยส่วนใหญ่จะใช้เชื่อมต่อกับโมเดมแบบเก่าที่ยังรองรับพอร์ตอนุกรม พอร์ตชนิดนี้มีความเร็วในการสื่อสารช้ากว่าพอร์ตขนาน แต่ข้อดีของพอร์ตชนิดนี้คือ สามารถส่งข้อมูลได้ไกลกว่า ใช้จำนวนสายไฟส่งข้อมูลน้อยกว่าทำให้มีราคาถูกกว่าอุปกรณ์ที่ใช้พอร์ตขนาน
- ภาพที่ 2.37
พอร์ทอนุกรม
ที่มา : www.howstuffworks.com
- พอร์ตอนุกรมความเร็วสูง (USB)
ย่อจาก Universal Serial Bus ช่องการเชื่อมต่อพอร์ตอนุกรมความเร็วสูงหรือ USB เป็นพอร์ตมาตรฐานที่ติดมากับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ อาทิ เมาส์ คีย์บอร์ด เครื่องพิมพ์ รีมูฟเอเบิลไดร์ท กล้องดิจิทัล ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว ซึ่งระบบปฏิบัติการรองรับการเชื่อมต่อ USB ได้เป็นอย่างดี หากอุปกรณ์ต่อพ่วงชนิดใหม่ถูกติดตั้งเข้ากับคอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการจะถามถึงแผ่นไดร์เวอร์ แต่หากมีไดร์เวอร์ติดตั้งอยู่แล้วจะสามารถเริ่มใช้งานอุปกรณ์ได้ทันที ทำให้การติดตั้งพอร์ตชนิดนี้ง่ายมาก อุปกรณ์ USB สามารถเชื่อมต่อและยกเลิกการเชื่อมต่อได้ตลอดเวลาที่ต้องการ การออกแบบของ USB ถูกกำหนดมาตรฐานโดย USB Implementers Forum (USBIF), โดยเป็นการรวมตัวกันของผู้นำด้านอุตสาหกรรมด้านคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ เช่น แอปเปิล, เอชพี, เอ็นอีซี, ไมโครซอฟท์, อินเทล, และ Agere
อุปกรณ์ USB มีคอนเนคเตอร์ (connector) หลายรูปแบบเพื่อการใช้งานและอุปกรณ์ที่แตกต่างกัน โดยแต่เดิมคอนเนคเตอร์ฝั่งตัวอุปกรณ์จะเป็น type-B ส่วนปลายสายที่เชื่อมต่อเข้าคอมพิวเตอร์จะเป็นคอนเนคเตอร์แบบ type-A เพื่อป้องกันความสับสนในการเชื่อมต่อ นอกจากนี้ยังมีคอนเนคเตอร์ Mini-A, Mini-B, Micro-A, Micro-B และ USB C อีกด้วย ในปัจจุบัน USB อยู่ในมาตรฐาน USB 3.0 ที่ส่งข้อมูลได้เร็ว 4.8 กิกะบิต ต่อ วินาที
- ภาพที่ 2.38 ปลั๊ก Micro-B, ปลั๊ก UC-E6, ปลั๊ก Mini-B, ตัวรับ A , ปลั๊ก type-A, ปลั๊ก type-B
ที่มา : https://en.wikipedia.org
- พอร์ตวีจีเอ (Video Graphic Array :VGA)
มีลักษณะพอร์ตเชื่อมต่อ 3 แถว และหัวเข็มจำนวน 25 ชิ้น ติดตั้งอยู่บริเวณด้านหลังเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะหรือบริเวณด้านข้างของคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กใช้ในการส่งข้อมูลภาพและภาพเคลื่อนไหวจากคอมพิวเตอร์ไปสู่อุปกรณ์แสดงผล อาทิ จอมอนิเตอร์ เครื่องฉายภาพ (Projector) โดยส่งสัญญาณภาพแบบอนาล็อก
- ภาพที่ 2.39 พอร์ตวีจีเอ (VGA Port)
ที่มา : http://images.monoprice.com/productlargeimages/11901.jpg
- พอร์ดดีวีไอ (Digital Visual Interface : DVI)
แสดงข้อมูลภาพและภาพเคลื่อนไหวเช่นเดียวกับพอร์ตวีจีเอ แตกต่างกันที่ DVI ส่งสัญญาณในรูปแบบดิจิทัล ส่งผลให้ภาพมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะแบ่งเป็น 3 แบบด้วยกันคือ DVI-A ที่ส่งสัญญาณแบบแอนาล็อกอย่างเดียวเท่านั้น DVI-A ส่งสัญญาณดิจิทัลอย่างเดียวเท่านั้นซึ่งแบ่งเป็น single link หรือ dual link อีกด้วย DVI-I สามารถส่งสัญญาณได้ทั้งดิจิทัลและอนาล็อก
- ภาพที่ 2.40 พอร์ตดีวีไอ (DVI Port)
ที่มา : http://www.download.net.pl/upload/NewsMay2015/Laptop-TV/dvi.jpg
- พอร์ทเอชดีเอ็มไอ (HDMI Port)
ย่อมาจาก High-Definition Multimedia Interface ช่องส่งสัญญาณ ออดิโอ/วีดิโอ โดยไม่บีบอัดข้อมูลภาพและเสียงแบบดิจิทัล จากอุปกรณ์แหล่งข้อมูล อาทิ คอมพิวเตอร์ ไปยัง จอภาพ เครื่องฉายภาพ จอทีวี เป็นต้น โดยทั่วไปเทคโนโลยี HDMI เป็นเทคโนโลยีเฉพาะที่คิดค้นโดยบริษัททางด้านความบันเทิง 7 บริษัท อาทิ Hitchi Maxell Ltd., Sony Corporation เป็นต้น แต่ในปัจจุบันช่องสัญญาณ HDMI ถูกนำมาทดแทนพอร์ทวีจีเอ ในเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คมากขึ้นทุกที เนื่องจากขนาดที่เล็กของช่องเชื่อมต่อและความสามารถในการส่งภาพแบบ High-Definition
- ภาพที่ 2.41 พอร์ท HDMI (กลาง)
ที่มา : https://www.ptgrey.com
- ซอฟต์แวร์ (Software)
ซอฟต์แวร์ คือ โปรแกรมที่เขียนขึ้นเพื่อกำหนดให้ฮาร์ดแวร์ของระบบคอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ ต้องการ โดยซอฟต์แวร์หนึ่ง ๆ อาจประกอบด้วยโปรแกรมหลายโปรแกรมที่เกี่ยวเนื่องและในตัวโปรแกรมต้องประกอบด้วยคำสั่งที่จะให้ส่วนต่าง ๆ ของฮาร์ดแวร์ทำงาน โดยทั่วไปแล้ว ซอฟต์แวร์เราสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
- ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software)
- ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)
ในการทำงานใด ๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์จะต้องมีซอฟต์แวร์ทั้ง 2 ประเภทเพื่อ ควบคุมการทำงาน ของเครื่องคอมพิวเตอร์โดยซอฟต์แวร์ระบบทำหน้าที่ควบคุมส่วนของฮาร์ดแวร์ให้ทำงานอย่างอัตโนมัติ ส่วน ซอฟต์แวร์ประยุกต์นั้นจะทำหน้าที่ควบคุมให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ผู้ใช้ต้องการเพื่อประยุกต์ใช้ในงานด้าน ต่าง ๆ
- ภาพที่ 2.42 แสดงการใช้งานซอฟต์แวร์ระบบและซอฟต์แวร์ประยุกต์
ที่มา : http://slideplayer.com/slide/6671807/
- ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software)
ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) เป็นซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ ต่าง ๆ ในระบบคอมพิวเตอร์ โดยเป็นตัวกลางที่ช่วยให้ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถติดต่อสั่งงาน คอมพิวเตอร์ได้ง่ายขึ้น ซอฟต์แวร์ระบบสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
- โปรแกรมระบบปฏิบัติการ
- โปรแกรมแปลภาษา
- โปรแกรมอรรถประโยชน์
- โปรแกรมระบบปฏิบัติการ (Operating System : OS)
ระบบปฏิบัติการเป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์และ อุปกรณ์ที่ต่อพ่วงกับเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการติดต่อกับฮาร์ดแวร์ของเครื่องโดยตรง โปรแกรมใช้งานหรือโปรแกรมประยุกต์ใดที่ต้องการติดต่อเครื่องคอมพิวเตอร์จะต้องอาศัยการสั่งงานของ โปรแกรมระบบปฏิบัติการเพื่อควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ โปรแกรมระบบปฏิบัติการของเครื่อง คอมพิวเตอร์แต่ละระบบหรือแต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกัน เช่น โปรแกรมระบบปฏิบัติการสำหรับ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ระบบหนึ่งก็จะแตกต่างจากเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ระบบอื่นเป็นต้น
- โปรแกรมแปลภาษา (Translator)
ในการพัฒนาซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์นั้น โปรแกรมเมอร์จะเขียนโปรแกรมใน ภาษาคอมพิวเตอร์แบบต่าง ๆ ตามแต่ความชำนาญของแต่ละคน โปรแกรมที่ได้จะเรียกว่า โปรแกรมต้นฉบับ หรือ ซอร์สโคด (Source code) ซึ่งมนุษย์จะอ่านโปรแกรมต้นฉบับนี้ได้แต่คอมพิวเตอร์จะไม่เข้าใจคำสั่งเหล่านั้น เนื่องจากคอมพิวเตอร์เข้าใจแต่ภาษาเครื่อง (Machine Language) ซึ่งประกอบขึ้นจากรหัสฐานสอง เท่านั้น จึงต้องมีการใช้โปรแกรม ตัวแปรภาษาคอมพิวเตอร์ (Translator) ในการแปลภาษาคอมพิวเตอร์ภาษา ต่าง ๆ ไปเป็นภาษาเครื่อง โปรแกรมที่แปลจากโปรแกรมต้นฉบับแล้วเรียกว่า ออบเจคโคด (Object code) ซึ่งจะ ประกอบด้วยรหัสคำสั่งที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจและนำไปปฏิบัติได้ต่อไป ตัวแปลภาษาที่มีการใช้อยู่ใน ปัจจุบัน จะต่างกันที่ขั้นตอนที่ใช้ในการแปลภาษา สามารถแบ่งได้เป็น
- โปรแกรมอรรถประโยชน์ (Utility Program)
โปรแกรมอรรถประโยชน์เป็นโปรแกรมหนึ่งที่อำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ในระหว่างการประมวลผลข้อมูลหรือในระหว่างที่กำลังใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งโดยปกติแล้วโปรแกรม อรรถประโยชน์ทำงานร่วมกับโปรแกรมระบบปฏิบัติการเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ของโปรแกรม ระบบปฏิบัติการ ในการควบคุมการทำงานของทุปกรณ์ต่าง ๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น โปรแกรมที่ทำหน้าที่ จัดเตรียมเนื้อที่ในดิสก์ ทำให้สามารถบันทึกข้อมูลลงบนดิสก์ได้หรือโปรแกรมที่อำนวยความสะดวกในการทำสำเนาข้อมูลของโปรแกรมที่ต้องการเพื่อนำไปใช้ในที่ต่าง ๆ ได้ หรือช่วยให้ผู้ใช้สามารถเขียนโปรแกรมสร้าง แฟ้มข้อมูลหรือข้อความต่าง ๆ ลงเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ เป็นต้น
- ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Program)
โปรแกรมประยุกต์ นั้นเราสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ โปรแกรมประยุกต์สำหรับงานเฉพาะด้านและโปรแกรมประยุกต์สำหรับงานทั่วไป
- ซอฟต์แวร์สำหรับงานเฉพาะด้าน (Special Purpose Software)
จะมีความเหมาะสมกับงานเฉพาะด้าน เช่น โปรแกรมด้านการคำนวณราคาค่านั้นของแต่ละบ้าน จะมีประโยชน์กับงานด้านการประปา หรือโปรแกรมสำหรับฝากถอนเงิน ก็จะมีประโยชน์กับองค์กรที่เกี่ยวกับการเงิน เช่น ธนาคาร ซอฟต์แวร์สำหรับงานเฉพาะด้านส่วนมากจะไม่มีการจำหน่ายอยู่ทั่วไป องค์กรที่ต้องการใช้งานมักจะต้องพัฒนาด้วยตนเอง หรือว่าจ้างบริษัทซอฟต์แวร์พัฒนาให้โดยเฉพาะ อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีบริษัทซึ่งพัฒนาซอฟต์แวร์เฉพาะด้านมาวางจำหน่ายก็มักจะมีราคาสูงรวมทั้งมีข้อเสนอในการพัฒนา เพิ่มเติมเพื่อให้เหมาะสมกับองค์กรต่าง ๆ ด้วย
- ซอฟต์แวร์สำหรับงานทั่วไป (General Purpose Software)
จะเป็นซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาสำหรับงานทั่ว ๆ ไป สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับงานส่วนตัว ได้อย่างหลากหลาย ทำให้เป็นซอฟต์แวร์ประเภทที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน ซึ่งส่วนมากจะเป็น ซอฟต์แวร์ที่ทำงานอยู่ในเครื่องระดับไมโครคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์สำหรับงานทั่วไป สามารถแบ่งตาม ประเภทของงานได้ดังนี้
- ซอฟต์แวร์ตารางวิเคราะห์แบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Spreadsheet)
ธุรกิจในสมัยก่อนนั้นการทำงบประมาณ หรือการวางแผนต่าง ๆ ต้องใช้กระดาษบัญชี และเครื่องคิดเลขเท่านั้น สำหรับสมัยนี้ด้วยซอฟต์แวร์ตารางวิเคราะห์แบบอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ใช้สามารถพิมพ์ หัวข้อหรือชื่อของข้อมูล และตัวเลขข้อมูลต่าง ๆ เข้าในคอมพิวเตอร์ โดยที่ในคอมพิวเตอร์จะมีตารางที่เปรียบเสมือนกระดาษบัญชีขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถคำนวณได้ตามสูตรที่ผู้ใช้ทำการกำหนด โดยที่สูตรเหล่านั้น จะไม่ปรากฏในช่องของข้อมูลเลย ยิ่งไปกว่านั้นหากผู้ใช้เปลี่ยนตัวเลขหรือข้อมูลใด ๆ ก็ตาม จะเห็นการเปลี่ยนแปลงข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้องกันในทันที ปัจจุบันมีผู้ใช้ประโยชน์ของตารางวิเคราะห์แบบอิเล็กทรอนิกส์มากมาย ไม่เฉพาะแต่ในทางบัญชีเท่านั้น แต่ยังนิยมใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ บริหารการเงิน เป็นต้น
- ซอฟต์แวร์ประมวลผลคำ (Word processing)
ปัจจุบันเครื่องคอมพิวเตอร์มากกว่า 85 เปอร์เซ็นต์ ต้องติดตั้งโปรแกรมสำหรับงาน พิมพ์เอกสารรวมอยู่ด้วย ซึ่งโปรแกรมนี้ทำให้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือสำหรับสร้าง แก้ไข ตรวจสอบ พิมพ์ และจัดเก็บข้อความต่าง ๆ หนังสือที่จำหน่ายในท้องตลาดในปัจจุบันนี้ ส่วนมากก็เริ่มต้นจากการพิมพ์ข้อความ ลงในคอมพิวเตอร์ด้วยซอฟต์แวร์ที่ประมวลผลคำ
- ซอฟต์แวร์การพิมพ์แบบตั้งโต๊ะ (Desktop Publishing)
ในสมัยก่อนการจัดทำหนังสือพิมพ์ หรือวารสารต่าง ๆ นั้นต้องผ่านกระบวนการต่าง ๆ มากมายหลายขั้นตอนซึ่งรวมเรียกว่าการเรียงพิมพ์ โดยที่จะต้องมีผู้ตัดต่อรูปภาพที่ต้องการ วาดกรอบของ ภาพหรือกรอบหัวเรื่อง และเขียนข้อความ และนำข้อความ ภาพ และกรอบมาประกอบกันตามแบบที่ออกแบบ ไว้ การทำงานที่ยุ่งยากเหล่านี้นี่เองที่ทำให้เอกสารเหล่านั้นมีราคาแพง แต่ในปัจจุบันนี้ขอเพียงมีคอมพิวเตอร์ และโปรแกรมการจัดพิมพ์แบบตั้งโต๊ะเท่านั้น ก็สามารถที่จะออกแบบงานหรือเอกสารให้เป็นที่น่าสนใจได้ โดยซอฟต์แวร์การพิมพ์แบบตั้งโต๊ะจะมีความสามารถด้านการจัดการเอกสาร ความสามารถด้านการเรียงพิมพ์ รวมทั้งการจัดสีที่สูงกว่าซอฟต์แวร์ประมวลผลคำ
- ซอฟต์แวร์นำเสนอ (Presentation Software)
เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการนำเสนอข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ โดยอาจประกอบด้วย ตัวอักษร รูปภาพ แผนผัง รายงาน ตลอดจนภาพเคลื่อนไหว เป็นต้น นิยมใช้ในการเรียนการสอนหรือการ ประชุม เพื่อนำเสนอข้อมูลให้การบรรยายนั้นน่าสนใจยิ่งขึ้น
- ซอฟต์แวร์กราฟิก (Graphic Software)
เป็นซอฟต์แวร์สำหรับสร้างภาพกราฟิกแบบต่าง ๆ การใช้งานในระดับเบื้องต้นอาจ นำไปใช้ประกอบการสร้างเอกสาร หรือการนำเสนอข้อมูล ส่วนการใช้ในระดับสูงอาจใช้สำหรับการตกแต่งภาพหรือรูปถ่าย หรือใช้สำหรับงานด้านศิลปกรรม สถาปัตยกรรม วิศวกรรม เป็นต้น
- ซอฟต์แวร์ฐานข้อมูล (Database)
โปรแกรมฐานข้อมูลเป็นโปรแกรมสำหรับสร้างแฟ้มข้อมูลต่าง ๆ เก็บไว้ในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยโปรแกรมจะมีเครื่องมือต่าง ๆ ในการอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการจัดการแฟ้มข้อมูล เช่น มีเครื่องมือสำหรับการเพิ่มหรือแก้ไขข้อมูลที่จัดเก็บอยู่ หรือสามารถเรียกแฟ้มข้อมูลนั้นขึ้นมาแสดงบนจอภาพ โดยกำหนดเงื่อนไขให้เลือกข้อมูลมาแสดงเพียงบางส่วน เป็นต้น
- โมบายแอพ
เรียกในอีกชื่อว่า “โมบายแอพพลิเคชั่น” เป็นโปรแกรมประยุกต์ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เพิ่มเข้าไปในโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อให้ผู้ใช้สามารถดำเนินการกับงานต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลายขึ้น ในปัจจุบันได้มีกรนำโมบายแอพมาใช้กันอย่างกว้างขวาง เช่น แอพพลิเคชั่นสำหรับจัดการสมุดที่อยู่ บันทึกรายที่จะทำและรายการข้อความ แอพพลิเคชั่นอีเมลล์ แอพพลิเคชั่นการตกแต่งภาพ เป็นต้น ปัจจุบันมีการให้บริการแอพพลิเคชั่นเฉพาะทางบนโทรศัพท์เคลื่อนที่อย่างหลากหลาย โดยผู้ใช้สมาร์ทโฟน สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นได้ทั้งทาง แอปสโตร์ของและ กูเกิ้ลเพลย์สโตร์
- บุคลากรคอมพิวเตอร์
ในปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่าประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างเต็มรูปแบบ เรารับเอาระบบและอุปกรณ์ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีด้านอิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้กันอย่างมากมาย มีระบบสื่อสารด้วยดาวเทียม ทำให้สามารถรับรู้และเห็นภาพการ รายงานข่าวสดในโทรทัศน์จากเหตุการณ์จริงทั่วทุกมุมโลก มีระบบการฝากถอนเงินจากธนาคารผ่านเครื่อง เอทีเอ็มที่ต่อกันเป็นเครือข่ายกระจายไปเกือบทั่วประเทศ สามารถติดต่อสื่อสารระยะไกลด้วยโทรศัพท์มือถือ มีระบบการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่สามารถ จัดการให้แล้วเสร็จอย่างรวดเร็วด้วยระบบคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้เรายังมีการนำเอาคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยใน งานออกแบบ งานอุตสาหกรรม งานธุรกิจและงานการเรียนการสอน
อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในสิบปีที่ผ่านมา ขนาดของคอมพิวเตอร์ เล็กลงเรื่อย ๆ ในขณะที่ขีดความสามารถกลับเพิ่มสูงขึ้น เรานำคอมพิวเตอร์ไปใช้ในงานต่าง ๆ มากมายใน สำนักงาน บริษัทห้างร้านเมื่อมีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้งานกันอย่างมาก ความจำเป็นที่ต้องอาศัยบุคลากรที่มี ความรู้หรือมีประสบการณ์ด้านคอมพิวเตอร์ก็มีไม่มากตามไปด้วย
หากจะมีการพิจารณาลักษณะงานของบุคลากรค้านคอมพิวเตอร์อย่างจริงจังทั้งระบบ สามารถ แบ่งอาชีพของบุคลากรในวงการคอมพิวเตอร์ได้เป็นสามกลุ่มคือ กลุ่มผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ กลุ่มผู้ผลิตซอฟต์แวร์ และกลุ่มผู้ให้การสนับสมุนและบริการ
- กลุ่มบุคลากรทางด้านผู้ผลิตฮาร์ดแวร์
เมื่อมีความต้องการนำคอมพิวเตอร์ไปใช้งานมากขึ้น บริษัทผู้ผลิตฮาร์ดแวร์จึงทำการผลิต เครื่องและอุปกรณ์ประกอบมากขึ้นด้วย โดยมีการวิจัยและพัฒนาให้เกิดเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ที่มี ประสิทธิภาพมากขึ้น มีการทำให้คอมพิวเตอร์หลายเครื่องเชื่อมต่อเป็นเครือข่าย บริษัทผู้ผลิตฮาร์ดแวร์จำต้อง อาศัยบุคลากรที่มีความรู้และประสบการณ์สูงในทุกขึ้นตอนของการผลิต นับจากการเริ่มต้นออกแบบจนถึงขั้นการประกอบการ จำหน่าย จนถึงขึ้นการให้บริการด้านการขาย
นักออกแบบคอมพิวเตอร์จะศึกษาและวางแนวทางการผลิตคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ประกอบ โดยคำนึงถึงลักษณะและประสิทธิภาพของการใช้งานเป็นสำคัญ โดยให้เหมาะสมกับสภาพของผู้ใช้มากที่สุด วิศวกรคอมพิวเตอร์จะทำหน้าที่แปลงแนวการออกแบบเป็นข้อกำหนดของเครื่อง วิศวกรจะออกแบบแผงวงจร การใช้ชิป การใช้หน่วยความจำ และการทำงานร่วมกันกับอุปกรณ์ประกอบต่าง ๆ ช่างเทคนิคคอมพิวเตอร์จะ ทำหน้าที่นำชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ มาประกอบกันเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ ตามข้อกำหนดของวิศวกร และทำการตรวจสอบการทำงานว่าถูกต้องหรือไม่
นอกจากผู้ผลิตฮาร์ดแวร์จะต้องอาศัยบุคลกรทางด้านเทคนิคแล้ว ยังจำต้องอาศัยบุคลากรด้าน สนับสนุนอีกเพื่อดูแลในด้านการขาย การบริการ การทำเอกสาร และการตลาด บุคลากรเหล่านี้ ได้แก่ ตัวแทน จำหน่ายที่ติดต่อขายผลิตภัณฑ์ซึ่งจำเป็นต้องรู้ข้อมูลเครื่องคอมพิวเตอร์ของคู่แข่งขัน ตลอดจนความต้องการของตลาดเป็น อย่างดี วิศวกร และช่างเทคนิคระบบ ทำหน้าที่บริการติดตั้งดูแลซ่อมแซมเครื่องให้กับลูกค้าเพื่อให้อยู่ในสภาพ ที่ใช้งานได้ดี นักเขียนข้อมูลทางเทคนิค ทำหน้าที่ผลิตเอกสารประกอบเครื่อง นักอบรมทำหน้าที่สอนและ อบรมความรู้เกี่ยวกับการใช้และบำรุงรักษาเครื่องให้กับลูกค้า ขณะเดียวกันอาจช่วยในการอบรมตัวแทน จำหน่ายและช่างเทคนิคของบริษัทผู้ผลิตเองด้วย และสุดท้ายนักการตลาดจะทำหน้าที่ช่วยวิเคราะห์ และ วางแผนการตลาดของการจำหน่ายเครื่อง
เนื่องจากเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ของประเทศไทย ยังตามหลังประเทศอื่น ๆ ที่เจริญทางด้านเศรษฐกิจ โดยในประเทศไทยนั้นยังไม่ค่อยมีบริษัทออกแบบและผลิตฮาร์ดแวร์เอง ส่วนใหญ่จะเป็นการนำเข้าจาก ต่างประเทศมีส่วนน้อยที่นำชิ้นส่วนเข้ามาเพื่อประกอบภายในประเทศดังนั้นบุคลากรในส่วนฮาร์ดแวร์ของบ้านเราส่วนใหญ่จึงเป็นกลุ่มคนด้านสนับสนุนการขายเครื่อง ทำหน้าที่เป็นพนักงานขายและช่างเทคนิคเพื่อติดตั้ง ซ่อมแซมและบำรุงรักษาเครื่อง ในการศึกษาเพื่อที่จะเป็นบุคลากรทางด้านฮาร์ดแวร์ จำเป็นต้องศึกษาเล่าเรียนในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวงจรอิเล็กทรอนิกส์และไฟฟ้า มีความรู้ความสามารถในด้านวิทยาศาสตร์และ คณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ในเรื่องโครงสร้างทางฮาร์ดแวร์
การศึกษาทางด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ที่มีเปิดสอนในมหาวิทยาลัยนั้น มีการเรียนการสอน และปฏิบัติในเรื่องอิเล็กทรอนิกส์ ศึกษาออกแบบการคำนวณวงจรอิเล็กทรอนิกส์ วงจรคอมพิวเตอร์ การเขียนโปรแกรมระบบ การเขียนโปรแกรมแปลภาษาคอมพิวเตอร์ การวางเครือข่าย การคำนวณที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ และการทำให้คอมพิวเตอร์มีความสามารถเฉพาะในการใช้งานด้านต่าง ๆ
การเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์จำเป็นต้องศึกษาทางด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ศึกษาการ ออกแบบวงจรคอมพิวเตอร์ ซึ่งนับว่าจะมีความสลับซับช้อนมากยิ่งขึ้น ซึ่งต้องศึกษาในระบบสูงต่อไป สำหรับช่างเทคนิคก็ต้องมีพื้นฐานความรู้ทางด้านวงจรไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ การใช้เครื่องมือวัดและตรวจซ่อมต่าง ๆ การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีสารสนเทศยังรวมระบบการสื่อสารโทรคมนาคมเข้ามาด้วย ซึ่งก็รวมถึง การออกแบบวางระบบเครือข่ายสื่อสารโทรคมนาคมต่าง ๆ ซึ่งต้องการพื้นฐานทางด้านอุตสาหกรรมไฟฟ้าและการสื่อสาร ส่งผลให้บุคคลาการทางด้านนี้ยังมีความสำคัญและเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานเป็นอย่างมาก เพราะประเทศไทยกำลังขยายการลงทุนด้านการสื่อสารโทรคมนาคม เพื่อรองรับการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตขึ้นทุกวัน
- กลุ่มบุคลากรทางด้านผู้ผลิตซอฟต์แวร์
บุคลากรทางด้านผู้ผลิตซอฟต์แวร์ได้แก่ผู้ทำหน้าที่วิเคราะห์ระบบ ผู้เขียนโปรแกรม และผู้ที่สนับสนุนคล้ายคลึงกับบุคลากรทางด้านผู้ผลิตซอฟต์แวร์ นักวิเคราะห์ระบบจะศึกษาวางแผนและแยกแยะงาน ประมวลผลเป็นส่วน ๆ โดยให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้ เพื่อมอบให้นักเขียนโปรแกรมไปทำการออกแบบ เขียนโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ และตรวจสอบการทำงานของโปรแกรมให้ถูกต้องตามที่ต้องการ โปรแกรมที่เขียนนี้อาจเป็นโปรแกรมประยุกต์ใหม่ หรือเป็นการดูแลเพิ่มเติมแก้ไขซอฟต์แวร์ที่พัฒนามาก่อน แล้วส่วนนักโปรแกรมระบบจะทำหน้าที่ช่วยดูแลการทำงานของระบบฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ให้เป็นไปอย่าง ถูกต้อง
บริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์จะต้องมีบุคลากรอีกกลุ่มหนึ่ง คือ กลุ่มสนับสนุน ซึ่งอาจประกอบด้วย ผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์ นักเขียนข้อมูลทางเทคนิคเพื่อทำหน้าที่เขียนคู่มือการใช้ซอฟต์แวร์ ผู้ให้การฝึกอบรม แนะนำการใช้ซอฟต์แวร์ ขณะเดียวกันจะคอยให้คำปรึกษาในเรื่องของซอฟต์แวร์ที่ผลิต และนักวิเคราะห์ตลาด เพื่อทำหน้าที่วางแผนการขายต่อไป
ในระดับการผลิตซอฟต์แวร์ทั่วไปจะมีการวิเคราะห์ระบบเพื่อศึกษาความต้องการของผู้ใช้ การวิเคราะห์ความต้องการนี้จำเป็นที่ผู้วิเคราะห์จะต้องรู้และเข้าใจระบบงานที่จะไปประยุกต์ด้วย เช่น ถ้าต้องการประยุกต์ซอฟต์แวร์เข้ากับงานทางด้านบัญชีของบริษัท ก็จำเป็นจะต้องเข้าใจระบบบัญชีของบริษัทด้วย ดังนั้นนักวิเคราะห์ระบบจึงจำเป็นต้องเป็นผู้ที่รู้ทั้งสองด้าน คือ ด้านคอมพิวเตอร์และตัวระบบงานด้วย การให้การศึกษาเพื่อเตรียมบุคลากรทางด้านนี้นอกจากจะต้องเปิดสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์แล้วยังจะต้องให้ความรู้ในสาขาต่าง ๆ ด้วย เช่น สาขาบัญชี บริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์
เมื่อวิเคราะห์ระบบแล้วขั้นตอนต่อมาคือออกแบบระบบ ซึ่งนักออกแบบระบบจะต้องมีความรู้ในเรื่องการจัดวางโครงสร้างฐานข้อมูลรู้ระบบการไหลเวียนและการส่งต่อข้อมูล เมื่อออกแบบระบบแล้ว ผู้เขียนโปรแกรมจะรับไปทำการเขียนโปรแกรม เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามระบบที่ออกแบบ นอกจากนี้ยังมีการทดสอบโปรแกรม การดูแลบำรุงรักษา ตลอดจนการแก้ไขโปรแกรมให้มีขีดความสามารถสูงขึ้น
งานพัฒนาระบบซอฟต์แวร์จำเป็นต้องเรียนรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ (Computer science) และการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ (Computer application) ซึ่งสาขาเหล่านี้มีเปิดสอนในมหาวิทยาลัย เกือบทุกแห่งในประเทศไทย การศึกษาทางด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์จำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานทางด้าน คณิตศาสตร์และการคำนวณที่ดี วิชาที่ศึกษาส่วนใหญ่เป็นเรื่องศาสตร์ของการคิดคำนวณ การคำนวณทางคอมพิวเตอร์ที่ต้องมีขั้นตอนและกระบวนการโดยเฉพาะ เพื่อจะทำให้เกิดการคำนวณได้ดีและรวดเร็ว การวางโครงสร้างข้อมูล การเขียนโปรแกรมประยุกต์ การทำให้คอมพิวเตอร์มีความรอบรู้และมีความสามารถพิเศษที่ เรียกว่าปัญญาประดิษฐ์ การให้คอมพิวเตอร์เขียนภาพหรือคอมพิวเตอร์กราฟิก การใช้คอมพิวเตอร์ในระบบงานสื่อสารข้อมูล และการวิเคราะห์โครงข่ายคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังต้องการเรียนรู้เทคนิควิธีการต่าง ๆ ในการออกแบบซอฟต์แวร์ รวมถึงการบริหารโครงการซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ ซึ่งนับวันจะมีบทบาทและความสำคัญมากขึ้น
- กลุ่มบุคลากรสนับสนุนและบริการ
บุคลากรด้านคอมพิวเตอร์อีกกลุ่มหนึ่งที่นับเป็นกลุ่มใหญ่ที่สูด คือ กลุ่มที่ให้การสนับสนุนและบริการ ได้แก่ผู้ที่ทำงานในแผนกประมวลผลข้อมูลของหน่วยงานต่าง ๆ ผู้ที่ทำงานในบริษัทที่ให้บริการ ซ่อมบำรุงรักษา และผู้ทำงานในบริษัทที่ปรึกษาจะช่วยวางระบบและสร้างโปรแกรมให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ตำแหน่งของงานที่มักจะปรากฏในประกาศรับสมัครงาน เช่น ผู้จัดการแผนกประมวลผลข้อมูล นักวิเคราะห์ระบบ นักโปรแกรมระบบ นักโปรแกรมประยุกต์ด้านธุรกิจ นักโปรแกรมประยุกต์วิทยาศาสตร์ นักออกแบบ และบริหารฐานข้อมูล วิศวกรระบบ วิศวกรด้านเพื่อสารข้อมูล และช่างเทคนิค เป็นต้น
ความต้องการบุคลากรที่ให้การสนับสนุนและบริการยังมีอีกมาก เพราะการกระจายของ คอมพิวเตอร์และระบบประมวลผลมีแนวโน้มที่จะเข้าไปในกิจการทุกประเภท และจะมีบทบาทสำคัญมากขึ้น เช่น ในห้างสรรพสินค้าก็ต้องใช้เทคโนโลยีทางด้านสารสนเทศเข้ามามีบทบาท ผู้ที่ทำงานด้านสนับสนุนและให้บริการจำเป็นต้องมีบุคลิกและมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี เพราะเกี่ยวข้องหรือต้องติดต่อกับบุคคลจำนวนมาก การติดต่อประสานงานจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้งานต่าง ๆ ดำเนินไปด้วยดี บุคลากรทางด้านนี้ ควรเป็นบุคลากรที่ศึกษาหรือมีพื้นฐานความทางด้านคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจจะจบการศึกษามาจากทางด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ หรือการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ก็ได้
- บทสรุป
ระบบคอมพิวเตอร์มีองค์ประกอบหลักอยู่ 3 อย่างที่มีความสำคัญเท่าเทียมกันและต้องทำงาน ประสานกัน จึงจะทำให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้ ซึ่งพอสรุปถึงองค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ที่สำคัญได้ดังนี้
- องค์ประกอบทางด้านฮาร์ดแวร์ เป็นองค์ประกอบของตัวเครื่อง ที่สามารจับต้องได้ เช่น จอภาพ เครื่องพิมพ์ เทป แป้นพิมพ์ ดิสค์ หรือแม้แต่วงจรไฟฟ้าในตัวเครื่อง เป็นต้น
- องค์ประกอบทางด้านซอฟต์แวร์ เป็นกลุ่มของคำสั่งซึ่งเรียกว่า โปรแกรมที่ถ่ายทอดแนวความคิด ของผู้เขียนโปรแกรม เพื่อสั่งงงานให้คอมพิวเตอร์ทำงาน
- องค์ประกอบทางด้านบุคลากร เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์และการใช้ งานระบบคอมพิวเตอร์
- แบบฝึกหัดท้ายบท
- องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ มีกี่องค์ประกอบ อะไรบ้าง
- องค์ประกอบทางด้าน Hardware มีกี่ส่วน แต่ละส่วนทำหน้าที่อะไรบ้าง พร้อมอธิบายพอสังเขป
- องค์ประกอบทางด้าน Software มีอะไรบ้าง พร้อมอธิบายพอสังเขป
- จงอธิบายหน้าที่หลักของซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการมาพอสังเขป
- จงบอกกลุ่มต่างๆ ขององค์ประกอบทางด้านบุคลากร พร้อมอธิบายพอสังเขป
- จงอธิบายลักษณะของอุปกรณ์ต่อไปนี้พอสังเขป Key Board, Mouse, Scanner, Monitor, Printer, Tape, CD-ROM, RAM, ROM, Hard Disk
เอกสารอ้างอิง
ครรชิต มาลัยวงศ์. 2540. ทัศนะไอที. กรุงเทพมหานคร ชีเอ็ดยูเคชั่น.
หน้า 63-73.
พัลลภ พิริยะสุรวงศ์. 2544. ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศ. [Online]. Available: http://www.uni.net.th (19 มกราคม 2559).
Curtin, Dennis p. 1998. Information Technology The breaking wave, McGraw-Hill International Editions, 300 Pages.
Curtin, Dennis p. &, Foley, Kim and Others. 1998. Information Technology The Breaking wave, McGraw-Hill International, 300 Pages.
Gray B. Shelly,Thomas J. Cashman and Others. 2000. Discovering Computers 2000 Course Technology, 1.1 – 14.52 Pages.
KS-Barcode. Receipt Printer – เครื่องพิมพ์ใบเสร็จ. [Online]. แหล่งที่มา http://ks-barcode.com/receipt-printer (20 มกราคม 2559).
Techmoblog. 2012. Solid State Drive. [Online]. แหล่งที่มา: http://www.techmoblog.com/solid-state-drive-SSD (20 ธันวาคม 2559).
Williams, Brain K. Sawyer,Stacey C and Hutchinson, Sarah E. 1995. Using Information Technology, @RICHARD D. IRWIN, INC., 648 Pages.
Wikipedia . 2017. Digital Visual Interface. [Online]. แหล่งที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/ Digital_Visual_Interface (20/1/2017).
Wikipedia . 2017. HDMI. [Online]. แหล่งที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/HDMI (20/1/2017).
Wikipedia . 2017. USB. [Online]. แหล่งที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/USB (20/1/2017).
Wikipedia . 2017. Video Graphics Array. [Online]. แหล่งที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/ Video_Graphics_Array (20/1/2017).
แผนบริหารการสอนประจำบทที่ 2
วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม
- นักศึกษาสามารถอธิบายองค์ประกอบด้านฮาร์ดแวร์ได้
- นักศึกษาสามารถอธิบายองค์ประกอบด้านซอฟต์แวร์ได้
- นักศึกษาสามารถอธิบายองค์ประกอบทางด้านบุคลากรได้
- นักศึกษาสามารถอธิบายหน้าที่ของแต่ละองค์ประกอบได้
- นักศึกษาสามารถบอกอธิบายลักษณะของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่สำคัญได้
เนื้อหา
- องค์ประกอบด้านฮาร์ดแวร์
- องค์ประกอบด้านซอฟต์แวร์
- บทบาทและความสำคัญของบุคลากรคอมพิวเตอร์
- บทสรุป
- แบบฝึกหัดท้ายบท
วิธีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนประจำบท
- ศึกษาเอกสารประกอบการสอน
- บรรยาย
- ร่วมกันศึกษาและแสดงความคิดเห็นเป็นกลุ่ม
- นำเสนอหน้าชั้นเรียน
- นักศึกษาทำแบบฝึกหัดท้ายบท
- ประเมินผลและเฉลยแบบฝึกหัดท้ายบท
สื่อการเรียนการสอน
- เอกสารประกอบการสอน
- สไลด์ประกอบการสอน
- ใบงาน
- อินเทอร์เน็ต
- แบบฝึกหัดท้ายบท
การวัดผลและประเมินผล
- การตอบคำถามของนักศึกษา
- ผลสรุปการทำกิจกรรม
- ทดสอบจากแบบฝึกหัดท้ายบท
บทที่ 2
ระบบคอมพิวเตอร์
ทุก ๆ สิ่งทุก ๆ อย่างถ้าเราสังเกตให้ดีจะพบว่าการทำงานของสิ่งนั้นจะสำเร็จบรรลุตามวัตถุประสงค์ได้ จะต้องประกอบกันหรือทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ อย่างเช่นร่างกายเรา ถ้าเรานึก หรือ คิด จะทำสิ่งใดหรือ อะไรสักอย่าง จะต้องเกิด กระบวนการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ เช่น ถ้าเรานึกอยากจะไปซื้อของสักอย่าง หนึ่ง อันดับแรกเราต้องใช้สมองค้นหาจากความจำซะก่อนว่าของสิ่งนั้นมีขายอยู่ที่ไหน พอนึกออกแล้ว สมองก็จะคิดต่อไปว่าจะไปโดยวิธีการใด มีเงินครบหรือยัง ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นสมองก็จะต้องคิดแก้ไปหา และจะต้องสั่งส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเราให้ขับเคลื่อนไมว่าจะเป็นแขน ขา หรือปาก เพื่อที่จะให้สิ่งที่เราต้องการนั้น สำเร็จไปได้
คอมพิวเตอร์ก็เช่นกันการที่จะทำงานใด ๆ นั้นจำเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่างเข้ามาทำงานร่วมกันเป็น “ระบบคอมพิวเตอร์ (Computer System)” จึงจะทำให้งานนั้นสามารถดำเนินไปได้ ซึ่งองค์ประกอบ เหล่านี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ คือ ฮาร์ดแวร์ (Hardware) ซอฟต์แวร์(Software) และบุคคลากร (People ware) ทุก ๆ ส่วนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน ต้องประกอบเข้าด้วยกัน ระบบคอมพิวเตอร์จึงจะทำงานได้ อย่างมีประสิทธิภาพ จะขาดส่วนใดส่วนหนึ่งมิได้
- ภาพที่ 2.1 แสดงองค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์
ที่มา : http://www.suwanpaiboon.ac.th/wbi/page/na3.htm
- ฮาร์ดแวร์
ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถึง ส่วนประกอบของตัวเครื่องที่เราสามารถจับต้องได้ เครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นอุปกรณ์ที่ประกอบขึ้นจากการทำงานประสานกันของแผงวงจร อุปกรณ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ซึ่งแต่ละส่วนถูกออกแบบมาให้ทำหน้าที่แตกต่างกัน เราเรียกอุปกรณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ว่า ฮาร์ดแวร์ (Hardware) ซึ่ง สามารถแบ่งออกเป็น 4 หน่วย คือ
- หน่วยรับข้อมล (Input Unit)
- หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit)
- หน่วยความจำ (Memory Unit)
- หน่วยแสดงผล (Output Unit)
- ภาพที่ 2.2 แสดงการทำงานของฮาร์ดแวร์ (Hardware)
ที่มา : www.pixabay.com
- หน่วยรับข้อมูล (Input Unit)
หน่วยรับข้อมูลจะทำหน้าที่รับคำสั่งและข้อมูลไปเก็บไว้ที่หน่วยความจำ เพื่อคอยการประมวลผล หน่วยรับข้อมูลอาจจะรับข้อมูลหรือคำสั่งได้จากอุปกรณ์หลายแบบ แตกต่างตามความเหมาะสมของงานแต่ละ ประเภท หน่วยรับข้อมูลสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
- แป้นพิมพ์ (Keyboard)
เป็นอุปกรณ์รับข้อมูลพื้นฐานที่ต้องมีในเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง จะรับข้อมูลจากการกด แป้น แล้วทำการเปลี่ยนเป็นรหัสสัญญาณทางไฟฟ้าเพื่อส่งเข้าไปในหน่วยประมวลผลของเครื่อง แป้นพิมพ์ ส่วนใหญ่จะถูกออกแบบแป้นเป็นกลุ่ม คือ
- แป้นอักขระ (Character Keys) การจัดวางตัวอักษรเหมือนแป้นบนเครื่องพิมพ์ดีด
- แป้นควบคุม (Control Keys) มีหน้าที่สั่งการคำสั่งพิเศษบางอย่าง โดยใช้งานร่วมกับแป้นอื่นแป้นฟังก์ชั่น (Function Keys) อยู่แถวบนสุด มีสัญลักษณ์เป็น F1 – F12 ซอฟต์แวร์แต่ ละชนิด อาจกำหนดแป้นเหล่านี้ให้มีหน้าที่เฉพาะอย่างแตกต่างกันไป
- แป้นตัวเลข (Numeric Keys) เป็นแป้นที่แยกจากแป้นอักขระมาอยู่ทางด้านขวา มี ลักษณะคล้ายเครื่องคิดเลข ช่วยอำนวยความสะดวกในการบันทึกตัวเลขเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์
- ภาพที่ 2.3 แป้นพิมพ์ (Keyboard)
ที่มา : www.pixabay.com
- เมาส์ (Mouse)
เมาส์เป็นอุปกรณ์นำเข้าข้อมูลอีกประเภทหนึ่งที่ให้ผู้ใช้ติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์แทน แป้นพิมพ์เพราะโปรแกรมที่ใช้งานในปัจจุบันส่วนใหญ่ถูกออกแบบให้สามารถทำงานร่วมกับเมาส์ได้ เพื่อเป็น การลดภาระที่ผู้ใช้ต้องพิมพ์คำสั่งต่าง ๆ ผ่านทางแป้นพิมพ์ ผู้ใช้เพียงแต่เลื่อนเมาส์ ที่จอภาพจะปรากฏเป็นลูกศร เรียกว่าตัวชี้เมาส์ (Mouse Pointer) เคลื่อนที่ไปมาบนจอภาพในทิศทางเดียวกันกับที่ผู้ใช้เมาส์ ออกไปเมื่อตัวชี้เมาส์เลื่อนออกไปอยู่ยังตำแหน่งที่ต้องการ ให้ผู้ใช้กดปุ่มด้านซ้ายที่อยู่บนตัวเมาส์ (คลิก) เพื่อ เลือกรายการนั้น ๆ ขึ้นมา
- ภาพที่ 2.4 เมาส์ (Mouse)
ที่มา : www.pixabay.com
- ตัวเลื่อนเมาส์พอยท์เตอร์แบบสัมผัส (Touching Pad)
เป็นอุปกรณ์นำเช้าข้อมูลที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในเครื่องคอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้ว (Notebook) ซึ่งใช้งานแทนเมาส์และแทร็กบอล มีลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ด้านล่างมีปุ่มอยู่ 2 ปุ่ม ทำ หน้าที่เหมือนกับปุ่มซ้ายและขวาของเมาส์ สามารถเลื่อนเมาส์พอยท์เตอร์ได้โดยการสัมผัสที่แผ่นสี่เหลี่ยม เมื่อผู้ใช้เลื่อนนิ้วที่สัมผัสไปมา จะเห็นว่าลูกศรที่เป็นเมาส์พอยท์เตอร์บนจอภาพเลื่อนตามในทิศทางของการเลื่อนนิ้วที่สัมผัสบนแผ่นสี่เหลี่ยมนั้น
- ภาพที่ 2.5 ทัชชิ่งแพด (Touching pad)
ที่มา : www.pixabay.com
- จอยสติก (Joystick)
เป็นก้านสำหรับใช้โยกขึ้นลง / ซ้ายขวา เพื่อย้ายตำแหน่งของตัวชี้ตำแหน่งบนจอภาพ มี หลักการทำงานเช่นเดียวกับเมาส์แต่ต่างกันตรงมีแป้นกดเพิ่มเติมมาจำนวนหนึ่งสำหรับสั่งงานพิเศษ นิยมใช้กับการเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์หรือควบคุมหุ่นยนต์
- ภาพที่ 2.6 จอยสติก (Joystick)
ที่มา : www.colourproduct.com.hk
- จอภาพระบบสัมผัส (Touch Screen)
เป็นจอภาพแบบพิเศษซึ่งผู้ใช้เพียงแตะปลายนิ้วลงบนจอภาพในตำแหน่งที่กำหนดไว้เพื่อเลือก การทำงานที่ต้องการ ซอฟต์แวร์ที่ใช้จะเป็นตัวค้นหาว่าผู้ใช้เลือกทางเลือกทางใด และทำงานให้ตามนั้น จอภาพระบบสัมผัสนี้ในปัจจุบันเป็นที่นิยมกันมาก ทั้งในคอมพิวเตอร์หิ้วกระเป๋า สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต
- ภาพที่ 2.7 จอระบบสัมผัส (Touch Screen)
ที่มา : www.pixabay.com
- สไตลัส (Stylus)
สไตลัสเป็นปากกาที่ใช้กับแท็บเล็ตและอุปกรณ์เคลื่อนที่ต่าง ๆ ซึ่งใช้แรงกดในการวาดภาบนหน้าจอ โดยสามารถใช้ร่วมกับซอฟต์แวร์รู้จำลายมือ (handwriting recognition software) เพื่อแปลงจากลายมือที่วาดหรือเขียนให้อยู่ในรูปแบบที่หน่วยระบบสามารถประมวลผลได้
- ภาพที่ 2.8
สไตลัส (Stylus)
ที่มา : www.tutorialbyte.com
- เครื่องอ่านภาพ (Scanner)
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้อ่านหรือสแกนข้อมูลบนเอกสารเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ใช้วิธีส่องแสงไปยัง วัตถุที่ต้องการสแกน แสงที่ส่องไปยังวัตถุแล้วสะท้อนกลับมาจะถูกส่งผ่านไปที่เซลล์ไวแสง (Charge-Coupled Device หรือ CCD) ซึ่งจะทำการตรวจจับความเข้มของแสงที่สะท้อนออกมาจากวัตถุและแปลงให้อยู่ในรูปของข้อมูลทางดิจิทัล เอกสารอาจจะประกอบด้วยข้อความหรือรูปภาพกราฟิกก็ได้ ปัจจุบันสแกนเนอร์ที่นิยมมากที่สุด คือ เครื่องสแกนเนอร์แบบแท่น ผู้ใช้เพียงวางกระดาษ ต้นฉบับที่ต้องการไปบนเครื่องสแกนเนอร์ มีวิธีการทำงานคล้ายกับเครื่องถ่ายเอกสาร ทำให้
ไช้งานได้ง่าย
- ภาพที่ 2.9 เครื่องอ่านภาพ (Scanner)
ที่มา : www. epson.com
- เครื่องอ่านเครื่องหมายด้วยแสง (Optical Mark Reader – OMR)
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้หลักการอ่านสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายที่ระบายด้วยดินสอดำลงในตำแหน่ง ที่กำหนด ตัวอย่างเช่น ข้อสอบแบบเลือกคำตอบ เป็นต้น โดยดินสอดำที่ใช้นั้นต้องมี สารแม่เหล็ก (Magnetic particle) จำนวนหนึ่ง เพื่อให้เครื่องโอเอ็มอาร์สามารถรับรู้ได้ ซึ่งปกติจะเป็นดินสอ 2B จากนั้น เครื่องโอเอ็มอาร์ก็จะอ่านข้อมูลตามเครื่องหมายที่มีการระบายด้วยดินสอดำ
- ภาพที่ 2.10 เครื่องอ่านเครื่องหมายด้วยแสง
ที่มา : www. microlab.com
- เครื่องอ่านแทบสี (Bar-Code Reader)
ทำหน้าที่อ่านรหัสที่มีลักษณะเป็นแถบสีขาวสลับดำ (Bar-code) ที่นิยมกันมากคือ UPC (Universal Product Code) เป็นรหัสที่ติดอยู่บนห่อสินค้าทั่วไปโดยเครื่องอ่านแถบสีจะทำการอ่านแถบรหัสบน สินค้าแล้วแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้าส่งไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อตรวจสอบราคาและปริมาณสินค้า สามารถแสดงยอดเงินรวมและทำการปรับปรุงรายการสินค้าคงเหลือได้พร้อม ๆ กัน ห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ นิยมใช้กันมาก จึงพบเห็นได้ทั่วไป
- ภาพที่ 2.11 เครื่องอ่านแถบสี
ที่มา : www.pixabay.com
- เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID readers)
เป็นเครื่องอ่านความถี่คลื่นวิทยุซึ่งจะอ่านข้อมูลจากไมโครชิปอาร์เอฟไอดีที่ฝังอยู่ในอุปกรณ์หรือสิ่งต่าง ๆ เช่น สินค้า ใบขับขี่ บัตรประชาชน เป็นต้น ในชิปอาร์เอฟไอดีจะมีการบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตัวอย่งการใช้งาน เช่น ข้อมูลรายละเอียดส่วนตัวในบัตรประจำตัวประชาชน ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าเพื่อติดตามกระบวนการผลิตหรือ การใช้เพื่อติดตามสัตว์เลี้ยงที่หายไป ใช้กับบัตรทางด่วนซึ่งจะหักเงินจกบัตรแทนการจ่ายเงินสด
- ภาพที่ 2.12
อุปกรณ์ที่ฝังไมโครชิปอาร์เอฟไอดี
ที่มา : www.identiv.com
- กล้องถ่ายภาพดิจิทัล (Digital Camera)
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับถ่ายภาพแบบไม่ต้องใช้ฟิล์ม ภาพที่ได้จะประกอบด้วยจุดเล็ก ๆ จำนวนมาก และสามารถนำเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์สแกนเนอร์อีก เป็น อุปกรณ์ที่เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเนื่องจากไม่ต้องใช้ฟิล์มในการถ่ายภาพและสามารถดูผลลัพธ์ได้ จากจอที่ติดอยู่กับกล้องได้ในทันที
- ภาพที่ 2.13 กล้องถ่ายภาพดิจิทัล
ที่มา : http://images.clipshrine.com
- อุปกรณ์รับข้อมูลเสียง (Voice Input Devices)
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ไมโครโฟน เป็นอุปกรณ์รับข้อมูลในรูปแบบเสียง โดยจะทำการแปลง สัญญาณเสียงเป็นสัญญาณดิจิทัลแล้วจึงส่งไปยังคอมพิวเตอร์
- ภาพที่ 2.14 อุปกรณ์รับข้อมูลเสียง
ที่มา : http://www.clker.com
- หน่วยประมวลผลกลาง (CPU : Central Processing Unit)
หน่วยประมวลผลกลาง จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางควบคุมการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งหมด โดยนำข้อมูลจากอุปกรณ์รับข้อมูลมาทำการประมวลผลข้อมูลตาม คำสั่งของโปรแกรมและส่งผลลัพธ์ที่ได้ออกไปที่หน่วยแสดงผลในรูปแบบที่ผู้ใช้เข้าใจ เช่น ทางกระดาษพิมพ์ หรือบันทึกไว้ที่สื่อบันทึกข้อมูล เช่น แผ่นบันทึก เทปแม่เหล็ก เพื่อนำมาใช้อีก หน่วยประมวลผลกลางสามารถทำการคำนวณและโยกย้ายข้อมูล หรือเปรียบเทียบข้อมูลได้อย่างรวดเร็วมาก
- ภาพที่ 2.15 หน่วยประมวลผลกลาง
ที่มา : www.pixabay.com
หน่วยประมวลผลกลางประกอบขึ้นมาจากวงจรอิเล็กทรอนิกส์อยู่ 2 ส่วนคือ
- หน่วยคำนวณและตรรกะ (Arithmetic and Logical สUnit : ALU)
หน่วยคำนวณตรรกะ ทำหน้าที่เหมือนกับเครื่องคำนวณอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยทำงาน เกี่ยวกับการคำนวณทางคณิตศาสตร์ เช่น บวก ลบ คูณ หาร อีกทั้งยังมีความสามารถอีกอย่างหนึ่งที่เครื่อง คำนวณธรรมดาไม่มี คือ ความสามารถในเชิงตรรกะศาสตร์ หมายถึง ความสามารถในการเปรียบเทียบตาม เงื่อนไข และกฎเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์ เพื่อให้ได้คำตอบออกมาว่าเงื่อนไขนั้นเป็น จริง หรือ เท็จ ได้
- ส่วนควบคุม (Control Unit)
หน่วยควบคุม ทำหน้าที่ควบคุมลำดับขั้นตอนการประมวลผล รวมไปถึงการประสานงานกับ อุปกรณ์นำเข้าข้อมูล อุปกรณ์แสดงผล และหน่วยความจำสำรองด้วย
- หน่วยความจำ (Memory Unit)
หน่วยความจำ เป็นที่เก็บโปรแกรม ข้อมูล และผลลัพธ์ไว้ภายในคอมพิวเตอร์หน่วยนี้รวมถึงสื่อข้อมูลที่ ช่วยในการจดจำ เช่น แผ่นบันทึก เป็นต้น โดยเปรียบเทียบหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ไห้กับความจำของ สมองคนซึ่งใช้การจดจำสิ่งต่าง ๆ และสื่อข้อมูลที่ช่วยในการจดจำเปรียบเทียบได้กับสมุดบันทึกซึ่งใช้ช่วยใน การจดจำเพิ่มเติมจากสมอง สำหรับหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์แบ่งไห้เป็น 2 ประเภทคือ
- หน่วยความจำหลัก (Primary Memory Unit)
หน่วยความจำหลักงานร่วมกับหน่วยประมวลผลกลางจะห้องให้หน่วยประมวลผลกลางนำ ข้อมูลมาเก็บหรือเรียกข้อมูลไปได้อย่างรวดเร็ว หน่วยความจำที่ทำงานร่วมกับหน่วยควบคุม (Control Unit) และหน่วยประมวลผลทางคณิตศาสตร์และตรรกะ (ALU) หน่วยความจำหลักจะอยู่ภายในตัวเครื่องและเป็น ส่วนที่จำเป็นห้องมีสำหรับคอมพิวเตอร์ โดยแบ่งเป็นส่วนสำคัญไห้ดังนี้
- แรม (RAM : Random Access Memory)
ใช้ในระบบคอมพิวเตอร์ ลักษณะเด่นคือสามารถเขียนข้อมูลลงไปและเรียกดูข้อมูลได้ แรมจะเก็บข้อมูลตราบเท่าที่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลหรือหากไฟฟ้าเลี้ยงวงจรขาดหายไป ข้อมูลที่เก็บไว้ก็จะสูญหายไป หน่วยความจำนี้เรียกว่า โวลาไทล์ (Volatile Memory) คือ เมื่อไฟดับข้อมูลที่มีอยู่นั้นจะสูญหายไป หรือเรียกว่า Read Write Memory หรือเรียกว่า หน่วยความจำชั่วคราว เราสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ
- DRAM (Dynamic Random Access Memory)
- ภาพที่ 2.16 DRAM
ที่มา : https://i.ytimg.com
DRAM เป็นชิปของหน่วยความจำที่นิยมใช้หน่วยความจำหลักในเครื่อง คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC: Personal Computer) มีเวลาในการเข้าถึงข้อมูลค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับ SRAM ข้อดีของ DRAM คือ มีความจุสูงมากและราคาไม่แพงหาซื้อได้ง่ายตามร้านจำหน่ายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
- SRAM (Static Random Access Memory)
- ภาพที่ 2.17 SRAM
ที่มา : http://3.bp.blogspot.com
SRAM เป็นชิปที่มีเวลาในการเช้าถึงข้อมูล ที่เร็วกว่า DRAM มาก SRAM มัก นำไปใช้ในหน่วยความจำแบบแคช (Cache Memory) เนื่องจากมีความเร็วสูงกว่า DRAM มาก ซึ่งใกล้เคียงกับ การทำงานของซีพียู ทำให้ไม่มีสภาวะรอคอยเกิดขึ้น แต่ SRAM จะมีราคาค่อนข้างสูง ความจุต่อชิปก็น้อยเมื่อ เทียบกับ DRAM
- รอม (ROM : Read Only Memory)
- ภาพที่ 2.18 ROM
ที่มา : www.howstuffworks.com
เป็นหน่วยความจำที่ได้รับการบรรจุข้อมูลไว้ภายในก่อนแล้ว โดยทั่วไปแล้วรอมจะถูกอ่านได้อย่างเดียวเท่านั้น โดยจะใช้เก็บคำสั่งที่ใช้อยู่เป็นประจำและคำสั่งเฉพาะ โปรแกรมที่อยู่ในรอมนี้จะอยู่อย่างถาวร แม้ว่าจะปิดเครื่องโปรแกรมก็จะไม่ถูกลบไป เรียกว่า นอน-โวลาไทล์ (Non-Volatile Memory) คือ ข้อมูลจะไม่หายเมื่อปิดเครื่อง ปัจจุบันหน่วยความจำหลักมีลักษณะเป็น ในหน่วยความจำหลักที่เป็นประเภทของ EEPROM (Electronic Erasable Programmable Read Only Memory) ซึ่งสามารถเขียนและลบโปรแกรมที่ถูกจัดเก็บภายในหน่วยความจำได้โดยการใช้กระแสไฟฟ้า
- หน่วยความจำสำรอง (Secondary Memory Unit)
เป็นหน่วยความจำที่ต้องอาศัยสื่อบันทึกข้อมูลและอุปกรณ์รับ-ส่งข้อมูลชนิดต่าง ๆ ได้แก่
- ฟล็อปปี้ดิสก์ (Floppy Disk)
เป็นแผ่นพลาสติกวงกลม ปัจจุบันมีขนาด 3.5 นิ้ว (วัดจากเส้นผ่านศูนย์กลางของ วงกลม) สามารถอ่านได้ด้วยดิสก์ไดร์ฟ โดยการอ่านมีหลักการทำงานคล้ายกับการเล่นซีดีเพลง ส่วนการบันทึก มีหลักการทำงานคล้ายกับการบันทึกเสียงลงในเทปบันทึกเสียง ต่างกันก็ตรงที่ผู้ใช้ไม่ต้องกดปุ่มใด ๆ เมื่อต้องการบันทึกข้อมูล เพราะโปรแกรมที่ใช้งานจะจัดการให้โดยอัตโนมัติ โดยจะมีแถบป้องกันการบันทึก (Write-protection) อยู่ด้วย ผู้ใช้สามารถเปิดแถบนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีการบันทึกข้อมูลอื่นทับไปหรือลบข้อมูลทิ้ง ปัจจุบันไม่นิยมใช้งานแล้ว แต่ฟล็อบปี้ดิสก์กลายเป็นรูปสัญลักษณ์ (Icon) ที่ใช้สื่อถึงการบันทึกข้อมูลในโปรแกรมต่าง ๆ
- ภาพที่ 2.19 ฟลอบปี้ดิสก์ (Floppy disk)
ที่มา : https://vistazomovil.files.wordpress.com/2013/09/imagen-diskettes.jpg
- ฮาร์ดดิสก์ (Hard disk)
ฮาร์ดดิสก์ทำมาจากแผ่นโลหะแข็ง สามารถเก็บข้อมูลได้มากและทำงานได้รวดเร็ว ฮาร์ดดิสก์ส่วนใหญ่จะถูกยึดติดอยู่ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่ ก็มีบางรุ่นที่เป็นแบบ เคลื่อนย้ายได้ (Removable disk) ฮาร์ดดิสก์ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน จะประกอบด้วยจานแม่เหล็กหลาย ๆ แผ่น และสามารถบันทึกข้อมูลได้ทั้งสองหน้าของผิวจานแม่เหล็ก โดยที่ทุกแทรก (Track) และเซกเตอร์ (Sector) ที่มีตำแหน่งตรงกันของฮาร์ดดิสก์ชุดหนึ่งจะเรียกว่า ไซลินเดอร์ (Cylinder)
แผ่นจานแม่เหล็กของฮาร์ดดิสก์นั้นหมุนเร็วมาก โดยที่หัวอ่านและบันทึกจะไม่สัมผัสกับผิวของแผ่น จานแม่เหล็ก ดังนั้นจึงอาจมีความผิดพลาดหรือเสียหายเกิดขึ้นได้ถ้ามีบางสิ่งบางอย่าง เช่น ฝุ่น ขวางหัวอ่านและบันทึก เพราะอาจทำให้หัวอ่านและบันทึกกระแทกกับผิวของแผ่นจานแม่เหล็ก การที่ฮาร์ดดิสก์มีประสิทธิภาพ และความจุที่สูง เนึ่องจากประกอบด้วยแผ่นจานแม่เหล็กจำนวนหลายแผ่นทำให้เก็บข้อมูลได้มากกว่า นอกจากนี้ฮาร์ดดิสก์จะหมุนด้วยความเร็วสูงมาก คือ ตั้งแต่ 7,200 รอบต่อนาที ทำให้สามารถอ่านข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว
การเชื่อมฮาร์ดดิสก์กับแผงวงจรหลักจะต้องมี ส่วนเชื่อมต่อฮาร์ดดิสก์ (Hard disk Interface) ซึ่งจะมีวงจรมาตรฐานที่ทั้งแผงวงจรหลักและฮาร์ดดิสก์รู้จัก ทำให้ข้อมูลสามารถส่งผ่านระหว่างแผงวงจรหลักและฮาร์ดดิสก์ได้ มาตรฐานส่วนเชื่อมต่อฮาร์ดดิสก์ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน คือ SATA (Serial ATA), EIDE (Enhanced Integrated Drive Electronics) และ SCSI (Small Computer System Interface)
- ภาพที่ 2.20 ฮาร์ดดิสก์ (Hard disk)
ที่มา : www.wikimedia.org
- ภาพที่ 2.21 ฮาร์ดดิสก์แบบพกพก (External Hard disk)
ที่มา : www.pixabay.com
- โซลิดสเตตไดร์ฟ (Solid State Drive หรือ SSD)
เป็นใช้ชิปวงจรรวมที่ประกอบเป็นหน่วยความจำเก็บข้อมูล :ซึ่งถูกสร้างมาเพื่อทดแทนการใช้งานจานแม่เหล็กในฮาร์ดดิสก์แบบเดิม ด้วยการใช้ชิปวงจรรวมนี้ส่งผลให้ความเสียหายจากแรงกระแทกของโซลิดสเตตนั้นน้อยกว่าฮาร์ดดิสก์ การที่โซลิดสเตตไม่ใช้วิธีการอ่านข้อมูลด้วยวิธีหมุนจานแม่เหล็กทำให้อุปกรณ์ชนิดนี้กินไฟน้อยกว่าเดิม นอกจากนั้นเวลาในการเข้าถึงข้อมูลยังเร็วขึ้นอีกด้วย เนื่องจากสามารถเข้าถึงข้อมูลในตำแหน่งต่าง ๆ ได้ทันที ด้วยขนาดที่เล็กและเบาลงมากกว่าฮาร์ดดิสก์ส่งผลให้ในปัจจุบันโซลิดสเตตถูกนำไปเป็นชิ้นส่วนของเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา สมาร์ทโฟน แท๊บเล็ต เป็นต้น
- ภาพที่ 2.22 โซลิดสเตตไดร์ฟ (Solid State Drive)
ที่มา : http://www.versiondaily.com
- ซีดี-รอม (CD-ROM หรือ Compact Disk Read Only Memory)
แผ่นซีดีรอมจะมีลักษณะคล้ายซีดีเพลง สามารถเก็บข้อมูลได้สูงถึง 700 เมกะไบต์ ต่อแผ่น การใช้งานแผ่นซีดีรอมต้องใช้ร่วมกับซีดีรอมไดร์ฟ (CD-ROM Drive) ซึ่งจะมีหลายชนิดขึ้นกับความเร็วในการทำงาน ซีดีรอมไดร์ฟรุ่นแรกสุดนั้นมีความเร็วในการอ่านข้อมูลที่ 150 กิโลไบต์ต่อ วินาที เรียกว่ามีความเร็ว 1 เท่าหรือ 1 X ซีดีรอมไดร์ฟรุ่นหลัง ๆ จะอ้างอิงความเร็วในการอ่านข้อมูลจากรุ่นแรก เช่น ความเร็ว 2 เท่า (2x) 5 ความเร็ว 4 เท่า (4x) เป็นต้น แต่ปัจจุบันนี้ ซีดีรอมไดร์ฟที่จะมีความเร็วตั้งแต่สิบเท่าขึ้นไป
ซีดีรอมได้รับความนิยมใช้เป็นสื่อเก็บข้อมูลสำหรับอ่านอย่างเดียวเป็นอย่างมาก เช่น ซอฟต์แวร์ เกมส์ แผนที่โลก หนังสือ ภาพยนตร์ เป็นต้น
ในปัจจุบันนี้มีแผ่นซีดีรอมที่สามารถบันทึกและอ่านข้อมูลได้ เรียกว่า ซีดีอาร์ (CD-R หรือ CD Recordable) ซึ่งสามารถนำซีดีรอมไดร์ฟชนิดใดก็ได้อ่านข้อมูลไนแผ่นซีดี โดยการบันทึกข้อมูลลงบนแผ่นซีดี อาร์สามารถเก็บข้อมูลได้ประมาณ 700 เมกะไบต์ในหนึ่งแผ่น
- ภาพที่ 2.23 ซีดีรอม CD-ROM
ที่มา : http://www.webrecovery.it
- ดีวีดี (DVD หรือ Digital Versatile Disk)
เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน โดยแผ่นดีวีดีสามารถ เก็บข้อมูลได้ตํ่าสุดที่ 4.7 จิกะไบต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับเก็บภาพยนตร์เต็มเรื่องด้วยคุณภาพระดับสูงสุดทั้งภาพ และเสียง (ในขณะที่ CD-ROM หรือ Laser Disk ที่นิยมใช้เก็บภาพยนตร์ในปัจจุบันต้องใช้หลายแผ่น) ทำให้ดีวีดีมีความนิยมใช้งานอย่างแพร่หลายแทนที่ซีดีรอม
ข้อกำหนดของดีวีดีจะสามารถมีความจุได้ตั้งแต่ 4.7 GB ถึง 17 GB และมีความเร็วในการเข้าถึง (Access time) อยู่ที่ 600 กิโลไบต์ต่อวินาที ถึง 1.3 เมกะไบต์ต่อวินาที รวมทั้งสามารถอ่านแผ่นซีดีรอมแบบเก่า ได้ด้วย
- ภาพที่ 2.24 ดีวีดี (DVD)
ที่มา : www.pixabay.com
- เทปแม่เหล็ก (Magnetic Tape)
เป็นหน่วยเก็บข้อมูลที่ใช้กันมานาน ปัจจุบันได้รับความนิยมน้อยลง เทปแม่เหล็กมี หลักการทำงานคล้ายเทปบันทึกเสียง ในเครื่องเมนเฟรมเทปที่ใช้จะเป็นแบบม้วนเทป (Reel-to-reel) ซึ่งเป็นวงล้อขนาดใหญ่ ในเครื่องมินิคอมพิวเตอร์จะใช้คาร์ทริดจ์เทป (Cartridge tape) ซึ่งมีลักษณะคล้ายวิดีโอเทป ส่วน ในเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์จะใช้ตลับเทป (Cassette tape) ซึ่งมีลักษณะเหมือนเทปเพลง เทปทุกชนิดที่กล่าวมามีหลักการทำงานคล้ายกับเทปบันทึกเสียง คือจะอ่านข้อมูลตามลำดับก่อนหลังตามที่ได้บันทึกไว้ เรียกหลักการนี้ว่าการอ่านข้อมูลแบบลำดับ (Sequential access) จึงเป็นข้อเสียของการใช้เทปแม่เหล็กบันทึกข้อมูล คือทำให้อ่านข้อมูลได้ช้า เนื่องจากต้องอ่านข้อมูลในม้วนเทปไปเรื่อย ๆ จนถึงตำแหน่งที่ต้องการ ผู้ใช้จึงนิยมนำเทปแม่เหล็กมาสำรองข้อมูลเท่านั้น ใช้กับข้อมูลที่สำคัญและไม่ถูกเรียกใช้บ่อย ๆ เพื่อป้องกันการสูญหายของข้อมูล
ข้อดีของเทปแม่เหล็กคือสามารถบันทึก อ่านและลบกี่ครั้งก็ได้ รวมทั้งมีราคาตํ่า นอกจากนี้ยังสามารถ บันทึกข้อมูลจำนวนมาก ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ในลื่อที่มีขนาดใหญ่มากนัก ความจุของเทปแม่เหล็กจะมีหน่วยเป็น ไบต์ต่อนิ้ว (Byte per inch) หรือ บีพีไอ (bpi) ซึ่งหมายถึงจำนวนตัวอักษรที่เก็บได้ในเทปยาวหนึ่งนิ้ว หรือเรียก ได้อีกอย่างว่าความหนาแน่นของเทปแม่เหล็ก
- ภาพที่ 2.25
เทปแม่เหล็ก (Magnetic Tape)
ที่มา : www.pixabay.com
- รีมูฟเอเบิลไดร์ฟ (Removable Drive)
เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่ไม่ต้องมีตัวขับเคลื่อน (Drive) สามารถพกพาไปไหนได้โดย ต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย Port USB ปัจจุบันความจุมีตั้งแต่ 4, 16, 32, 64, 128 กิกะไบต์ และขยายจนถึง 1 เทอราไบต์ ทั้งนี้ ยังมีไดร์ฟลักษณะเดียวกันเรียกในชื่ออื่น ๆ เช่น Pen Drive, Thump Drive, Flash Drive, Handy Drive เป็นต้น
- ภาพที่ 2.26 รีมูฟเอเบิลไดร์ฟ (Removable Drive)
ที่มา : http://media.trusper.net
- การ์ดเมมโมรี (Memory Card)
เป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลที่มีขนาดเล็ก พัฒนาขึ้น เพื่อนำไปใช้กับอุปกรณ์เทคโนโลยี แบบต่าง ๆ เช่น กล้องดิจิทัล คอมพิวเตอร์มือถือ (Personal Data Assistant –
PDA) โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น
- ภาพที่ 2.27 การ์ดเมมโมรี (Memory Card)
ที่มา : www.freesoftwaresclub.com
- หน่วยแสดงผล
หน่วยแสดงผลทำหน้าที่แสดงผลจากการประมวลผล โดยนำผลที่ได้ออกมาจากหน่วยความจำหลักแสดงให้ผู้ใช้ได้ ทั้งในรูปแบบแสดงผลทางจอภาพหรือในรูปแบบของการบันทึกลงสื่อบันทึก ข้อมูลเราเรียกอุปกรณ์นี้ว่า อุปกรณ์แสดงผล (Output Device)
จะเห็นได้ว่าอุปกรณ์บางอย่างเป็นได้ทั้งอุปกรณ์รับข้อมูลและแสดงผลซึ่งเรียกว่า Input/output Device อุปกรณ์เหล่านี้ได้แก่ เครื่องขับแผ่นบันทึกข้อมูล (Diskette) ฮาร์ดดิสก์ (Hard disk) เป็นต้น โดยจะ เรียกอุปกรณ์เหล่านี้ตามหน้าที่ในขณะที่ทำงานร่วมกับหน่วยความจำหลัก คือ ถ้าเป็นการนำข้อมูลเข้ามา หน่วยความจำหลัก ก็จะเรียกอุปกรณ์นี้เป็น อุปกรณ์รับข้อมูล แต่ถ้าเป็นการนำข้อมูลออกจากหน่วยความจำ หลักก็จะเรียกอุปกรณ์แสดงผล ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- อุปกรณ์ที่ใช้แสดงผลลัพธ์ชั่วคราว
หมายถึง อุปกรณ์ที่ให้ผลลัพธ์แก่ผู้ใช้ในระยะเวลาหนึ่ง ไม่สามารถเก็บไว้เป็นหลักฐานได้ เช่น จอภาพ เป็นต้น อุปกรณ์แสดงผลทั่วไปที่นิยมใช้มีรายละเอียดดังนี้
- คอมพิวเตอร์จอภาพ (Monitor)
ใช้แสดงข้อมูลหรือผลลัพธ์ให้ผู้ใช้เห็นได้ทันที มีรูปร่างคล้ายจอภาพของโทรทัศน์ บนจอภาพประกอบด้วยจุดจำนวนมากมาย เรียกจุดเหล่านั้นว่า พิกเซล (Pixel) ถ้ามีพิกเซลจำนวนมากก็จะทำให้ผู้ใช้มองเห็นภาพบนจอได้ชัดเจนมากขึ้น แบ่งได้เป็นสองประเภท คือ
จอซีอาร์ที (Cathode Ray Tube) นิยมใช้กับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ส่วนมากในปัจจุบัน ใช้หลักการยิงแสงผ่านหลอดภาพคล้ายกับโทรทัศน์ ปัจจุบันไม่ได้รับความนิยมแล้ว
จอแอลซีดี (Liquid Crystal Display) นิยมใช้เป็นจอภาพของเครื่อง คอมพิวเตอร์แบบพกพาทำให้เป็นจอภาพที่มีความหนาไม่มาก มีน้ำหนักเบาและกินไฟน้อยกว่าจอภาพซีอาร์ที แต่มีราคาสูงกว่า เทคโนโลยีจอแอลซีดีในปัจจุบันจะมีสองแบบคือ Passive Matrix ซึ่งมีราคาตํ่าแต่ขาดความคมชัดและอาจมองไม่เห็นภาพเมื่อผู้ใช้มองจากบางมุม ส่วน Active Matrix หรือบางครั้งอาจเรียกว่า Thin Film Transistor (TFT) จะให้ภาพที่คมขัดกว่าแต่จะมีราคาสูงกว่ามากซึ่งจะมีจอภาพอยู่หลายชนิดให้เลือก โดยแตกต่างกันใน ส่วนของ ความละเอียด (Resolution) จำนวนสี (Color) และขนาดของจอภาพ (Size)
ในส่วนความละเอียดของจอภาพ ในปัจจุบันจะนิยมใช้จอภาพชนิดสีแบบ ซูเปอร์วีจีเอ (Super VGA) ซึ่งมีความละเอียด 800×600 พิกเซล สำหรับจอภาพที่มีความละเอียดตํ่า (Low resolution) และสำหรับจอภาพที่มี ความละเอียดสูง จะนิยมใช้ความละเอียดที่ 1024×768,1280×1024 หรือ 1600×1200 พิกเซล ซึ่งจะให้ความ คมชัดที่สูงมาก สิ่งที่เป็นปัจจัยอีกอันหนึ่งที่ทำให้ภาพดูคมชัดมากขึ้นถึงแม้ว่าจะมีจำนวนพิกเซลเท่ากัน ก็คือ ระยะห่างระหว่างพิกเซล (Dot pitch) โดยระยะห่างระหว่างพิกเซลน้อยก็จะให้ความละเอียดได้มากกว่า จอภาพ ที่มีขายในท้องตลาดปัจจุบันมีระยะห่างระหว่างพิกเซลอยู่ระหว่าง 0.21-0.28 หน่วย ซึ่งระยะห่างระหว่างพิกเซล นี้เป็นสิ่งที่ติดมากับเครื่องไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ปัจจุบันนี้ผู้ใช้มักจะแสดงภาพกราฟิก ภาพจากโทรทัศน์ ภาพเคลื่อนไหว บนจอภาพคอมพิวเตอร์ จึง ต้องการจอภาพที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น จอภาพที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีขนาด 15 นิ้ว และ 17 นิ้ว ส่วนจอภาพซึ่งมี ขนาดใหญ่กว่านี้จะนิยมใช้กับงานที่เน้นกราฟิก เช่น งานออกแบบ (CAD) เป็นต้น
การต่อจอภาพเข้ากับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์นั้นจะต้องมี แผงวงจรกราฟิก (Graphic Adapter Board) ซึ่งจอภาพแต่ละชนิดก็ต้องการแผงวงจรที่ต่างกัน แผงวงจรกราฟิกจะถูกเสียบเช้ากับ ช่องขยายเพิ่มเติม (Expansion slot) ในคอมพิวเตอร์ แผงวงจรกราฟิกมักจะมีหน่วยความจำเฉพาะที่เรียกว่า หน่วยความจำวิดีโอ (Video memory) เพื่อให้ใช้โปรแกรมด้านกราฟิกได้สวยงามและรวดเร็ว
สิ่งที่เป็นปัจจัยข้อหนึ่งที่ผู้ใช้จอภาพต้องคำนึงคือ อัตราการเปลี่ยนภาพ (Refresh Rate) ของการ์ดวิดีโอ โดยภาพที่แสดงบนจอภาพแต่ละภาพนั้นจะถูกลบและแสดงภาพใหม่เริ่มจากบนลงล่าง หากอัตราการเปลี่ยน ภาพในแนวดิ่ง (Vertical-refresh rate) เป็น 60 ครั้งต่อวินาที หรือ 60 Hz จะเกิดการกระพริบทำให้ผู้ใช้ปวดศีรษะ ได้ มีผู้วิจัยพบว่าอัตราเปลี่ยนภาพ
ในแนวดิ่งไม่ควรตํ่ากว่า 70 Hz จึงจะไม่เกิดการกระพริบ และทำให้ผู้ใช้ดูจอภาพได้อย่างสบายตา
- ภาพที่ 2.28 จอภาพคอมพิวเตอร์ (Monitor)
ที่มา : www.pixabay.com
- อุปกรณ์ฉายภาพ (Projector)
เป็นอุปกรณ์ที่นิยมใช้ในการเรียนการสอนหรือการประชุม เนื่องจากสามารถนำเสนอข้อมูลให้ผู้ชมจำนวนมากเห็นพร้อม ๆ กัน ในปัจจุบันจะมีอยู่หลายแบบ ทั้งที่สามารถต่อสัญญาณจากคอมพิวเตอร์โดยตรง หรือใช้อุปกรณ์พิเศษในการวางลงบนเครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ (Overhead Projector) ธรรมดา เหมือนกับอุปกรณ์นั้นเป็นแผ่นใส่แผ่นหนึ่ง
อุปกรณ์ฉายภาพจะมีข้อแตกต่างกันมากในเรื่องของกำลังส่องสว่าง เนื่องจากยิ่งมีกำลังส่องสว่างสูง ภาพที่ได้ก็จะชัดเจนมากขึ้น กำลังส่องสว่างมีหน่วยวัดค่าอยู่ 3 แบบ คือ LUX, LUMEN และ ANSI LUMEN โดยการวัดค่าแบบ LUX จะวัดค่าความสว่างที่จุดกึ่งกลางของภาพ จึงได้ค่าความสว่างสูงที่สุดเมื่อ เทียบกับอีก 2 แบบ การวัดแบบ LUMEN จะแบ่งภาพออกเป็น 3 ส่วน คือ บน กลางและล่าง และแต่ละส่วนจะถูกแบ่งออกเป็น 3 จุด คือ ริมซ้าย กลาง และริมขวา รวมจุดภาพทั้งหมด 9 จุด แล้วจึงใช้ค่าเฉลี่ยของความสว่างทั้ง 9 จุดคิดออกมาเป็นค่า LUMEN ส่วนการวัดแบบ ANSI LUMEN จะมีมาตรฐานสูงสุด โดยใช้วิธีเดียวกับ LUMEN แต่จะกำหนดขนาดจอภาพไว้คงที่คือ 40 นิ้ว (หากไม่กำหนด การวัดค่าความสว่างจะสูงขึ้นเมื่อจอภาพ มีขนาดเล็กลง)
- ภาพที่ 2.29 อุปกรณ์ฉายภาพ (Projector)
ที่มา : www. http://wuji-zentrum.de/
- อุปกรณ์เสียง (Audio Output)
คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ ๆ มักจะมีหน่วยแสดงเสียง ซึ่งประกอบขึ้นจาก ลำโพง (Speaker) และ การ์ดเสียง (Sound card) เพื่อให้ผู้ใช้สามารถฟังเพลง เสียงภาพยนต์ หรือให้เครื่องคอมพิวเตอร์ รายงานเป็นเสียงให้ทราบเมื่อเกิดปัญหาต่าง ๆ เช่น ไม่มีกระดาษในเครื่องพิมพ์ เป็นต้น รวมทั้ง สามารถเล่นเกมส์ที่มีเสียงประกอบได้อย่างสนุกสนาน โดยลำโพงจะมีหน้าที่ในการแปลงสัญญาณจากคอมพิวเตอร์ให้เป็น เสียงเช่นเดียวกับลำโพงวิทยุส่วนการ์ดเสียงจะเป็นแผงวงจรเพิ่มเติมที่นำมาเสียงกับช่องเสียบขยายในเมนบอร์ด เพื่อช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถส่งสัญญาณเสียงผ่านลำโพง รวมทั้งสามารถต่อไมโครโฟนเข้ามาที่การ์ดเพื่อ บันทึกเสียงเก็บไว้ด้วยเทคโนโลยีด้านเสียงในขณะนี้อาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
- Waveform Audio หรืออาจเรียกว่า digital audio
เป็นเทคโนโลยีที่เปรียบเสมือนการเก็บเสียงลงเทปเพลง แต่ในที่นี้จะเป็นการบันทึกเสียงลงในรูปของแฟ้มข้อมูลตามฟอร์แมต ต่าง ๆ เช่น .WAV .MP3 เป็นต้น ซึ่งสามารถนำเสียงที่บันทึกไว้นี้อ่านกลับมาเป็นคลื่นเสียงออกทางลำโพงได้ และเนื่องจากข้อมูลเสียงที่เก็บไว้อยู่ในรูปของดิจิทัล ทำให้การปรับแต่งเสียงสามารถทำได้โดยสะดวก
- MIDI (Musical Instrument Digital Interface)
เป็นมาตรฐานของ อุตสาหกรรมดนตรีแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้สำหรับการส่งและแลกเปลี่ยนสัญญาณเสียงในรูปแบบที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สามารถใช้งานได้ โดยจะเป็นเทคโนโลยีที่เปรียบเสมือนการเก็บโน้ตเพลง เนื่องจากข้อมูลแบบ MIDI จะเป็นคำสั่งในการสังเคราะห์เสียงแทนที่จะเป็นเสียงเพลงจริง ๆ และจะใช้อุปกรณ์ ซินธิไซเซอร์ (Synthesizer) ในการรับคำสั่งจากข้อมูล MIDI ทำให้สามารถแก้ไขหรือปรับแต่งเพลงได้ทีละตัวโน้ต รวมทั้ง สามารถปรับแต่งจังหวะได้โดยไม่กระทบกระเทือนถึงระดับเสียงของตัวโน้ต
- ภาพที่ 2.30
อุปกรณ์เสียง (Audio Output)
ที่มา : https://images.morele.net
- อุปกรณ์ที่แสดงผลลัพธ์แบบถาวร
หมายถึง อุปกรณ์ที่ให้ผลลัพธ์ที่สามารถเก็บไก้เป็นหลักฐานได้ต่อ ๆ ไปในอนาคต เช่น เครื่องพิมพ์ เป็นต้น
- เครื่องพิมพ์ (Printer)
เครื่องพิมพ์ เป็นอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเช้ากับคอมพิวเตอร์เพื่อทำหน้าที่ในการแปลง ผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในรูปของอักขระหรือรูปภาพที่จะไปปรากฏอยู่ บนกระดาษ นับเป็นอุปกรณ์แสดงผลที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายมากที่สุด โดยเครื่องพิมพ์แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
- เครื่องพิมพ์กระทบ (Impact Printer)
เครื่องพิมพ์แบบกระทบ มีหลายลักษณะ เป็นเครื่องพิมพ์ที่อาศัย การกดหัวพิมพ์กับแถบผ้าหมึก เพื่อให้เกิดตัวอักษร ได้แก่ เครื่องพิมพ์แบบเรียงจุด (Dot Matrix Printer) เป็นเครื่องพิมพ์ที่ได้รับความนิยม โดยองค์ประกอบสำคัญได้แก่ หัวพิมพ์ (Print Head) ที่ประกอบไปด้วยเข็มพิมพ์ 9 เข็ม หรือ 24 เข็ม (ทำให้เรียกเครื่องพิมพ์ชนิดนี้ ได้อีกว่า เครื่องพิมพ์ 9 เข็ม และเครื่องพิมพ์ 24 เข็ม) ชุดของ เข็มพิมพ์แบบ 9 เข็มจะเรียงตรงกันในแนวตั้งคอลัมน์เดียว ส่วนชุดของเข็มพิมพ์แบบ 24 เข็ม จะเรียงกันใน แนวตั้งโดยแบ่งเป็น 3 คอลัมน์ ๆ ละ 8 เข็ม วางเหลื่อมกันระหว่างคอลัมน์ โดยหัวเข็มจะกระแทกผ่านผ้าหมึก ลงบนกระดาษ ทำให้เกิดตัวอักษรขึ้นมา
- ภาพที่ 2.31 เครื่องพิมพ์แบบกระทบ (Impact Printer)
ที่มา : http://www.mayinkim.com
คุณภาพของเครื่องพิมพ์ประเภทนี้พิจารณาจาก
- จำนวนหัวเข็มเครื่องพิมพ์ที่มีจำนวนหัวเข็มมากจะมีคุณภาพดีกว่าเครื่องพิมพ์ที่มีหัวเข็มน้อย
- ความเร็วในการพิมพ์ โดยปกติพิมพ์ได้ 25 – 450 ตัวอักษรต่อวินาที
ข้อดีของเครื่องพิมพ์ลักษณะนี้คือ
- หมึกพิมพ์เป็นตลับ ราคาไม่สูงมากนัก
- สามารถพิมพ์กระดาษหลายก๊อปปี้ได้
- เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก (Ink Jet Printer)
เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก โดยหัวพิมพ์ ซึ่งเป็นตลับหมึกของเครื่องพิมพ์ จะมีรูเล็กๆ ไว้พ่นหมึกลงบนกระดาษ ใช้หลักการพ่นหมึกลงในตำแหน่งที่ต้องการ โดยการควบคุมด้วยไฟฟ้าสถิตย์จากคอมพิวเตอร์ ทำให้ไม่เกิดเสียงดังในขณะใช้งาน และยังสามารถพ่นหมึกเป็นสีต่าง ๆ เป็นเครื่องพิมพ์สีได้ อีกด้วย เครื่องพิมพ์ประเภทนี้มีชื่อเรียกหลายชื่อ ตามเทคโนโลยีของผู้ผลิต เช่น Bubble Jet, Desk Jet Printer เป็นต้น เป็นเครื่องพิมพ์ที่ราคาไม่สูงมากนัก ปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างสูง
- ภาพที่ 2.32 เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก (Ink Jet Printer)
ที่มา : https://openclipart.org
หมึกของเครื่องพิมพ์จะเก็บไว้ในตลับ สามารถเปลี่ยนตลับใหม่ได้ ปัจจุบันมีวิธีฉีดสีเข้าไปในตลับ แทนที่จะเปลี่ยนตลับ ทำให้ประหยัดต่อผู้ใช้ โดยสีที่ใช้ประกอบด้วย แม่สีฟ้า (Cyan) แม่สีม่วง (Magenta) และแม่สีเหลือง (Yellow) โดยสีดำจะเกิดจากการผสมของแม่สีทั้งสามสี ซึ่งไม่ดำสนิท เหมือนตลับหมึกสีดำเฉพาะ (แต่ราคาก็ถูกกว่าด้วย)
- เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (Laser Printer)
เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (Laser Printer) ใช้หลักการเปลี่ยนตัวอักษร และภาพให้เป็นสัญญาณภาพ ที่มีความละเอียดตั้งแต่ 200 ชุดถึง 1,200 ชุดต่อนิ้ว จากนั้นใช้แสงเลเซอร์วาดภาพที่จะพิมพ์ลงบนกระบอกรับภาพ (เช่นเดียวกับ เครื่องถ่ายเอกสาร) โดยกระบอกรับภาพจะมีประชุไฟฟ้าตามรูปร่างของภาพ เมื่อกระบอกรับภาพ หมุนมาถึงตัวปล่อยผงหมึก ผงหมึกจะเกาะ เฉพาะบริเวณที่ไม่มีประจุไฟฟ้า แล้วกระบอกรับภาพจะอัดผงหมึกลงบนกระดาษ แล้วอบด้วยความร้อน ภาพพิมพ์ก็จะติดบนกระดาษ มีทั้งเครื่องพิมพ์ขาวดำ และเครื่องพิมพ์สี ซึ่งราคาจะแพงมาก
- ภาพที่ 2.33 เครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์ (Laser Printer)
ที่มา : http://www.sito48.it
ตลับหมึกของเครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์ บรรจุในตลับที่เรียกว่า โทนเนอร์ (Toner) เวลาเปลี่ยน ต้องเปลี่ยนทั้งชุด ปัจจุบันเครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์ มีการพัฒนาไปหลายรูปแบบ โดยมีรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจ คือ เป็นเครื่องพิมพ์เลเซอร์ พร้อมอุปกรณ์สแกนเนอร์ และเครื่องโทรสารในเครื่องเดียว
- เครื่องพิมพ์เทอร์มอล (Thermal Printer)
เครื่องพิมพ์ใบเสร็จแบบเทอร์มอล (Thermal Printer) ใช้หลักการถ่ายเทความร้อนจากหัวพิมพ์ไปยังกระดาษความร้อน หรือกระดาษเทอร์มอล ซึ่งในตัวกระดาษถูกเคลือบด้วยสารเคมีที่จะปรากฏสีเมื่อโดนความร้อนในปริมาณที่เหมาะสม ส่งผลให้เครื่องพิมพ์ประเภทนี้ไม่ต้องใช้หมึกในการพิมพ์เอกสาร แต่ด้วยคุณสมบัติของสารเคมีที่เคลือบกระดาษอยู่ส่งผลให้เมื่อเวลาผ่านไปข้อมูลที่ปรากฏอยู่บนกระดาษจะหายไป ลักษณะเอกสารที่เหมาะกับเครื่องพิมพ์ประเภทนี้จึงเหมาะกับใบเสร็จสำหรับร้านสะดวกซื้อ ร้านขายสินค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ เป็นต้น
- ภาพที่ 2.34
เครื่องพิมพ์เทอร์มอล (Thermal Printer)
ที่มา : http://www.lb-tech.com.my
- พล็อตเตอร์ (Plotter)
Plotter เป็นอุปกรณ์แสดงข้อมูลที่มักจะใช้กับงานออกแบบ (CAD) โดยจะ แปลงสัญญาณข้อมูล เป็นเส้นตรง หรือเส้นโค้ง ก่อนพิมพ์ลงบนกระดาษ ทำให้แสดงผลเป็นกราฟแผนที่ แผนภาพต่าง ๆ ไค้ โดยตัวพล็อตเตอร์ จะมีปากกามากกว่า 1 ด้าม เคลื่อนไปมา ด้วยการควบคุมของคอมพิวเตอร์ โดยปากกาแต่ละด้ามจะมีสี และขนาดเส้นที่ต่างกัน ทำให้ไค้ภาพที่สวยงาม มีคุณภาพสูง และขนาดตามขนาด ของเครื่องพล็อตเตอร์
- ภาพที่ 2.35 พล็อตเตอร์ (Plotter)
ที่ : http://4madeira.com
- พอร์ตและช่องทางการเชื่อมต่อ (Port and connector)
นอกจากส่วนประกอบของฮาร์ดแวร์ทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมาแล้วพอร์ตและช่องทางการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกยังเป็นสิ่งที่เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานคอมพิวเตอร์ ในปัจจุบันที่ช่องทางการเชื่อมต่อมากมาย ดังนี้
- พอร์ตขนาน (Parallel Port)
ในอดีตพอร์ตขนาน ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นช่องทางต่อเชื่อมกับเครื่องพิมพ์ โดยพอร์ตที่ติดตั้งกับเครื่องคอมพิวเตอร์จะมีรูขนาดเล็กจำนวน 25 ช่อง เรียกว่าพอร์ตตัวเมีย มาตรฐาน DB25 และอุปกรณ์ต่อพ่วงพอร์ทตัวผู้เพื่อเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ภายหลังได้มีการออกแบบให้อุปกรณ์อื่น ๆ สามารถใช้พอร์ตขนานได้ จนกระทั่งความนิยมลดลงเมื่อพอร์ตยูเอสบี (USB) ถูกใช้มากขึ้น
- ภาพที่ 2.36 พอร์ทขนาน
ที่มา : www.howstuffworks.com
- พอร์ตอนุกรม (Serial Port)
พอร์ตอนุกรมเป็นอุปกรณ์ที่อยู่เครื่องกับคอมพิวเตอร์มาไม่ต่ำกว่า 20 ปี โดยส่วนใหญ่จะใช้เชื่อมต่อกับโมเดมแบบเก่าที่ยังรองรับพอร์ตอนุกรม พอร์ตชนิดนี้มีความเร็วในการสื่อสารช้ากว่าพอร์ตขนาน แต่ข้อดีของพอร์ตชนิดนี้คือ สามารถส่งข้อมูลได้ไกลกว่า ใช้จำนวนสายไฟส่งข้อมูลน้อยกว่าทำให้มีราคาถูกกว่าอุปกรณ์ที่ใช้พอร์ตขนาน
- ภาพที่ 2.37
พอร์ทอนุกรม
ที่มา : www.howstuffworks.com
- พอร์ตอนุกรมความเร็วสูง (USB)
ย่อจาก Universal Serial Bus ช่องการเชื่อมต่อพอร์ตอนุกรมความเร็วสูงหรือ USB เป็นพอร์ตมาตรฐานที่ติดมากับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ อาทิ เมาส์ คีย์บอร์ด เครื่องพิมพ์ รีมูฟเอเบิลไดร์ท กล้องดิจิทัล ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว ซึ่งระบบปฏิบัติการรองรับการเชื่อมต่อ USB ได้เป็นอย่างดี หากอุปกรณ์ต่อพ่วงชนิดใหม่ถูกติดตั้งเข้ากับคอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการจะถามถึงแผ่นไดร์เวอร์ แต่หากมีไดร์เวอร์ติดตั้งอยู่แล้วจะสามารถเริ่มใช้งานอุปกรณ์ได้ทันที ทำให้การติดตั้งพอร์ตชนิดนี้ง่ายมาก อุปกรณ์ USB สามารถเชื่อมต่อและยกเลิกการเชื่อมต่อได้ตลอดเวลาที่ต้องการ การออกแบบของ USB ถูกกำหนดมาตรฐานโดย USB Implementers Forum (USBIF), โดยเป็นการรวมตัวกันของผู้นำด้านอุตสาหกรรมด้านคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ เช่น แอปเปิล, เอชพี, เอ็นอีซี, ไมโครซอฟท์, อินเทล, และ Agere
อุปกรณ์ USB มีคอนเนคเตอร์ (connector) หลายรูปแบบเพื่อการใช้งานและอุปกรณ์ที่แตกต่างกัน โดยแต่เดิมคอนเนคเตอร์ฝั่งตัวอุปกรณ์จะเป็น type-B ส่วนปลายสายที่เชื่อมต่อเข้าคอมพิวเตอร์จะเป็นคอนเนคเตอร์แบบ type-A เพื่อป้องกันความสับสนในการเชื่อมต่อ นอกจากนี้ยังมีคอนเนคเตอร์ Mini-A, Mini-B, Micro-A, Micro-B และ USB C อีกด้วย ในปัจจุบัน USB อยู่ในมาตรฐาน USB 3.0 ที่ส่งข้อมูลได้เร็ว 4.8 กิกะบิต ต่อ วินาที
- ภาพที่ 2.38 ปลั๊ก Micro-B, ปลั๊ก UC-E6, ปลั๊ก Mini-B, ตัวรับ A , ปลั๊ก type-A, ปลั๊ก type-B
ที่มา : https://en.wikipedia.org
- พอร์ตวีจีเอ (Video Graphic Array :VGA)
มีลักษณะพอร์ตเชื่อมต่อ 3 แถว และหัวเข็มจำนวน 25 ชิ้น ติดตั้งอยู่บริเวณด้านหลังเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะหรือบริเวณด้านข้างของคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กใช้ในการส่งข้อมูลภาพและภาพเคลื่อนไหวจากคอมพิวเตอร์ไปสู่อุปกรณ์แสดงผล อาทิ จอมอนิเตอร์ เครื่องฉายภาพ (Projector) โดยส่งสัญญาณภาพแบบอนาล็อก
- ภาพที่ 2.39 พอร์ตวีจีเอ (VGA Port)
ที่มา : http://images.monoprice.com/productlargeimages/11901.jpg
- พอร์ดดีวีไอ (Digital Visual Interface : DVI)
แสดงข้อมูลภาพและภาพเคลื่อนไหวเช่นเดียวกับพอร์ตวีจีเอ แตกต่างกันที่ DVI ส่งสัญญาณในรูปแบบดิจิทัล ส่งผลให้ภาพมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะแบ่งเป็น 3 แบบด้วยกันคือ DVI-A ที่ส่งสัญญาณแบบแอนาล็อกอย่างเดียวเท่านั้น DVI-A ส่งสัญญาณดิจิทัลอย่างเดียวเท่านั้นซึ่งแบ่งเป็น single link หรือ dual link อีกด้วย DVI-I สามารถส่งสัญญาณได้ทั้งดิจิทัลและอนาล็อก
- ภาพที่ 2.40 พอร์ตดีวีไอ (DVI Port)
ที่มา : http://www.download.net.pl/upload/NewsMay2015/Laptop-TV/dvi.jpg
- พอร์ทเอชดีเอ็มไอ (HDMI Port)
ย่อมาจาก High-Definition Multimedia Interface ช่องส่งสัญญาณ ออดิโอ/วีดิโอ โดยไม่บีบอัดข้อมูลภาพและเสียงแบบดิจิทัล จากอุปกรณ์แหล่งข้อมูล อาทิ คอมพิวเตอร์ ไปยัง จอภาพ เครื่องฉายภาพ จอทีวี เป็นต้น โดยทั่วไปเทคโนโลยี HDMI เป็นเทคโนโลยีเฉพาะที่คิดค้นโดยบริษัททางด้านความบันเทิง 7 บริษัท อาทิ Hitchi Maxell Ltd., Sony Corporation เป็นต้น แต่ในปัจจุบันช่องสัญญาณ HDMI ถูกนำมาทดแทนพอร์ทวีจีเอ ในเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คมากขึ้นทุกที เนื่องจากขนาดที่เล็กของช่องเชื่อมต่อและความสามารถในการส่งภาพแบบ High-Definition
- ภาพที่ 2.41 พอร์ท HDMI (กลาง)
ที่มา : https://www.ptgrey.com
- ซอฟต์แวร์ (Software)
ซอฟต์แวร์ คือ โปรแกรมที่เขียนขึ้นเพื่อกำหนดให้ฮาร์ดแวร์ของระบบคอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ ต้องการ โดยซอฟต์แวร์หนึ่ง ๆ อาจประกอบด้วยโปรแกรมหลายโปรแกรมที่เกี่ยวเนื่องและในตัวโปรแกรมต้องประกอบด้วยคำสั่งที่จะให้ส่วนต่าง ๆ ของฮาร์ดแวร์ทำงาน โดยทั่วไปแล้ว ซอฟต์แวร์เราสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
- ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software)
- ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)
ในการทำงานใด ๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์จะต้องมีซอฟต์แวร์ทั้ง 2 ประเภทเพื่อ ควบคุมการทำงาน ของเครื่องคอมพิวเตอร์โดยซอฟต์แวร์ระบบทำหน้าที่ควบคุมส่วนของฮาร์ดแวร์ให้ทำงานอย่างอัตโนมัติ ส่วน ซอฟต์แวร์ประยุกต์นั้นจะทำหน้าที่ควบคุมให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ผู้ใช้ต้องการเพื่อประยุกต์ใช้ในงานด้าน ต่าง ๆ
- ภาพที่ 2.42 แสดงการใช้งานซอฟต์แวร์ระบบและซอฟต์แวร์ประยุกต์
ที่มา : http://slideplayer.com/slide/6671807/
- ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software)
ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) เป็นซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ ต่าง ๆ ในระบบคอมพิวเตอร์ โดยเป็นตัวกลางที่ช่วยให้ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถติดต่อสั่งงาน คอมพิวเตอร์ได้ง่ายขึ้น ซอฟต์แวร์ระบบสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
- โปรแกรมระบบปฏิบัติการ
- โปรแกรมแปลภาษา
- โปรแกรมอรรถประโยชน์
- โปรแกรมระบบปฏิบัติการ (Operating System : OS)
ระบบปฏิบัติการเป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์และ อุปกรณ์ที่ต่อพ่วงกับเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการติดต่อกับฮาร์ดแวร์ของเครื่องโดยตรง โปรแกรมใช้งานหรือโปรแกรมประยุกต์ใดที่ต้องการติดต่อเครื่องคอมพิวเตอร์จะต้องอาศัยการสั่งงานของ โปรแกรมระบบปฏิบัติการเพื่อควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ โปรแกรมระบบปฏิบัติการของเครื่อง คอมพิวเตอร์แต่ละระบบหรือแต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกัน เช่น โปรแกรมระบบปฏิบัติการสำหรับ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ระบบหนึ่งก็จะแตกต่างจากเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ระบบอื่นเป็นต้น
- โปรแกรมแปลภาษา (Translator)
ในการพัฒนาซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์นั้น โปรแกรมเมอร์จะเขียนโปรแกรมใน ภาษาคอมพิวเตอร์แบบต่าง ๆ ตามแต่ความชำนาญของแต่ละคน โปรแกรมที่ได้จะเรียกว่า โปรแกรมต้นฉบับ หรือ ซอร์สโคด (Source code) ซึ่งมนุษย์จะอ่านโปรแกรมต้นฉบับนี้ได้แต่คอมพิวเตอร์จะไม่เข้าใจคำสั่งเหล่านั้น เนื่องจากคอมพิวเตอร์เข้าใจแต่ภาษาเครื่อง (Machine Language) ซึ่งประกอบขึ้นจากรหัสฐานสอง เท่านั้น จึงต้องมีการใช้โปรแกรม ตัวแปรภาษาคอมพิวเตอร์ (Translator) ในการแปลภาษาคอมพิวเตอร์ภาษา ต่าง ๆ ไปเป็นภาษาเครื่อง โปรแกรมที่แปลจากโปรแกรมต้นฉบับแล้วเรียกว่า ออบเจคโคด (Object code) ซึ่งจะ ประกอบด้วยรหัสคำสั่งที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจและนำไปปฏิบัติได้ต่อไป ตัวแปลภาษาที่มีการใช้อยู่ใน ปัจจุบัน จะต่างกันที่ขั้นตอนที่ใช้ในการแปลภาษา สามารถแบ่งได้เป็น
- โปรแกรมอรรถประโยชน์ (Utility Program)
โปรแกรมอรรถประโยชน์เป็นโปรแกรมหนึ่งที่อำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ในระหว่างการประมวลผลข้อมูลหรือในระหว่างที่กำลังใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งโดยปกติแล้วโปรแกรม อรรถประโยชน์ทำงานร่วมกับโปรแกรมระบบปฏิบัติการเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ของโปรแกรม ระบบปฏิบัติการ ในการควบคุมการทำงานของทุปกรณ์ต่าง ๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น โปรแกรมที่ทำหน้าที่ จัดเตรียมเนื้อที่ในดิสก์ ทำให้สามารถบันทึกข้อมูลลงบนดิสก์ได้หรือโปรแกรมที่อำนวยความสะดวกในการทำสำเนาข้อมูลของโปรแกรมที่ต้องการเพื่อนำไปใช้ในที่ต่าง ๆ ได้ หรือช่วยให้ผู้ใช้สามารถเขียนโปรแกรมสร้าง แฟ้มข้อมูลหรือข้อความต่าง ๆ ลงเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ เป็นต้น
- ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Program)
โปรแกรมประยุกต์ นั้นเราสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ โปรแกรมประยุกต์สำหรับงานเฉพาะด้านและโปรแกรมประยุกต์สำหรับงานทั่วไป
- ซอฟต์แวร์สำหรับงานเฉพาะด้าน (Special Purpose Software)
จะมีความเหมาะสมกับงานเฉพาะด้าน เช่น โปรแกรมด้านการคำนวณราคาค่านั้นของแต่ละบ้าน จะมีประโยชน์กับงานด้านการประปา หรือโปรแกรมสำหรับฝากถอนเงิน ก็จะมีประโยชน์กับองค์กรที่เกี่ยวกับการเงิน เช่น ธนาคาร ซอฟต์แวร์สำหรับงานเฉพาะด้านส่วนมากจะไม่มีการจำหน่ายอยู่ทั่วไป องค์กรที่ต้องการใช้งานมักจะต้องพัฒนาด้วยตนเอง หรือว่าจ้างบริษัทซอฟต์แวร์พัฒนาให้โดยเฉพาะ อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีบริษัทซึ่งพัฒนาซอฟต์แวร์เฉพาะด้านมาวางจำหน่ายก็มักจะมีราคาสูงรวมทั้งมีข้อเสนอในการพัฒนา เพิ่มเติมเพื่อให้เหมาะสมกับองค์กรต่าง ๆ ด้วย
- ซอฟต์แวร์สำหรับงานทั่วไป (General Purpose Software)
จะเป็นซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาสำหรับงานทั่ว ๆ ไป สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับงานส่วนตัว ได้อย่างหลากหลาย ทำให้เป็นซอฟต์แวร์ประเภทที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน ซึ่งส่วนมากจะเป็น ซอฟต์แวร์ที่ทำงานอยู่ในเครื่องระดับไมโครคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์สำหรับงานทั่วไป สามารถแบ่งตาม ประเภทของงานได้ดังนี้
- ซอฟต์แวร์ตารางวิเคราะห์แบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Spreadsheet)
ธุรกิจในสมัยก่อนนั้นการทำงบประมาณ หรือการวางแผนต่าง ๆ ต้องใช้กระดาษบัญชี และเครื่องคิดเลขเท่านั้น สำหรับสมัยนี้ด้วยซอฟต์แวร์ตารางวิเคราะห์แบบอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ใช้สามารถพิมพ์ หัวข้อหรือชื่อของข้อมูล และตัวเลขข้อมูลต่าง ๆ เข้าในคอมพิวเตอร์ โดยที่ในคอมพิวเตอร์จะมีตารางที่เปรียบเสมือนกระดาษบัญชีขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถคำนวณได้ตามสูตรที่ผู้ใช้ทำการกำหนด โดยที่สูตรเหล่านั้น จะไม่ปรากฏในช่องของข้อมูลเลย ยิ่งไปกว่านั้นหากผู้ใช้เปลี่ยนตัวเลขหรือข้อมูลใด ๆ ก็ตาม จะเห็นการเปลี่ยนแปลงข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้องกันในทันที ปัจจุบันมีผู้ใช้ประโยชน์ของตารางวิเคราะห์แบบอิเล็กทรอนิกส์มากมาย ไม่เฉพาะแต่ในทางบัญชีเท่านั้น แต่ยังนิยมใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ บริหารการเงิน เป็นต้น
- ซอฟต์แวร์ประมวลผลคำ (Word processing)
ปัจจุบันเครื่องคอมพิวเตอร์มากกว่า 85 เปอร์เซ็นต์ ต้องติดตั้งโปรแกรมสำหรับงาน พิมพ์เอกสารรวมอยู่ด้วย ซึ่งโปรแกรมนี้ทำให้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือสำหรับสร้าง แก้ไข ตรวจสอบ พิมพ์ และจัดเก็บข้อความต่าง ๆ หนังสือที่จำหน่ายในท้องตลาดในปัจจุบันนี้ ส่วนมากก็เริ่มต้นจากการพิมพ์ข้อความ ลงในคอมพิวเตอร์ด้วยซอฟต์แวร์ที่ประมวลผลคำ
- ซอฟต์แวร์การพิมพ์แบบตั้งโต๊ะ (Desktop Publishing)
ในสมัยก่อนการจัดทำหนังสือพิมพ์ หรือวารสารต่าง ๆ นั้นต้องผ่านกระบวนการต่าง ๆ มากมายหลายขั้นตอนซึ่งรวมเรียกว่าการเรียงพิมพ์ โดยที่จะต้องมีผู้ตัดต่อรูปภาพที่ต้องการ วาดกรอบของ ภาพหรือกรอบหัวเรื่อง และเขียนข้อความ และนำข้อความ ภาพ และกรอบมาประกอบกันตามแบบที่ออกแบบ ไว้ การทำงานที่ยุ่งยากเหล่านี้นี่เองที่ทำให้เอกสารเหล่านั้นมีราคาแพง แต่ในปัจจุบันนี้ขอเพียงมีคอมพิวเตอร์ และโปรแกรมการจัดพิมพ์แบบตั้งโต๊ะเท่านั้น ก็สามารถที่จะออกแบบงานหรือเอกสารให้เป็นที่น่าสนใจได้ โดยซอฟต์แวร์การพิมพ์แบบตั้งโต๊ะจะมีความสามารถด้านการจัดการเอกสาร ความสามารถด้านการเรียงพิมพ์ รวมทั้งการจัดสีที่สูงกว่าซอฟต์แวร์ประมวลผลคำ
- ซอฟต์แวร์นำเสนอ (Presentation Software)
เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการนำเสนอข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ โดยอาจประกอบด้วย ตัวอักษร รูปภาพ แผนผัง รายงาน ตลอดจนภาพเคลื่อนไหว เป็นต้น นิยมใช้ในการเรียนการสอนหรือการ ประชุม เพื่อนำเสนอข้อมูลให้การบรรยายนั้นน่าสนใจยิ่งขึ้น
- ซอฟต์แวร์กราฟิก (Graphic Software)
เป็นซอฟต์แวร์สำหรับสร้างภาพกราฟิกแบบต่าง ๆ การใช้งานในระดับเบื้องต้นอาจ นำไปใช้ประกอบการสร้างเอกสาร หรือการนำเสนอข้อมูล ส่วนการใช้ในระดับสูงอาจใช้สำหรับการตกแต่งภาพหรือรูปถ่าย หรือใช้สำหรับงานด้านศิลปกรรม สถาปัตยกรรม วิศวกรรม เป็นต้น
- ซอฟต์แวร์ฐานข้อมูล (Database)
โปรแกรมฐานข้อมูลเป็นโปรแกรมสำหรับสร้างแฟ้มข้อมูลต่าง ๆ เก็บไว้ในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยโปรแกรมจะมีเครื่องมือต่าง ๆ ในการอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการจัดการแฟ้มข้อมูล เช่น มีเครื่องมือสำหรับการเพิ่มหรือแก้ไขข้อมูลที่จัดเก็บอยู่ หรือสามารถเรียกแฟ้มข้อมูลนั้นขึ้นมาแสดงบนจอภาพ โดยกำหนดเงื่อนไขให้เลือกข้อมูลมาแสดงเพียงบางส่วน เป็นต้น
- โมบายแอพ
เรียกในอีกชื่อว่า “โมบายแอพพลิเคชั่น” เป็นโปรแกรมประยุกต์ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เพิ่มเข้าไปในโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อให้ผู้ใช้สามารถดำเนินการกับงานต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลายขึ้น ในปัจจุบันได้มีกรนำโมบายแอพมาใช้กันอย่างกว้างขวาง เช่น แอพพลิเคชั่นสำหรับจัดการสมุดที่อยู่ บันทึกรายที่จะทำและรายการข้อความ แอพพลิเคชั่นอีเมลล์ แอพพลิเคชั่นการตกแต่งภาพ เป็นต้น ปัจจุบันมีการให้บริการแอพพลิเคชั่นเฉพาะทางบนโทรศัพท์เคลื่อนที่อย่างหลากหลาย โดยผู้ใช้สมาร์ทโฟน สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นได้ทั้งทาง แอปสโตร์ของและ กูเกิ้ลเพลย์สโตร์
- บุคลากรคอมพิวเตอร์
ในปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่าประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างเต็มรูปแบบ เรารับเอาระบบและอุปกรณ์ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีด้านอิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้กันอย่างมากมาย มีระบบสื่อสารด้วยดาวเทียม ทำให้สามารถรับรู้และเห็นภาพการ รายงานข่าวสดในโทรทัศน์จากเหตุการณ์จริงทั่วทุกมุมโลก มีระบบการฝากถอนเงินจากธนาคารผ่านเครื่อง เอทีเอ็มที่ต่อกันเป็นเครือข่ายกระจายไปเกือบทั่วประเทศ สามารถติดต่อสื่อสารระยะไกลด้วยโทรศัพท์มือถือ มีระบบการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่สามารถ จัดการให้แล้วเสร็จอย่างรวดเร็วด้วยระบบคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้เรายังมีการนำเอาคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยใน งานออกแบบ งานอุตสาหกรรม งานธุรกิจและงานการเรียนการสอน
อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในสิบปีที่ผ่านมา ขนาดของคอมพิวเตอร์ เล็กลงเรื่อย ๆ ในขณะที่ขีดความสามารถกลับเพิ่มสูงขึ้น เรานำคอมพิวเตอร์ไปใช้ในงานต่าง ๆ มากมายใน สำนักงาน บริษัทห้างร้านเมื่อมีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้งานกันอย่างมาก ความจำเป็นที่ต้องอาศัยบุคลากรที่มี ความรู้หรือมีประสบการณ์ด้านคอมพิวเตอร์ก็มีไม่มากตามไปด้วย
หากจะมีการพิจารณาลักษณะงานของบุคลากรค้านคอมพิวเตอร์อย่างจริงจังทั้งระบบ สามารถ แบ่งอาชีพของบุคลากรในวงการคอมพิวเตอร์ได้เป็นสามกลุ่มคือ กลุ่มผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ กลุ่มผู้ผลิตซอฟต์แวร์ และกลุ่มผู้ให้การสนับสมุนและบริการ
- กลุ่มบุคลากรทางด้านผู้ผลิตฮาร์ดแวร์
เมื่อมีความต้องการนำคอมพิวเตอร์ไปใช้งานมากขึ้น บริษัทผู้ผลิตฮาร์ดแวร์จึงทำการผลิต เครื่องและอุปกรณ์ประกอบมากขึ้นด้วย โดยมีการวิจัยและพัฒนาให้เกิดเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ที่มี ประสิทธิภาพมากขึ้น มีการทำให้คอมพิวเตอร์หลายเครื่องเชื่อมต่อเป็นเครือข่าย บริษัทผู้ผลิตฮาร์ดแวร์จำต้อง อาศัยบุคลากรที่มีความรู้และประสบการณ์สูงในทุกขึ้นตอนของการผลิต นับจากการเริ่มต้นออกแบบจนถึงขั้นการประกอบการ จำหน่าย จนถึงขึ้นการให้บริการด้านการขาย
นักออกแบบคอมพิวเตอร์จะศึกษาและวางแนวทางการผลิตคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ประกอบ โดยคำนึงถึงลักษณะและประสิทธิภาพของการใช้งานเป็นสำคัญ โดยให้เหมาะสมกับสภาพของผู้ใช้มากที่สุด วิศวกรคอมพิวเตอร์จะทำหน้าที่แปลงแนวการออกแบบเป็นข้อกำหนดของเครื่อง วิศวกรจะออกแบบแผงวงจร การใช้ชิป การใช้หน่วยความจำ และการทำงานร่วมกันกับอุปกรณ์ประกอบต่าง ๆ ช่างเทคนิคคอมพิวเตอร์จะ ทำหน้าที่นำชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ มาประกอบกันเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ ตามข้อกำหนดของวิศวกร และทำการตรวจสอบการทำงานว่าถูกต้องหรือไม่
นอกจากผู้ผลิตฮาร์ดแวร์จะต้องอาศัยบุคลกรทางด้านเทคนิคแล้ว ยังจำต้องอาศัยบุคลากรด้าน สนับสนุนอีกเพื่อดูแลในด้านการขาย การบริการ การทำเอกสาร และการตลาด บุคลากรเหล่านี้ ได้แก่ ตัวแทน จำหน่ายที่ติดต่อขายผลิตภัณฑ์ซึ่งจำเป็นต้องรู้ข้อมูลเครื่องคอมพิวเตอร์ของคู่แข่งขัน ตลอดจนความต้องการของตลาดเป็น อย่างดี วิศวกร และช่างเทคนิคระบบ ทำหน้าที่บริการติดตั้งดูแลซ่อมแซมเครื่องให้กับลูกค้าเพื่อให้อยู่ในสภาพ ที่ใช้งานได้ดี นักเขียนข้อมูลทางเทคนิค ทำหน้าที่ผลิตเอกสารประกอบเครื่อง นักอบรมทำหน้าที่สอนและ อบรมความรู้เกี่ยวกับการใช้และบำรุงรักษาเครื่องให้กับลูกค้า ขณะเดียวกันอาจช่วยในการอบรมตัวแทน จำหน่ายและช่างเทคนิคของบริษัทผู้ผลิตเองด้วย และสุดท้ายนักการตลาดจะทำหน้าที่ช่วยวิเคราะห์ และ วางแผนการตลาดของการจำหน่ายเครื่อง
เนื่องจากเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ของประเทศไทย ยังตามหลังประเทศอื่น ๆ ที่เจริญทางด้านเศรษฐกิจ โดยในประเทศไทยนั้นยังไม่ค่อยมีบริษัทออกแบบและผลิตฮาร์ดแวร์เอง ส่วนใหญ่จะเป็นการนำเข้าจาก ต่างประเทศมีส่วนน้อยที่นำชิ้นส่วนเข้ามาเพื่อประกอบภายในประเทศดังนั้นบุคลากรในส่วนฮาร์ดแวร์ของบ้านเราส่วนใหญ่จึงเป็นกลุ่มคนด้านสนับสนุนการขายเครื่อง ทำหน้าที่เป็นพนักงานขายและช่างเทคนิคเพื่อติดตั้ง ซ่อมแซมและบำรุงรักษาเครื่อง ในการศึกษาเพื่อที่จะเป็นบุคลากรทางด้านฮาร์ดแวร์ จำเป็นต้องศึกษาเล่าเรียนในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวงจรอิเล็กทรอนิกส์และไฟฟ้า มีความรู้ความสามารถในด้านวิทยาศาสตร์และ คณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ในเรื่องโครงสร้างทางฮาร์ดแวร์
การศึกษาทางด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ที่มีเปิดสอนในมหาวิทยาลัยนั้น มีการเรียนการสอน และปฏิบัติในเรื่องอิเล็กทรอนิกส์ ศึกษาออกแบบการคำนวณวงจรอิเล็กทรอนิกส์ วงจรคอมพิวเตอร์ การเขียนโปรแกรมระบบ การเขียนโปรแกรมแปลภาษาคอมพิวเตอร์ การวางเครือข่าย การคำนวณที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ และการทำให้คอมพิวเตอร์มีความสามารถเฉพาะในการใช้งานด้านต่าง ๆ
การเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์จำเป็นต้องศึกษาทางด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ศึกษาการ ออกแบบวงจรคอมพิวเตอร์ ซึ่งนับว่าจะมีความสลับซับช้อนมากยิ่งขึ้น ซึ่งต้องศึกษาในระบบสูงต่อไป สำหรับช่างเทคนิคก็ต้องมีพื้นฐานความรู้ทางด้านวงจรไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ การใช้เครื่องมือวัดและตรวจซ่อมต่าง ๆ การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีสารสนเทศยังรวมระบบการสื่อสารโทรคมนาคมเข้ามาด้วย ซึ่งก็รวมถึง การออกแบบวางระบบเครือข่ายสื่อสารโทรคมนาคมต่าง ๆ ซึ่งต้องการพื้นฐานทางด้านอุตสาหกรรมไฟฟ้าและการสื่อสาร ส่งผลให้บุคคลาการทางด้านนี้ยังมีความสำคัญและเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานเป็นอย่างมาก เพราะประเทศไทยกำลังขยายการลงทุนด้านการสื่อสารโทรคมนาคม เพื่อรองรับการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตขึ้นทุกวัน
- กลุ่มบุคลากรทางด้านผู้ผลิตซอฟต์แวร์
บุคลากรทางด้านผู้ผลิตซอฟต์แวร์ได้แก่ผู้ทำหน้าที่วิเคราะห์ระบบ ผู้เขียนโปรแกรม และผู้ที่สนับสนุนคล้ายคลึงกับบุคลากรทางด้านผู้ผลิตซอฟต์แวร์ นักวิเคราะห์ระบบจะศึกษาวางแผนและแยกแยะงาน ประมวลผลเป็นส่วน ๆ โดยให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้ เพื่อมอบให้นักเขียนโปรแกรมไปทำการออกแบบ เขียนโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ และตรวจสอบการทำงานของโปรแกรมให้ถูกต้องตามที่ต้องการ โปรแกรมที่เขียนนี้อาจเป็นโปรแกรมประยุกต์ใหม่ หรือเป็นการดูแลเพิ่มเติมแก้ไขซอฟต์แวร์ที่พัฒนามาก่อน แล้วส่วนนักโปรแกรมระบบจะทำหน้าที่ช่วยดูแลการทำงานของระบบฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ให้เป็นไปอย่าง ถูกต้อง
บริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์จะต้องมีบุคลากรอีกกลุ่มหนึ่ง คือ กลุ่มสนับสนุน ซึ่งอาจประกอบด้วย ผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์ นักเขียนข้อมูลทางเทคนิคเพื่อทำหน้าที่เขียนคู่มือการใช้ซอฟต์แวร์ ผู้ให้การฝึกอบรม แนะนำการใช้ซอฟต์แวร์ ขณะเดียวกันจะคอยให้คำปรึกษาในเรื่องของซอฟต์แวร์ที่ผลิต และนักวิเคราะห์ตลาด เพื่อทำหน้าที่วางแผนการขายต่อไป
ในระดับการผลิตซอฟต์แวร์ทั่วไปจะมีการวิเคราะห์ระบบเพื่อศึกษาความต้องการของผู้ใช้ การวิเคราะห์ความต้องการนี้จำเป็นที่ผู้วิเคราะห์จะต้องรู้และเข้าใจระบบงานที่จะไปประยุกต์ด้วย เช่น ถ้าต้องการประยุกต์ซอฟต์แวร์เข้ากับงานทางด้านบัญชีของบริษัท ก็จำเป็นจะต้องเข้าใจระบบบัญชีของบริษัทด้วย ดังนั้นนักวิเคราะห์ระบบจึงจำเป็นต้องเป็นผู้ที่รู้ทั้งสองด้าน คือ ด้านคอมพิวเตอร์และตัวระบบงานด้วย การให้การศึกษาเพื่อเตรียมบุคลากรทางด้านนี้นอกจากจะต้องเปิดสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์แล้วยังจะต้องให้ความรู้ในสาขาต่าง ๆ ด้วย เช่น สาขาบัญชี บริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์
เมื่อวิเคราะห์ระบบแล้วขั้นตอนต่อมาคือออกแบบระบบ ซึ่งนักออกแบบระบบจะต้องมีความรู้ในเรื่องการจัดวางโครงสร้างฐานข้อมูลรู้ระบบการไหลเวียนและการส่งต่อข้อมูล เมื่อออกแบบระบบแล้ว ผู้เขียนโปรแกรมจะรับไปทำการเขียนโปรแกรม เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามระบบที่ออกแบบ นอกจากนี้ยังมีการทดสอบโปรแกรม การดูแลบำรุงรักษา ตลอดจนการแก้ไขโปรแกรมให้มีขีดความสามารถสูงขึ้น
งานพัฒนาระบบซอฟต์แวร์จำเป็นต้องเรียนรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ (Computer science) และการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ (Computer application) ซึ่งสาขาเหล่านี้มีเปิดสอนในมหาวิทยาลัย เกือบทุกแห่งในประเทศไทย การศึกษาทางด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์จำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานทางด้าน คณิตศาสตร์และการคำนวณที่ดี วิชาที่ศึกษาส่วนใหญ่เป็นเรื่องศาสตร์ของการคิดคำนวณ การคำนวณทางคอมพิวเตอร์ที่ต้องมีขั้นตอนและกระบวนการโดยเฉพาะ เพื่อจะทำให้เกิดการคำนวณได้ดีและรวดเร็ว การวางโครงสร้างข้อมูล การเขียนโปรแกรมประยุกต์ การทำให้คอมพิวเตอร์มีความรอบรู้และมีความสามารถพิเศษที่ เรียกว่าปัญญาประดิษฐ์ การให้คอมพิวเตอร์เขียนภาพหรือคอมพิวเตอร์กราฟิก การใช้คอมพิวเตอร์ในระบบงานสื่อสารข้อมูล และการวิเคราะห์โครงข่ายคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังต้องการเรียนรู้เทคนิควิธีการต่าง ๆ ในการออกแบบซอฟต์แวร์ รวมถึงการบริหารโครงการซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ ซึ่งนับวันจะมีบทบาทและความสำคัญมากขึ้น
- กลุ่มบุคลากรสนับสนุนและบริการ
บุคลากรด้านคอมพิวเตอร์อีกกลุ่มหนึ่งที่นับเป็นกลุ่มใหญ่ที่สูด คือ กลุ่มที่ให้การสนับสนุนและบริการ ได้แก่ผู้ที่ทำงานในแผนกประมวลผลข้อมูลของหน่วยงานต่าง ๆ ผู้ที่ทำงานในบริษัทที่ให้บริการ ซ่อมบำรุงรักษา และผู้ทำงานในบริษัทที่ปรึกษาจะช่วยวางระบบและสร้างโปรแกรมให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ตำแหน่งของงานที่มักจะปรากฏในประกาศรับสมัครงาน เช่น ผู้จัดการแผนกประมวลผลข้อมูล นักวิเคราะห์ระบบ นักโปรแกรมระบบ นักโปรแกรมประยุกต์ด้านธุรกิจ นักโปรแกรมประยุกต์วิทยาศาสตร์ นักออกแบบ และบริหารฐานข้อมูล วิศวกรระบบ วิศวกรด้านเพื่อสารข้อมูล และช่างเทคนิค เป็นต้น
ความต้องการบุคลากรที่ให้การสนับสนุนและบริการยังมีอีกมาก เพราะการกระจายของ คอมพิวเตอร์และระบบประมวลผลมีแนวโน้มที่จะเข้าไปในกิจการทุกประเภท และจะมีบทบาทสำคัญมากขึ้น เช่น ในห้างสรรพสินค้าก็ต้องใช้เทคโนโลยีทางด้านสารสนเทศเข้ามามีบทบาท ผู้ที่ทำงานด้านสนับสนุนและให้บริการจำเป็นต้องมีบุคลิกและมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี เพราะเกี่ยวข้องหรือต้องติดต่อกับบุคคลจำนวนมาก การติดต่อประสานงานจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้งานต่าง ๆ ดำเนินไปด้วยดี บุคลากรทางด้านนี้ ควรเป็นบุคลากรที่ศึกษาหรือมีพื้นฐานความทางด้านคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจจะจบการศึกษามาจากทางด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ หรือการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ก็ได้
- บทสรุป
ระบบคอมพิวเตอร์มีองค์ประกอบหลักอยู่ 3 อย่างที่มีความสำคัญเท่าเทียมกันและต้องทำงาน ประสานกัน จึงจะทำให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้ ซึ่งพอสรุปถึงองค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ที่สำคัญได้ดังนี้
- องค์ประกอบทางด้านฮาร์ดแวร์ เป็นองค์ประกอบของตัวเครื่อง ที่สามารจับต้องได้ เช่น จอภาพ เครื่องพิมพ์ เทป แป้นพิมพ์ ดิสค์ หรือแม้แต่วงจรไฟฟ้าในตัวเครื่อง เป็นต้น
- องค์ประกอบทางด้านซอฟต์แวร์ เป็นกลุ่มของคำสั่งซึ่งเรียกว่า โปรแกรมที่ถ่ายทอดแนวความคิด ของผู้เขียนโปรแกรม เพื่อสั่งงงานให้คอมพิวเตอร์ทำงาน
- องค์ประกอบทางด้านบุคลากร เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์และการใช้ งานระบบคอมพิวเตอร์
- แบบฝึกหัดท้ายบท
- องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ มีกี่องค์ประกอบ อะไรบ้าง
- องค์ประกอบทางด้าน Hardware มีกี่ส่วน แต่ละส่วนทำหน้าที่อะไรบ้าง พร้อมอธิบายพอสังเขป
- องค์ประกอบทางด้าน Software มีอะไรบ้าง พร้อมอธิบายพอสังเขป
- จงอธิบายหน้าที่หลักของซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการมาพอสังเขป
- จงบอกกลุ่มต่างๆ ขององค์ประกอบทางด้านบุคลากร พร้อมอธิบายพอสังเขป
- จงอธิบายลักษณะของอุปกรณ์ต่อไปนี้พอสังเขป Key Board, Mouse, Scanner, Monitor, Printer, Tape, CD-ROM, RAM, ROM, Hard Disk
เอกสารอ้างอิง
ครรชิต มาลัยวงศ์. 2540. ทัศนะไอที. กรุงเทพมหานคร ชีเอ็ดยูเคชั่น.
หน้า 63-73.
พัลลภ พิริยะสุรวงศ์. 2544. ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศ. [Online]. Available: http://www.uni.net.th (19 มกราคม 2559).
Curtin, Dennis p. 1998. Information Technology The breaking wave, McGraw-Hill International Editions, 300 Pages.
Curtin, Dennis p. &, Foley, Kim and Others. 1998. Information Technology The Breaking wave, McGraw-Hill International, 300 Pages.
Gray B. Shelly,Thomas J. Cashman and Others. 2000. Discovering Computers 2000 Course Technology, 1.1 – 14.52 Pages.
KS-Barcode. Receipt Printer – เครื่องพิมพ์ใบเสร็จ. [Online]. แหล่งที่มา http://ks-barcode.com/receipt-printer (20 มกราคม 2559).
Techmoblog. 2012. Solid State Drive. [Online]. แหล่งที่มา: http://www.techmoblog.com/solid-state-drive-SSD (20 ธันวาคม 2559).
Williams, Brain K. Sawyer,Stacey C and Hutchinson, Sarah E. 1995. Using Information Technology, @RICHARD D. IRWIN, INC., 648 Pages.
Wikipedia . 2017. Digital Visual Interface. [Online]. แหล่งที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/ Digital_Visual_Interface (20/1/2017).
Wikipedia . 2017. HDMI. [Online]. แหล่งที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/HDMI (20/1/2017).
Wikipedia . 2017. USB. [Online]. แหล่งที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/USB (20/1/2017).
Wikipedia . 2017. Video Graphics Array. [Online]. แหล่งที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/ Video_Graphics_Array (20/1/2017).
แผนบริหารการสอนประจำบทที่ 2
วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม
- นักศึกษาสามารถอธิบายองค์ประกอบด้านฮาร์ดแวร์ได้
- นักศึกษาสามารถอธิบายองค์ประกอบด้านซอฟต์แวร์ได้
- นักศึกษาสามารถอธิบายองค์ประกอบทางด้านบุคลากรได้
- นักศึกษาสามารถอธิบายหน้าที่ของแต่ละองค์ประกอบได้
- นักศึกษาสามารถบอกอธิบายลักษณะของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่สำคัญได้
เนื้อหา
- องค์ประกอบด้านฮาร์ดแวร์
- องค์ประกอบด้านซอฟต์แวร์
- บทบาทและความสำคัญของบุคลากรคอมพิวเตอร์
- บทสรุป
- แบบฝึกหัดท้ายบท
วิธีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนประจำบท
- ศึกษาเอกสารประกอบการสอน
- บรรยาย
- ร่วมกันศึกษาและแสดงความคิดเห็นเป็นกลุ่ม
- นำเสนอหน้าชั้นเรียน
- นักศึกษาทำแบบฝึกหัดท้ายบท
- ประเมินผลและเฉลยแบบฝึกหัดท้ายบท
สื่อการเรียนการสอน
- เอกสารประกอบการสอน
- สไลด์ประกอบการสอน
- ใบงาน
- อินเทอร์เน็ต
- แบบฝึกหัดท้ายบท
การวัดผลและประเมินผล
- การตอบคำถามของนักศึกษา
- ผลสรุปการทำกิจกรรม
- ทดสอบจากแบบฝึกหัดท้ายบท
บทที่ 2
ระบบคอมพิวเตอร์
ทุก ๆ สิ่งทุก ๆ อย่างถ้าเราสังเกตให้ดีจะพบว่าการทำงานของสิ่งนั้นจะสำเร็จบรรลุตามวัตถุประสงค์ได้ จะต้องประกอบกันหรือทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ อย่างเช่นร่างกายเรา ถ้าเรานึก หรือ คิด จะทำสิ่งใดหรือ อะไรสักอย่าง จะต้องเกิด กระบวนการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ เช่น ถ้าเรานึกอยากจะไปซื้อของสักอย่าง หนึ่ง อันดับแรกเราต้องใช้สมองค้นหาจากความจำซะก่อนว่าของสิ่งนั้นมีขายอยู่ที่ไหน พอนึกออกแล้ว สมองก็จะคิดต่อไปว่าจะไปโดยวิธีการใด มีเงินครบหรือยัง ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นสมองก็จะต้องคิดแก้ไปหา และจะต้องสั่งส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเราให้ขับเคลื่อนไมว่าจะเป็นแขน ขา หรือปาก เพื่อที่จะให้สิ่งที่เราต้องการนั้น สำเร็จไปได้
คอมพิวเตอร์ก็เช่นกันการที่จะทำงานใด ๆ นั้นจำเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่างเข้ามาทำงานร่วมกันเป็น “ระบบคอมพิวเตอร์ (Computer System)” จึงจะทำให้งานนั้นสามารถดำเนินไปได้ ซึ่งองค์ประกอบ เหล่านี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ คือ ฮาร์ดแวร์ (Hardware) ซอฟต์แวร์(Software) และบุคคลากร (People ware) ทุก ๆ ส่วนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน ต้องประกอบเข้าด้วยกัน ระบบคอมพิวเตอร์จึงจะทำงานได้ อย่างมีประสิทธิภาพ จะขาดส่วนใดส่วนหนึ่งมิได้
- ภาพที่ 2.1 แสดงองค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์
ที่มา : http://www.suwanpaiboon.ac.th/wbi/page/na3.htm
- ฮาร์ดแวร์
ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถึง ส่วนประกอบของตัวเครื่องที่เราสามารถจับต้องได้ เครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นอุปกรณ์ที่ประกอบขึ้นจากการทำงานประสานกันของแผงวงจร อุปกรณ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ซึ่งแต่ละส่วนถูกออกแบบมาให้ทำหน้าที่แตกต่างกัน เราเรียกอุปกรณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ว่า ฮาร์ดแวร์ (Hardware) ซึ่ง สามารถแบ่งออกเป็น 4 หน่วย คือ
- หน่วยรับข้อมล (Input Unit)
- หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit)
- หน่วยความจำ (Memory Unit)
- หน่วยแสดงผล (Output Unit)
- ภาพที่ 2.2 แสดงการทำงานของฮาร์ดแวร์ (Hardware)
ที่มา : www.pixabay.com
- หน่วยรับข้อมูล (Input Unit)
หน่วยรับข้อมูลจะทำหน้าที่รับคำสั่งและข้อมูลไปเก็บไว้ที่หน่วยความจำ เพื่อคอยการประมวลผล หน่วยรับข้อมูลอาจจะรับข้อมูลหรือคำสั่งได้จากอุปกรณ์หลายแบบ แตกต่างตามความเหมาะสมของงานแต่ละ ประเภท หน่วยรับข้อมูลสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
- แป้นพิมพ์ (Keyboard)
เป็นอุปกรณ์รับข้อมูลพื้นฐานที่ต้องมีในเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง จะรับข้อมูลจากการกด แป้น แล้วทำการเปลี่ยนเป็นรหัสสัญญาณทางไฟฟ้าเพื่อส่งเข้าไปในหน่วยประมวลผลของเครื่อง แป้นพิมพ์ ส่วนใหญ่จะถูกออกแบบแป้นเป็นกลุ่ม คือ
- แป้นอักขระ (Character Keys) การจัดวางตัวอักษรเหมือนแป้นบนเครื่องพิมพ์ดีด
- แป้นควบคุม (Control Keys) มีหน้าที่สั่งการคำสั่งพิเศษบางอย่าง โดยใช้งานร่วมกับแป้นอื่นแป้นฟังก์ชั่น (Function Keys) อยู่แถวบนสุด มีสัญลักษณ์เป็น F1 – F12 ซอฟต์แวร์แต่ ละชนิด อาจกำหนดแป้นเหล่านี้ให้มีหน้าที่เฉพาะอย่างแตกต่างกันไป
- แป้นตัวเลข (Numeric Keys) เป็นแป้นที่แยกจากแป้นอักขระมาอยู่ทางด้านขวา มี ลักษณะคล้ายเครื่องคิดเลข ช่วยอำนวยความสะดวกในการบันทึกตัวเลขเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์
- ภาพที่ 2.3 แป้นพิมพ์ (Keyboard)
ที่มา : www.pixabay.com
- เมาส์ (Mouse)
เมาส์เป็นอุปกรณ์นำเข้าข้อมูลอีกประเภทหนึ่งที่ให้ผู้ใช้ติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์แทน แป้นพิมพ์เพราะโปรแกรมที่ใช้งานในปัจจุบันส่วนใหญ่ถูกออกแบบให้สามารถทำงานร่วมกับเมาส์ได้ เพื่อเป็น การลดภาระที่ผู้ใช้ต้องพิมพ์คำสั่งต่าง ๆ ผ่านทางแป้นพิมพ์ ผู้ใช้เพียงแต่เลื่อนเมาส์ ที่จอภาพจะปรากฏเป็นลูกศร เรียกว่าตัวชี้เมาส์ (Mouse Pointer) เคลื่อนที่ไปมาบนจอภาพในทิศทางเดียวกันกับที่ผู้ใช้เมาส์ ออกไปเมื่อตัวชี้เมาส์เลื่อนออกไปอยู่ยังตำแหน่งที่ต้องการ ให้ผู้ใช้กดปุ่มด้านซ้ายที่อยู่บนตัวเมาส์ (คลิก) เพื่อ เลือกรายการนั้น ๆ ขึ้นมา
- ภาพที่ 2.4 เมาส์ (Mouse)
ที่มา : www.pixabay.com
- ตัวเลื่อนเมาส์พอยท์เตอร์แบบสัมผัส (Touching Pad)
เป็นอุปกรณ์นำเช้าข้อมูลที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในเครื่องคอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้ว (Notebook) ซึ่งใช้งานแทนเมาส์และแทร็กบอล มีลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ด้านล่างมีปุ่มอยู่ 2 ปุ่ม ทำ หน้าที่เหมือนกับปุ่มซ้ายและขวาของเมาส์ สามารถเลื่อนเมาส์พอยท์เตอร์ได้โดยการสัมผัสที่แผ่นสี่เหลี่ยม เมื่อผู้ใช้เลื่อนนิ้วที่สัมผัสไปมา จะเห็นว่าลูกศรที่เป็นเมาส์พอยท์เตอร์บนจอภาพเลื่อนตามในทิศทางของการเลื่อนนิ้วที่สัมผัสบนแผ่นสี่เหลี่ยมนั้น
- ภาพที่ 2.5 ทัชชิ่งแพด (Touching pad)
ที่มา : www.pixabay.com
- จอยสติก (Joystick)
เป็นก้านสำหรับใช้โยกขึ้นลง / ซ้ายขวา เพื่อย้ายตำแหน่งของตัวชี้ตำแหน่งบนจอภาพ มี หลักการทำงานเช่นเดียวกับเมาส์แต่ต่างกันตรงมีแป้นกดเพิ่มเติมมาจำนวนหนึ่งสำหรับสั่งงานพิเศษ นิยมใช้กับการเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์หรือควบคุมหุ่นยนต์
- ภาพที่ 2.6 จอยสติก (Joystick)
ที่มา : www.colourproduct.com.hk
- จอภาพระบบสัมผัส (Touch Screen)
เป็นจอภาพแบบพิเศษซึ่งผู้ใช้เพียงแตะปลายนิ้วลงบนจอภาพในตำแหน่งที่กำหนดไว้เพื่อเลือก การทำงานที่ต้องการ ซอฟต์แวร์ที่ใช้จะเป็นตัวค้นหาว่าผู้ใช้เลือกทางเลือกทางใด และทำงานให้ตามนั้น จอภาพระบบสัมผัสนี้ในปัจจุบันเป็นที่นิยมกันมาก ทั้งในคอมพิวเตอร์หิ้วกระเป๋า สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต
- ภาพที่ 2.7 จอระบบสัมผัส (Touch Screen)
ที่มา : www.pixabay.com
- สไตลัส (Stylus)
สไตลัสเป็นปากกาที่ใช้กับแท็บเล็ตและอุปกรณ์เคลื่อนที่ต่าง ๆ ซึ่งใช้แรงกดในการวาดภาบนหน้าจอ โดยสามารถใช้ร่วมกับซอฟต์แวร์รู้จำลายมือ (handwriting recognition software) เพื่อแปลงจากลายมือที่วาดหรือเขียนให้อยู่ในรูปแบบที่หน่วยระบบสามารถประมวลผลได้
- ภาพที่ 2.8
สไตลัส (Stylus)
ที่มา : www.tutorialbyte.com
- เครื่องอ่านภาพ (Scanner)
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้อ่านหรือสแกนข้อมูลบนเอกสารเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ใช้วิธีส่องแสงไปยัง วัตถุที่ต้องการสแกน แสงที่ส่องไปยังวัตถุแล้วสะท้อนกลับมาจะถูกส่งผ่านไปที่เซลล์ไวแสง (Charge-Coupled Device หรือ CCD) ซึ่งจะทำการตรวจจับความเข้มของแสงที่สะท้อนออกมาจากวัตถุและแปลงให้อยู่ในรูปของข้อมูลทางดิจิทัล เอกสารอาจจะประกอบด้วยข้อความหรือรูปภาพกราฟิกก็ได้ ปัจจุบันสแกนเนอร์ที่นิยมมากที่สุด คือ เครื่องสแกนเนอร์แบบแท่น ผู้ใช้เพียงวางกระดาษ ต้นฉบับที่ต้องการไปบนเครื่องสแกนเนอร์ มีวิธีการทำงานคล้ายกับเครื่องถ่ายเอกสาร ทำให้
ไช้งานได้ง่าย
- ภาพที่ 2.9 เครื่องอ่านภาพ (Scanner)
ที่มา : www. epson.com
- เครื่องอ่านเครื่องหมายด้วยแสง (Optical Mark Reader – OMR)
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้หลักการอ่านสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายที่ระบายด้วยดินสอดำลงในตำแหน่ง ที่กำหนด ตัวอย่างเช่น ข้อสอบแบบเลือกคำตอบ เป็นต้น โดยดินสอดำที่ใช้นั้นต้องมี สารแม่เหล็ก (Magnetic particle) จำนวนหนึ่ง เพื่อให้เครื่องโอเอ็มอาร์สามารถรับรู้ได้ ซึ่งปกติจะเป็นดินสอ 2B จากนั้น เครื่องโอเอ็มอาร์ก็จะอ่านข้อมูลตามเครื่องหมายที่มีการระบายด้วยดินสอดำ
- ภาพที่ 2.10 เครื่องอ่านเครื่องหมายด้วยแสง
ที่มา : www. microlab.com
- เครื่องอ่านแทบสี (Bar-Code Reader)
ทำหน้าที่อ่านรหัสที่มีลักษณะเป็นแถบสีขาวสลับดำ (Bar-code) ที่นิยมกันมากคือ UPC (Universal Product Code) เป็นรหัสที่ติดอยู่บนห่อสินค้าทั่วไปโดยเครื่องอ่านแถบสีจะทำการอ่านแถบรหัสบน สินค้าแล้วแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้าส่งไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อตรวจสอบราคาและปริมาณสินค้า สามารถแสดงยอดเงินรวมและทำการปรับปรุงรายการสินค้าคงเหลือได้พร้อม ๆ กัน ห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ นิยมใช้กันมาก จึงพบเห็นได้ทั่วไป
- ภาพที่ 2.11 เครื่องอ่านแถบสี
ที่มา : www.pixabay.com
- เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID readers)
เป็นเครื่องอ่านความถี่คลื่นวิทยุซึ่งจะอ่านข้อมูลจากไมโครชิปอาร์เอฟไอดีที่ฝังอยู่ในอุปกรณ์หรือสิ่งต่าง ๆ เช่น สินค้า ใบขับขี่ บัตรประชาชน เป็นต้น ในชิปอาร์เอฟไอดีจะมีการบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตัวอย่งการใช้งาน เช่น ข้อมูลรายละเอียดส่วนตัวในบัตรประจำตัวประชาชน ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าเพื่อติดตามกระบวนการผลิตหรือ การใช้เพื่อติดตามสัตว์เลี้ยงที่หายไป ใช้กับบัตรทางด่วนซึ่งจะหักเงินจกบัตรแทนการจ่ายเงินสด
- ภาพที่ 2.12
อุปกรณ์ที่ฝังไมโครชิปอาร์เอฟไอดี
ที่มา : www.identiv.com
- กล้องถ่ายภาพดิจิทัล (Digital Camera)
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับถ่ายภาพแบบไม่ต้องใช้ฟิล์ม ภาพที่ได้จะประกอบด้วยจุดเล็ก ๆ จำนวนมาก และสามารถนำเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์สแกนเนอร์อีก เป็น อุปกรณ์ที่เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเนื่องจากไม่ต้องใช้ฟิล์มในการถ่ายภาพและสามารถดูผลลัพธ์ได้ จากจอที่ติดอยู่กับกล้องได้ในทันที
- ภาพที่ 2.13 กล้องถ่ายภาพดิจิทัล
ที่มา : http://images.clipshrine.com
- อุปกรณ์รับข้อมูลเสียง (Voice Input Devices)
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ไมโครโฟน เป็นอุปกรณ์รับข้อมูลในรูปแบบเสียง โดยจะทำการแปลง สัญญาณเสียงเป็นสัญญาณดิจิทัลแล้วจึงส่งไปยังคอมพิวเตอร์
- ภาพที่ 2.14 อุปกรณ์รับข้อมูลเสียง
ที่มา : http://www.clker.com
- หน่วยประมวลผลกลาง (CPU : Central Processing Unit)
หน่วยประมวลผลกลาง จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางควบคุมการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งหมด โดยนำข้อมูลจากอุปกรณ์รับข้อมูลมาทำการประมวลผลข้อมูลตาม คำสั่งของโปรแกรมและส่งผลลัพธ์ที่ได้ออกไปที่หน่วยแสดงผลในรูปแบบที่ผู้ใช้เข้าใจ เช่น ทางกระดาษพิมพ์ หรือบันทึกไว้ที่สื่อบันทึกข้อมูล เช่น แผ่นบันทึก เทปแม่เหล็ก เพื่อนำมาใช้อีก หน่วยประมวลผลกลางสามารถทำการคำนวณและโยกย้ายข้อมูล หรือเปรียบเทียบข้อมูลได้อย่างรวดเร็วมาก
- ภาพที่ 2.15 หน่วยประมวลผลกลาง
ที่มา : www.pixabay.com
หน่วยประมวลผลกลางประกอบขึ้นมาจากวงจรอิเล็กทรอนิกส์อยู่ 2 ส่วนคือ
- หน่วยคำนวณและตรรกะ (Arithmetic and Logical สUnit : ALU)
หน่วยคำนวณตรรกะ ทำหน้าที่เหมือนกับเครื่องคำนวณอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยทำงาน เกี่ยวกับการคำนวณทางคณิตศาสตร์ เช่น บวก ลบ คูณ หาร อีกทั้งยังมีความสามารถอีกอย่างหนึ่งที่เครื่อง คำนวณธรรมดาไม่มี คือ ความสามารถในเชิงตรรกะศาสตร์ หมายถึง ความสามารถในการเปรียบเทียบตาม เงื่อนไข และกฎเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์ เพื่อให้ได้คำตอบออกมาว่าเงื่อนไขนั้นเป็น จริง หรือ เท็จ ได้
- ส่วนควบคุม (Control Unit)
หน่วยควบคุม ทำหน้าที่ควบคุมลำดับขั้นตอนการประมวลผล รวมไปถึงการประสานงานกับ อุปกรณ์นำเข้าข้อมูล อุปกรณ์แสดงผล และหน่วยความจำสำรองด้วย
- หน่วยความจำ (Memory Unit)
หน่วยความจำ เป็นที่เก็บโปรแกรม ข้อมูล และผลลัพธ์ไว้ภายในคอมพิวเตอร์หน่วยนี้รวมถึงสื่อข้อมูลที่ ช่วยในการจดจำ เช่น แผ่นบันทึก เป็นต้น โดยเปรียบเทียบหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ไห้กับความจำของ สมองคนซึ่งใช้การจดจำสิ่งต่าง ๆ และสื่อข้อมูลที่ช่วยในการจดจำเปรียบเทียบได้กับสมุดบันทึกซึ่งใช้ช่วยใน การจดจำเพิ่มเติมจากสมอง สำหรับหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์แบ่งไห้เป็น 2 ประเภทคือ
- หน่วยความจำหลัก (Primary Memory Unit)
หน่วยความจำหลักงานร่วมกับหน่วยประมวลผลกลางจะห้องให้หน่วยประมวลผลกลางนำ ข้อมูลมาเก็บหรือเรียกข้อมูลไปได้อย่างรวดเร็ว หน่วยความจำที่ทำงานร่วมกับหน่วยควบคุม (Control Unit) และหน่วยประมวลผลทางคณิตศาสตร์และตรรกะ (ALU) หน่วยความจำหลักจะอยู่ภายในตัวเครื่องและเป็น ส่วนที่จำเป็นห้องมีสำหรับคอมพิวเตอร์ โดยแบ่งเป็นส่วนสำคัญไห้ดังนี้
- แรม (RAM : Random Access Memory)
ใช้ในระบบคอมพิวเตอร์ ลักษณะเด่นคือสามารถเขียนข้อมูลลงไปและเรียกดูข้อมูลได้ แรมจะเก็บข้อมูลตราบเท่าที่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลหรือหากไฟฟ้าเลี้ยงวงจรขาดหายไป ข้อมูลที่เก็บไว้ก็จะสูญหายไป หน่วยความจำนี้เรียกว่า โวลาไทล์ (Volatile Memory) คือ เมื่อไฟดับข้อมูลที่มีอยู่นั้นจะสูญหายไป หรือเรียกว่า Read Write Memory หรือเรียกว่า หน่วยความจำชั่วคราว เราสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ
- DRAM (Dynamic Random Access Memory)
- ภาพที่ 2.16 DRAM
ที่มา : https://i.ytimg.com
DRAM เป็นชิปของหน่วยความจำที่นิยมใช้หน่วยความจำหลักในเครื่อง คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC: Personal Computer) มีเวลาในการเข้าถึงข้อมูลค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับ SRAM ข้อดีของ DRAM คือ มีความจุสูงมากและราคาไม่แพงหาซื้อได้ง่ายตามร้านจำหน่ายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
- SRAM (Static Random Access Memory)
- ภาพที่ 2.17 SRAM
ที่มา : http://3.bp.blogspot.com
SRAM เป็นชิปที่มีเวลาในการเช้าถึงข้อมูล ที่เร็วกว่า DRAM มาก SRAM มัก นำไปใช้ในหน่วยความจำแบบแคช (Cache Memory) เนื่องจากมีความเร็วสูงกว่า DRAM มาก ซึ่งใกล้เคียงกับ การทำงานของซีพียู ทำให้ไม่มีสภาวะรอคอยเกิดขึ้น แต่ SRAM จะมีราคาค่อนข้างสูง ความจุต่อชิปก็น้อยเมื่อ เทียบกับ DRAM
- รอม (ROM : Read Only Memory)
- ภาพที่ 2.18 ROM
ที่มา : www.howstuffworks.com
เป็นหน่วยความจำที่ได้รับการบรรจุข้อมูลไว้ภายในก่อนแล้ว โดยทั่วไปแล้วรอมจะถูกอ่านได้อย่างเดียวเท่านั้น โดยจะใช้เก็บคำสั่งที่ใช้อยู่เป็นประจำและคำสั่งเฉพาะ โปรแกรมที่อยู่ในรอมนี้จะอยู่อย่างถาวร แม้ว่าจะปิดเครื่องโปรแกรมก็จะไม่ถูกลบไป เรียกว่า นอน-โวลาไทล์ (Non-Volatile Memory) คือ ข้อมูลจะไม่หายเมื่อปิดเครื่อง ปัจจุบันหน่วยความจำหลักมีลักษณะเป็น ในหน่วยความจำหลักที่เป็นประเภทของ EEPROM (Electronic Erasable Programmable Read Only Memory) ซึ่งสามารถเขียนและลบโปรแกรมที่ถูกจัดเก็บภายในหน่วยความจำได้โดยการใช้กระแสไฟฟ้า
- หน่วยความจำสำรอง (Secondary Memory Unit)
เป็นหน่วยความจำที่ต้องอาศัยสื่อบันทึกข้อมูลและอุปกรณ์รับ-ส่งข้อมูลชนิดต่าง ๆ ได้แก่
- ฟล็อปปี้ดิสก์ (Floppy Disk)
เป็นแผ่นพลาสติกวงกลม ปัจจุบันมีขนาด 3.5 นิ้ว (วัดจากเส้นผ่านศูนย์กลางของ วงกลม) สามารถอ่านได้ด้วยดิสก์ไดร์ฟ โดยการอ่านมีหลักการทำงานคล้ายกับการเล่นซีดีเพลง ส่วนการบันทึก มีหลักการทำงานคล้ายกับการบันทึกเสียงลงในเทปบันทึกเสียง ต่างกันก็ตรงที่ผู้ใช้ไม่ต้องกดปุ่มใด ๆ เมื่อต้องการบันทึกข้อมูล เพราะโปรแกรมที่ใช้งานจะจัดการให้โดยอัตโนมัติ โดยจะมีแถบป้องกันการบันทึก (Write-protection) อยู่ด้วย ผู้ใช้สามารถเปิดแถบนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีการบันทึกข้อมูลอื่นทับไปหรือลบข้อมูลทิ้ง ปัจจุบันไม่นิยมใช้งานแล้ว แต่ฟล็อบปี้ดิสก์กลายเป็นรูปสัญลักษณ์ (Icon) ที่ใช้สื่อถึงการบันทึกข้อมูลในโปรแกรมต่าง ๆ
- ภาพที่ 2.19 ฟลอบปี้ดิสก์ (Floppy disk)
ที่มา : https://vistazomovil.files.wordpress.com/2013/09/imagen-diskettes.jpg
- ฮาร์ดดิสก์ (Hard disk)
ฮาร์ดดิสก์ทำมาจากแผ่นโลหะแข็ง สามารถเก็บข้อมูลได้มากและทำงานได้รวดเร็ว ฮาร์ดดิสก์ส่วนใหญ่จะถูกยึดติดอยู่ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่ ก็มีบางรุ่นที่เป็นแบบ เคลื่อนย้ายได้ (Removable disk) ฮาร์ดดิสก์ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน จะประกอบด้วยจานแม่เหล็กหลาย ๆ แผ่น และสามารถบันทึกข้อมูลได้ทั้งสองหน้าของผิวจานแม่เหล็ก โดยที่ทุกแทรก (Track) และเซกเตอร์ (Sector) ที่มีตำแหน่งตรงกันของฮาร์ดดิสก์ชุดหนึ่งจะเรียกว่า ไซลินเดอร์ (Cylinder)
แผ่นจานแม่เหล็กของฮาร์ดดิสก์นั้นหมุนเร็วมาก โดยที่หัวอ่านและบันทึกจะไม่สัมผัสกับผิวของแผ่น จานแม่เหล็ก ดังนั้นจึงอาจมีความผิดพลาดหรือเสียหายเกิดขึ้นได้ถ้ามีบางสิ่งบางอย่าง เช่น ฝุ่น ขวางหัวอ่านและบันทึก เพราะอาจทำให้หัวอ่านและบันทึกกระแทกกับผิวของแผ่นจานแม่เหล็ก การที่ฮาร์ดดิสก์มีประสิทธิภาพ และความจุที่สูง เนึ่องจากประกอบด้วยแผ่นจานแม่เหล็กจำนวนหลายแผ่นทำให้เก็บข้อมูลได้มากกว่า นอกจากนี้ฮาร์ดดิสก์จะหมุนด้วยความเร็วสูงมาก คือ ตั้งแต่ 7,200 รอบต่อนาที ทำให้สามารถอ่านข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว
การเชื่อมฮาร์ดดิสก์กับแผงวงจรหลักจะต้องมี ส่วนเชื่อมต่อฮาร์ดดิสก์ (Hard disk Interface) ซึ่งจะมีวงจรมาตรฐานที่ทั้งแผงวงจรหลักและฮาร์ดดิสก์รู้จัก ทำให้ข้อมูลสามารถส่งผ่านระหว่างแผงวงจรหลักและฮาร์ดดิสก์ได้ มาตรฐานส่วนเชื่อมต่อฮาร์ดดิสก์ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน คือ SATA (Serial ATA), EIDE (Enhanced Integrated Drive Electronics) และ SCSI (Small Computer System Interface)
- ภาพที่ 2.20 ฮาร์ดดิสก์ (Hard disk)
ที่มา : www.wikimedia.org
- ภาพที่ 2.21 ฮาร์ดดิสก์แบบพกพก (External Hard disk)
ที่มา : www.pixabay.com
- โซลิดสเตตไดร์ฟ (Solid State Drive หรือ SSD)
เป็นใช้ชิปวงจรรวมที่ประกอบเป็นหน่วยความจำเก็บข้อมูล :ซึ่งถูกสร้างมาเพื่อทดแทนการใช้งานจานแม่เหล็กในฮาร์ดดิสก์แบบเดิม ด้วยการใช้ชิปวงจรรวมนี้ส่งผลให้ความเสียหายจากแรงกระแทกของโซลิดสเตตนั้นน้อยกว่าฮาร์ดดิสก์ การที่โซลิดสเตตไม่ใช้วิธีการอ่านข้อมูลด้วยวิธีหมุนจานแม่เหล็กทำให้อุปกรณ์ชนิดนี้กินไฟน้อยกว่าเดิม นอกจากนั้นเวลาในการเข้าถึงข้อมูลยังเร็วขึ้นอีกด้วย เนื่องจากสามารถเข้าถึงข้อมูลในตำแหน่งต่าง ๆ ได้ทันที ด้วยขนาดที่เล็กและเบาลงมากกว่าฮาร์ดดิสก์ส่งผลให้ในปัจจุบันโซลิดสเตตถูกนำไปเป็นชิ้นส่วนของเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา สมาร์ทโฟน แท๊บเล็ต เป็นต้น
- ภาพที่ 2.22 โซลิดสเตตไดร์ฟ (Solid State Drive)
ที่มา : http://www.versiondaily.com
- ซีดี-รอม (CD-ROM หรือ Compact Disk Read Only Memory)
แผ่นซีดีรอมจะมีลักษณะคล้ายซีดีเพลง สามารถเก็บข้อมูลได้สูงถึง 700 เมกะไบต์ ต่อแผ่น การใช้งานแผ่นซีดีรอมต้องใช้ร่วมกับซีดีรอมไดร์ฟ (CD-ROM Drive) ซึ่งจะมีหลายชนิดขึ้นกับความเร็วในการทำงาน ซีดีรอมไดร์ฟรุ่นแรกสุดนั้นมีความเร็วในการอ่านข้อมูลที่ 150 กิโลไบต์ต่อ วินาที เรียกว่ามีความเร็ว 1 เท่าหรือ 1 X ซีดีรอมไดร์ฟรุ่นหลัง ๆ จะอ้างอิงความเร็วในการอ่านข้อมูลจากรุ่นแรก เช่น ความเร็ว 2 เท่า (2x) 5 ความเร็ว 4 เท่า (4x) เป็นต้น แต่ปัจจุบันนี้ ซีดีรอมไดร์ฟที่จะมีความเร็วตั้งแต่สิบเท่าขึ้นไป
ซีดีรอมได้รับความนิยมใช้เป็นสื่อเก็บข้อมูลสำหรับอ่านอย่างเดียวเป็นอย่างมาก เช่น ซอฟต์แวร์ เกมส์ แผนที่โลก หนังสือ ภาพยนตร์ เป็นต้น
ในปัจจุบันนี้มีแผ่นซีดีรอมที่สามารถบันทึกและอ่านข้อมูลได้ เรียกว่า ซีดีอาร์ (CD-R หรือ CD Recordable) ซึ่งสามารถนำซีดีรอมไดร์ฟชนิดใดก็ได้อ่านข้อมูลไนแผ่นซีดี โดยการบันทึกข้อมูลลงบนแผ่นซีดี อาร์สามารถเก็บข้อมูลได้ประมาณ 700 เมกะไบต์ในหนึ่งแผ่น
- ภาพที่ 2.23 ซีดีรอม CD-ROM
ที่มา : http://www.webrecovery.it
- ดีวีดี (DVD หรือ Digital Versatile Disk)
เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน โดยแผ่นดีวีดีสามารถ เก็บข้อมูลได้ตํ่าสุดที่ 4.7 จิกะไบต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับเก็บภาพยนตร์เต็มเรื่องด้วยคุณภาพระดับสูงสุดทั้งภาพ และเสียง (ในขณะที่ CD-ROM หรือ Laser Disk ที่นิยมใช้เก็บภาพยนตร์ในปัจจุบันต้องใช้หลายแผ่น) ทำให้ดีวีดีมีความนิยมใช้งานอย่างแพร่หลายแทนที่ซีดีรอม
ข้อกำหนดของดีวีดีจะสามารถมีความจุได้ตั้งแต่ 4.7 GB ถึง 17 GB และมีความเร็วในการเข้าถึง (Access time) อยู่ที่ 600 กิโลไบต์ต่อวินาที ถึง 1.3 เมกะไบต์ต่อวินาที รวมทั้งสามารถอ่านแผ่นซีดีรอมแบบเก่า ได้ด้วย
- ภาพที่ 2.24 ดีวีดี (DVD)
ที่มา : www.pixabay.com
- เทปแม่เหล็ก (Magnetic Tape)
เป็นหน่วยเก็บข้อมูลที่ใช้กันมานาน ปัจจุบันได้รับความนิยมน้อยลง เทปแม่เหล็กมี หลักการทำงานคล้ายเทปบันทึกเสียง ในเครื่องเมนเฟรมเทปที่ใช้จะเป็นแบบม้วนเทป (Reel-to-reel) ซึ่งเป็นวงล้อขนาดใหญ่ ในเครื่องมินิคอมพิวเตอร์จะใช้คาร์ทริดจ์เทป (Cartridge tape) ซึ่งมีลักษณะคล้ายวิดีโอเทป ส่วน ในเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์จะใช้ตลับเทป (Cassette tape) ซึ่งมีลักษณะเหมือนเทปเพลง เทปทุกชนิดที่กล่าวมามีหลักการทำงานคล้ายกับเทปบันทึกเสียง คือจะอ่านข้อมูลตามลำดับก่อนหลังตามที่ได้บันทึกไว้ เรียกหลักการนี้ว่าการอ่านข้อมูลแบบลำดับ (Sequential access) จึงเป็นข้อเสียของการใช้เทปแม่เหล็กบันทึกข้อมูล คือทำให้อ่านข้อมูลได้ช้า เนื่องจากต้องอ่านข้อมูลในม้วนเทปไปเรื่อย ๆ จนถึงตำแหน่งที่ต้องการ ผู้ใช้จึงนิยมนำเทปแม่เหล็กมาสำรองข้อมูลเท่านั้น ใช้กับข้อมูลที่สำคัญและไม่ถูกเรียกใช้บ่อย ๆ เพื่อป้องกันการสูญหายของข้อมูล
ข้อดีของเทปแม่เหล็กคือสามารถบันทึก อ่านและลบกี่ครั้งก็ได้ รวมทั้งมีราคาตํ่า นอกจากนี้ยังสามารถ บันทึกข้อมูลจำนวนมาก ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ในลื่อที่มีขนาดใหญ่มากนัก ความจุของเทปแม่เหล็กจะมีหน่วยเป็น ไบต์ต่อนิ้ว (Byte per inch) หรือ บีพีไอ (bpi) ซึ่งหมายถึงจำนวนตัวอักษรที่เก็บได้ในเทปยาวหนึ่งนิ้ว หรือเรียก ได้อีกอย่างว่าความหนาแน่นของเทปแม่เหล็ก
- ภาพที่ 2.25
เทปแม่เหล็ก (Magnetic Tape)
ที่มา : www.pixabay.com
- รีมูฟเอเบิลไดร์ฟ (Removable Drive)
เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่ไม่ต้องมีตัวขับเคลื่อน (Drive) สามารถพกพาไปไหนได้โดย ต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย Port USB ปัจจุบันความจุมีตั้งแต่ 4, 16, 32, 64, 128 กิกะไบต์ และขยายจนถึง 1 เทอราไบต์ ทั้งนี้ ยังมีไดร์ฟลักษณะเดียวกันเรียกในชื่ออื่น ๆ เช่น Pen Drive, Thump Drive, Flash Drive, Handy Drive เป็นต้น
- ภาพที่ 2.26 รีมูฟเอเบิลไดร์ฟ (Removable Drive)
ที่มา : http://media.trusper.net
- การ์ดเมมโมรี (Memory Card)
เป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลที่มีขนาดเล็ก พัฒนาขึ้น เพื่อนำไปใช้กับอุปกรณ์เทคโนโลยี แบบต่าง ๆ เช่น กล้องดิจิทัล คอมพิวเตอร์มือถือ (Personal Data Assistant –
PDA) โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น
- ภาพที่ 2.27 การ์ดเมมโมรี (Memory Card)
ที่มา : www.freesoftwaresclub.com
- หน่วยแสดงผล
หน่วยแสดงผลทำหน้าที่แสดงผลจากการประมวลผล โดยนำผลที่ได้ออกมาจากหน่วยความจำหลักแสดงให้ผู้ใช้ได้ ทั้งในรูปแบบแสดงผลทางจอภาพหรือในรูปแบบของการบันทึกลงสื่อบันทึก ข้อมูลเราเรียกอุปกรณ์นี้ว่า อุปกรณ์แสดงผล (Output Device)
จะเห็นได้ว่าอุปกรณ์บางอย่างเป็นได้ทั้งอุปกรณ์รับข้อมูลและแสดงผลซึ่งเรียกว่า Input/output Device อุปกรณ์เหล่านี้ได้แก่ เครื่องขับแผ่นบันทึกข้อมูล (Diskette) ฮาร์ดดิสก์ (Hard disk) เป็นต้น โดยจะ เรียกอุปกรณ์เหล่านี้ตามหน้าที่ในขณะที่ทำงานร่วมกับหน่วยความจำหลัก คือ ถ้าเป็นการนำข้อมูลเข้ามา หน่วยความจำหลัก ก็จะเรียกอุปกรณ์นี้เป็น อุปกรณ์รับข้อมูล แต่ถ้าเป็นการนำข้อมูลออกจากหน่วยความจำ หลักก็จะเรียกอุปกรณ์แสดงผล ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- อุปกรณ์ที่ใช้แสดงผลลัพธ์ชั่วคราว
หมายถึง อุปกรณ์ที่ให้ผลลัพธ์แก่ผู้ใช้ในระยะเวลาหนึ่ง ไม่สามารถเก็บไว้เป็นหลักฐานได้ เช่น จอภาพ เป็นต้น อุปกรณ์แสดงผลทั่วไปที่นิยมใช้มีรายละเอียดดังนี้
- คอมพิวเตอร์จอภาพ (Monitor)
ใช้แสดงข้อมูลหรือผลลัพธ์ให้ผู้ใช้เห็นได้ทันที มีรูปร่างคล้ายจอภาพของโทรทัศน์ บนจอภาพประกอบด้วยจุดจำนวนมากมาย เรียกจุดเหล่านั้นว่า พิกเซล (Pixel) ถ้ามีพิกเซลจำนวนมากก็จะทำให้ผู้ใช้มองเห็นภาพบนจอได้ชัดเจนมากขึ้น แบ่งได้เป็นสองประเภท คือ
จอซีอาร์ที (Cathode Ray Tube) นิยมใช้กับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ส่วนมากในปัจจุบัน ใช้หลักการยิงแสงผ่านหลอดภาพคล้ายกับโทรทัศน์ ปัจจุบันไม่ได้รับความนิยมแล้ว
จอแอลซีดี (Liquid Crystal Display) นิยมใช้เป็นจอภาพของเครื่อง คอมพิวเตอร์แบบพกพาทำให้เป็นจอภาพที่มีความหนาไม่มาก มีน้ำหนักเบาและกินไฟน้อยกว่าจอภาพซีอาร์ที แต่มีราคาสูงกว่า เทคโนโลยีจอแอลซีดีในปัจจุบันจะมีสองแบบคือ Passive Matrix ซึ่งมีราคาตํ่าแต่ขาดความคมชัดและอาจมองไม่เห็นภาพเมื่อผู้ใช้มองจากบางมุม ส่วน Active Matrix หรือบางครั้งอาจเรียกว่า Thin Film Transistor (TFT) จะให้ภาพที่คมขัดกว่าแต่จะมีราคาสูงกว่ามากซึ่งจะมีจอภาพอยู่หลายชนิดให้เลือก โดยแตกต่างกันใน ส่วนของ ความละเอียด (Resolution) จำนวนสี (Color) และขนาดของจอภาพ (Size)
ในส่วนความละเอียดของจอภาพ ในปัจจุบันจะนิยมใช้จอภาพชนิดสีแบบ ซูเปอร์วีจีเอ (Super VGA) ซึ่งมีความละเอียด 800×600 พิกเซล สำหรับจอภาพที่มีความละเอียดตํ่า (Low resolution) และสำหรับจอภาพที่มี ความละเอียดสูง จะนิยมใช้ความละเอียดที่ 1024×768,1280×1024 หรือ 1600×1200 พิกเซล ซึ่งจะให้ความ คมชัดที่สูงมาก สิ่งที่เป็นปัจจัยอีกอันหนึ่งที่ทำให้ภาพดูคมชัดมากขึ้นถึงแม้ว่าจะมีจำนวนพิกเซลเท่ากัน ก็คือ ระยะห่างระหว่างพิกเซล (Dot pitch) โดยระยะห่างระหว่างพิกเซลน้อยก็จะให้ความละเอียดได้มากกว่า จอภาพ ที่มีขายในท้องตลาดปัจจุบันมีระยะห่างระหว่างพิกเซลอยู่ระหว่าง 0.21-0.28 หน่วย ซึ่งระยะห่างระหว่างพิกเซล นี้เป็นสิ่งที่ติดมากับเครื่องไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ปัจจุบันนี้ผู้ใช้มักจะแสดงภาพกราฟิก ภาพจากโทรทัศน์ ภาพเคลื่อนไหว บนจอภาพคอมพิวเตอร์ จึง ต้องการจอภาพที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น จอภาพที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีขนาด 15 นิ้ว และ 17 นิ้ว ส่วนจอภาพซึ่งมี ขนาดใหญ่กว่านี้จะนิยมใช้กับงานที่เน้นกราฟิก เช่น งานออกแบบ (CAD) เป็นต้น
การต่อจอภาพเข้ากับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์นั้นจะต้องมี แผงวงจรกราฟิก (Graphic Adapter Board) ซึ่งจอภาพแต่ละชนิดก็ต้องการแผงวงจรที่ต่างกัน แผงวงจรกราฟิกจะถูกเสียบเช้ากับ ช่องขยายเพิ่มเติม (Expansion slot) ในคอมพิวเตอร์ แผงวงจรกราฟิกมักจะมีหน่วยความจำเฉพาะที่เรียกว่า หน่วยความจำวิดีโอ (Video memory) เพื่อให้ใช้โปรแกรมด้านกราฟิกได้สวยงามและรวดเร็ว
สิ่งที่เป็นปัจจัยข้อหนึ่งที่ผู้ใช้จอภาพต้องคำนึงคือ อัตราการเปลี่ยนภาพ (Refresh Rate) ของการ์ดวิดีโอ โดยภาพที่แสดงบนจอภาพแต่ละภาพนั้นจะถูกลบและแสดงภาพใหม่เริ่มจากบนลงล่าง หากอัตราการเปลี่ยน ภาพในแนวดิ่ง (Vertical-refresh rate) เป็น 60 ครั้งต่อวินาที หรือ 60 Hz จะเกิดการกระพริบทำให้ผู้ใช้ปวดศีรษะ ได้ มีผู้วิจัยพบว่าอัตราเปลี่ยนภาพ
ในแนวดิ่งไม่ควรตํ่ากว่า 70 Hz จึงจะไม่เกิดการกระพริบ และทำให้ผู้ใช้ดูจอภาพได้อย่างสบายตา
- ภาพที่ 2.28 จอภาพคอมพิวเตอร์ (Monitor)
ที่มา : www.pixabay.com
- อุปกรณ์ฉายภาพ (Projector)
เป็นอุปกรณ์ที่นิยมใช้ในการเรียนการสอนหรือการประชุม เนื่องจากสามารถนำเสนอข้อมูลให้ผู้ชมจำนวนมากเห็นพร้อม ๆ กัน ในปัจจุบันจะมีอยู่หลายแบบ ทั้งที่สามารถต่อสัญญาณจากคอมพิวเตอร์โดยตรง หรือใช้อุปกรณ์พิเศษในการวางลงบนเครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ (Overhead Projector) ธรรมดา เหมือนกับอุปกรณ์นั้นเป็นแผ่นใส่แผ่นหนึ่ง
อุปกรณ์ฉายภาพจะมีข้อแตกต่างกันมากในเรื่องของกำลังส่องสว่าง เนื่องจากยิ่งมีกำลังส่องสว่างสูง ภาพที่ได้ก็จะชัดเจนมากขึ้น กำลังส่องสว่างมีหน่วยวัดค่าอยู่ 3 แบบ คือ LUX, LUMEN และ ANSI LUMEN โดยการวัดค่าแบบ LUX จะวัดค่าความสว่างที่จุดกึ่งกลางของภาพ จึงได้ค่าความสว่างสูงที่สุดเมื่อ เทียบกับอีก 2 แบบ การวัดแบบ LUMEN จะแบ่งภาพออกเป็น 3 ส่วน คือ บน กลางและล่าง และแต่ละส่วนจะถูกแบ่งออกเป็น 3 จุด คือ ริมซ้าย กลาง และริมขวา รวมจุดภาพทั้งหมด 9 จุด แล้วจึงใช้ค่าเฉลี่ยของความสว่างทั้ง 9 จุดคิดออกมาเป็นค่า LUMEN ส่วนการวัดแบบ ANSI LUMEN จะมีมาตรฐานสูงสุด โดยใช้วิธีเดียวกับ LUMEN แต่จะกำหนดขนาดจอภาพไว้คงที่คือ 40 นิ้ว (หากไม่กำหนด การวัดค่าความสว่างจะสูงขึ้นเมื่อจอภาพ มีขนาดเล็กลง)
- ภาพที่ 2.29 อุปกรณ์ฉายภาพ (Projector)
ที่มา : www. http://wuji-zentrum.de/
- อุปกรณ์เสียง (Audio Output)
คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ ๆ มักจะมีหน่วยแสดงเสียง ซึ่งประกอบขึ้นจาก ลำโพง (Speaker) และ การ์ดเสียง (Sound card) เพื่อให้ผู้ใช้สามารถฟังเพลง เสียงภาพยนต์ หรือให้เครื่องคอมพิวเตอร์ รายงานเป็นเสียงให้ทราบเมื่อเกิดปัญหาต่าง ๆ เช่น ไม่มีกระดาษในเครื่องพิมพ์ เป็นต้น รวมทั้ง สามารถเล่นเกมส์ที่มีเสียงประกอบได้อย่างสนุกสนาน โดยลำโพงจะมีหน้าที่ในการแปลงสัญญาณจากคอมพิวเตอร์ให้เป็น เสียงเช่นเดียวกับลำโพงวิทยุส่วนการ์ดเสียงจะเป็นแผงวงจรเพิ่มเติมที่นำมาเสียงกับช่องเสียบขยายในเมนบอร์ด เพื่อช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถส่งสัญญาณเสียงผ่านลำโพง รวมทั้งสามารถต่อไมโครโฟนเข้ามาที่การ์ดเพื่อ บันทึกเสียงเก็บไว้ด้วยเทคโนโลยีด้านเสียงในขณะนี้อาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
- Waveform Audio หรืออาจเรียกว่า digital audio
เป็นเทคโนโลยีที่เปรียบเสมือนการเก็บเสียงลงเทปเพลง แต่ในที่นี้จะเป็นการบันทึกเสียงลงในรูปของแฟ้มข้อมูลตามฟอร์แมต ต่าง ๆ เช่น .WAV .MP3 เป็นต้น ซึ่งสามารถนำเสียงที่บันทึกไว้นี้อ่านกลับมาเป็นคลื่นเสียงออกทางลำโพงได้ และเนื่องจากข้อมูลเสียงที่เก็บไว้อยู่ในรูปของดิจิทัล ทำให้การปรับแต่งเสียงสามารถทำได้โดยสะดวก
- MIDI (Musical Instrument Digital Interface)
เป็นมาตรฐานของ อุตสาหกรรมดนตรีแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้สำหรับการส่งและแลกเปลี่ยนสัญญาณเสียงในรูปแบบที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สามารถใช้งานได้ โดยจะเป็นเทคโนโลยีที่เปรียบเสมือนการเก็บโน้ตเพลง เนื่องจากข้อมูลแบบ MIDI จะเป็นคำสั่งในการสังเคราะห์เสียงแทนที่จะเป็นเสียงเพลงจริง ๆ และจะใช้อุปกรณ์ ซินธิไซเซอร์ (Synthesizer) ในการรับคำสั่งจากข้อมูล MIDI ทำให้สามารถแก้ไขหรือปรับแต่งเพลงได้ทีละตัวโน้ต รวมทั้ง สามารถปรับแต่งจังหวะได้โดยไม่กระทบกระเทือนถึงระดับเสียงของตัวโน้ต
- ภาพที่ 2.30
อุปกรณ์เสียง (Audio Output)
ที่มา : https://images.morele.net
- อุปกรณ์ที่แสดงผลลัพธ์แบบถาวร
หมายถึง อุปกรณ์ที่ให้ผลลัพธ์ที่สามารถเก็บไก้เป็นหลักฐานได้ต่อ ๆ ไปในอนาคต เช่น เครื่องพิมพ์ เป็นต้น
- เครื่องพิมพ์ (Printer)
เครื่องพิมพ์ เป็นอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเช้ากับคอมพิวเตอร์เพื่อทำหน้าที่ในการแปลง ผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในรูปของอักขระหรือรูปภาพที่จะไปปรากฏอยู่ บนกระดาษ นับเป็นอุปกรณ์แสดงผลที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายมากที่สุด โดยเครื่องพิมพ์แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
- เครื่องพิมพ์กระทบ (Impact Printer)
เครื่องพิมพ์แบบกระทบ มีหลายลักษณะ เป็นเครื่องพิมพ์ที่อาศัย การกดหัวพิมพ์กับแถบผ้าหมึก เพื่อให้เกิดตัวอักษร ได้แก่ เครื่องพิมพ์แบบเรียงจุด (Dot Matrix Printer) เป็นเครื่องพิมพ์ที่ได้รับความนิยม โดยองค์ประกอบสำคัญได้แก่ หัวพิมพ์ (Print Head) ที่ประกอบไปด้วยเข็มพิมพ์ 9 เข็ม หรือ 24 เข็ม (ทำให้เรียกเครื่องพิมพ์ชนิดนี้ ได้อีกว่า เครื่องพิมพ์ 9 เข็ม และเครื่องพิมพ์ 24 เข็ม) ชุดของ เข็มพิมพ์แบบ 9 เข็มจะเรียงตรงกันในแนวตั้งคอลัมน์เดียว ส่วนชุดของเข็มพิมพ์แบบ 24 เข็ม จะเรียงกันใน แนวตั้งโดยแบ่งเป็น 3 คอลัมน์ ๆ ละ 8 เข็ม วางเหลื่อมกันระหว่างคอลัมน์ โดยหัวเข็มจะกระแทกผ่านผ้าหมึก ลงบนกระดาษ ทำให้เกิดตัวอักษรขึ้นมา
- ภาพที่ 2.31 เครื่องพิมพ์แบบกระทบ (Impact Printer)
ที่มา : http://www.mayinkim.com
คุณภาพของเครื่องพิมพ์ประเภทนี้พิจารณาจาก
- จำนวนหัวเข็มเครื่องพิมพ์ที่มีจำนวนหัวเข็มมากจะมีคุณภาพดีกว่าเครื่องพิมพ์ที่มีหัวเข็มน้อย
- ความเร็วในการพิมพ์ โดยปกติพิมพ์ได้ 25 – 450 ตัวอักษรต่อวินาที
ข้อดีของเครื่องพิมพ์ลักษณะนี้คือ
- หมึกพิมพ์เป็นตลับ ราคาไม่สูงมากนัก
- สามารถพิมพ์กระดาษหลายก๊อปปี้ได้
- เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก (Ink Jet Printer)
เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก โดยหัวพิมพ์ ซึ่งเป็นตลับหมึกของเครื่องพิมพ์ จะมีรูเล็กๆ ไว้พ่นหมึกลงบนกระดาษ ใช้หลักการพ่นหมึกลงในตำแหน่งที่ต้องการ โดยการควบคุมด้วยไฟฟ้าสถิตย์จากคอมพิวเตอร์ ทำให้ไม่เกิดเสียงดังในขณะใช้งาน และยังสามารถพ่นหมึกเป็นสีต่าง ๆ เป็นเครื่องพิมพ์สีได้ อีกด้วย เครื่องพิมพ์ประเภทนี้มีชื่อเรียกหลายชื่อ ตามเทคโนโลยีของผู้ผลิต เช่น Bubble Jet, Desk Jet Printer เป็นต้น เป็นเครื่องพิมพ์ที่ราคาไม่สูงมากนัก ปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างสูง
- ภาพที่ 2.32 เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก (Ink Jet Printer)
ที่มา : https://openclipart.org
หมึกของเครื่องพิมพ์จะเก็บไว้ในตลับ สามารถเปลี่ยนตลับใหม่ได้ ปัจจุบันมีวิธีฉีดสีเข้าไปในตลับ แทนที่จะเปลี่ยนตลับ ทำให้ประหยัดต่อผู้ใช้ โดยสีที่ใช้ประกอบด้วย แม่สีฟ้า (Cyan) แม่สีม่วง (Magenta) และแม่สีเหลือง (Yellow) โดยสีดำจะเกิดจากการผสมของแม่สีทั้งสามสี ซึ่งไม่ดำสนิท เหมือนตลับหมึกสีดำเฉพาะ (แต่ราคาก็ถูกกว่าด้วย)
- เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (Laser Printer)
เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (Laser Printer) ใช้หลักการเปลี่ยนตัวอักษร และภาพให้เป็นสัญญาณภาพ ที่มีความละเอียดตั้งแต่ 200 ชุดถึง 1,200 ชุดต่อนิ้ว จากนั้นใช้แสงเลเซอร์วาดภาพที่จะพิมพ์ลงบนกระบอกรับภาพ (เช่นเดียวกับ เครื่องถ่ายเอกสาร) โดยกระบอกรับภาพจะมีประชุไฟฟ้าตามรูปร่างของภาพ เมื่อกระบอกรับภาพ หมุนมาถึงตัวปล่อยผงหมึก ผงหมึกจะเกาะ เฉพาะบริเวณที่ไม่มีประจุไฟฟ้า แล้วกระบอกรับภาพจะอัดผงหมึกลงบนกระดาษ แล้วอบด้วยความร้อน ภาพพิมพ์ก็จะติดบนกระดาษ มีทั้งเครื่องพิมพ์ขาวดำ และเครื่องพิมพ์สี ซึ่งราคาจะแพงมาก
- ภาพที่ 2.33 เครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์ (Laser Printer)
ที่มา : http://www.sito48.it
ตลับหมึกของเครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์ บรรจุในตลับที่เรียกว่า โทนเนอร์ (Toner) เวลาเปลี่ยน ต้องเปลี่ยนทั้งชุด ปัจจุบันเครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์ มีการพัฒนาไปหลายรูปแบบ โดยมีรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจ คือ เป็นเครื่องพิมพ์เลเซอร์ พร้อมอุปกรณ์สแกนเนอร์ และเครื่องโทรสารในเครื่องเดียว
- เครื่องพิมพ์เทอร์มอล (Thermal Printer)
เครื่องพิมพ์ใบเสร็จแบบเทอร์มอล (Thermal Printer) ใช้หลักการถ่ายเทความร้อนจากหัวพิมพ์ไปยังกระดาษความร้อน หรือกระดาษเทอร์มอล ซึ่งในตัวกระดาษถูกเคลือบด้วยสารเคมีที่จะปรากฏสีเมื่อโดนความร้อนในปริมาณที่เหมาะสม ส่งผลให้เครื่องพิมพ์ประเภทนี้ไม่ต้องใช้หมึกในการพิมพ์เอกสาร แต่ด้วยคุณสมบัติของสารเคมีที่เคลือบกระดาษอยู่ส่งผลให้เมื่อเวลาผ่านไปข้อมูลที่ปรากฏอยู่บนกระดาษจะหายไป ลักษณะเอกสารที่เหมาะกับเครื่องพิมพ์ประเภทนี้จึงเหมาะกับใบเสร็จสำหรับร้านสะดวกซื้อ ร้านขายสินค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ เป็นต้น
- ภาพที่ 2.34
เครื่องพิมพ์เทอร์มอล (Thermal Printer)
ที่มา : http://www.lb-tech.com.my
- พล็อตเตอร์ (Plotter)
Plotter เป็นอุปกรณ์แสดงข้อมูลที่มักจะใช้กับงานออกแบบ (CAD) โดยจะ แปลงสัญญาณข้อมูล เป็นเส้นตรง หรือเส้นโค้ง ก่อนพิมพ์ลงบนกระดาษ ทำให้แสดงผลเป็นกราฟแผนที่ แผนภาพต่าง ๆ ไค้ โดยตัวพล็อตเตอร์ จะมีปากกามากกว่า 1 ด้าม เคลื่อนไปมา ด้วยการควบคุมของคอมพิวเตอร์ โดยปากกาแต่ละด้ามจะมีสี และขนาดเส้นที่ต่างกัน ทำให้ไค้ภาพที่สวยงาม มีคุณภาพสูง และขนาดตามขนาด ของเครื่องพล็อตเตอร์
- ภาพที่ 2.35 พล็อตเตอร์ (Plotter)
ที่ : http://4madeira.com
- พอร์ตและช่องทางการเชื่อมต่อ (Port and connector)
นอกจากส่วนประกอบของฮาร์ดแวร์ทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมาแล้วพอร์ตและช่องทางการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกยังเป็นสิ่งที่เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานคอมพิวเตอร์ ในปัจจุบันที่ช่องทางการเชื่อมต่อมากมาย ดังนี้
- พอร์ตขนาน (Parallel Port)
ในอดีตพอร์ตขนาน ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นช่องทางต่อเชื่อมกับเครื่องพิมพ์ โดยพอร์ตที่ติดตั้งกับเครื่องคอมพิวเตอร์จะมีรูขนาดเล็กจำนวน 25 ช่อง เรียกว่าพอร์ตตัวเมีย มาตรฐาน DB25 และอุปกรณ์ต่อพ่วงพอร์ทตัวผู้เพื่อเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ภายหลังได้มีการออกแบบให้อุปกรณ์อื่น ๆ สามารถใช้พอร์ตขนานได้ จนกระทั่งความนิยมลดลงเมื่อพอร์ตยูเอสบี (USB) ถูกใช้มากขึ้น
- ภาพที่ 2.36 พอร์ทขนาน
ที่มา : www.howstuffworks.com
- พอร์ตอนุกรม (Serial Port)
พอร์ตอนุกรมเป็นอุปกรณ์ที่อยู่เครื่องกับคอมพิวเตอร์มาไม่ต่ำกว่า 20 ปี โดยส่วนใหญ่จะใช้เชื่อมต่อกับโมเดมแบบเก่าที่ยังรองรับพอร์ตอนุกรม พอร์ตชนิดนี้มีความเร็วในการสื่อสารช้ากว่าพอร์ตขนาน แต่ข้อดีของพอร์ตชนิดนี้คือ สามารถส่งข้อมูลได้ไกลกว่า ใช้จำนวนสายไฟส่งข้อมูลน้อยกว่าทำให้มีราคาถูกกว่าอุปกรณ์ที่ใช้พอร์ตขนาน
- ภาพที่ 2.37
พอร์ทอนุกรม
ที่มา : www.howstuffworks.com
- พอร์ตอนุกรมความเร็วสูง (USB)
ย่อจาก Universal Serial Bus ช่องการเชื่อมต่อพอร์ตอนุกรมความเร็วสูงหรือ USB เป็นพอร์ตมาตรฐานที่ติดมากับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ อาทิ เมาส์ คีย์บอร์ด เครื่องพิมพ์ รีมูฟเอเบิลไดร์ท กล้องดิจิทัล ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว ซึ่งระบบปฏิบัติการรองรับการเชื่อมต่อ USB ได้เป็นอย่างดี หากอุปกรณ์ต่อพ่วงชนิดใหม่ถูกติดตั้งเข้ากับคอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการจะถามถึงแผ่นไดร์เวอร์ แต่หากมีไดร์เวอร์ติดตั้งอยู่แล้วจะสามารถเริ่มใช้งานอุปกรณ์ได้ทันที ทำให้การติดตั้งพอร์ตชนิดนี้ง่ายมาก อุปกรณ์ USB สามารถเชื่อมต่อและยกเลิกการเชื่อมต่อได้ตลอดเวลาที่ต้องการ การออกแบบของ USB ถูกกำหนดมาตรฐานโดย USB Implementers Forum (USBIF), โดยเป็นการรวมตัวกันของผู้นำด้านอุตสาหกรรมด้านคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ เช่น แอปเปิล, เอชพี, เอ็นอีซี, ไมโครซอฟท์, อินเทล, และ Agere
อุปกรณ์ USB มีคอนเนคเตอร์ (connector) หลายรูปแบบเพื่อการใช้งานและอุปกรณ์ที่แตกต่างกัน โดยแต่เดิมคอนเนคเตอร์ฝั่งตัวอุปกรณ์จะเป็น type-B ส่วนปลายสายที่เชื่อมต่อเข้าคอมพิวเตอร์จะเป็นคอนเนคเตอร์แบบ type-A เพื่อป้องกันความสับสนในการเชื่อมต่อ นอกจากนี้ยังมีคอนเนคเตอร์ Mini-A, Mini-B, Micro-A, Micro-B และ USB C อีกด้วย ในปัจจุบัน USB อยู่ในมาตรฐาน USB 3.0 ที่ส่งข้อมูลได้เร็ว 4.8 กิกะบิต ต่อ วินาที
- ภาพที่ 2.38 ปลั๊ก Micro-B, ปลั๊ก UC-E6, ปลั๊ก Mini-B, ตัวรับ A , ปลั๊ก type-A, ปลั๊ก type-B
ที่มา : https://en.wikipedia.org
- พอร์ตวีจีเอ (Video Graphic Array :VGA)
มีลักษณะพอร์ตเชื่อมต่อ 3 แถว และหัวเข็มจำนวน 25 ชิ้น ติดตั้งอยู่บริเวณด้านหลังเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะหรือบริเวณด้านข้างของคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กใช้ในการส่งข้อมูลภาพและภาพเคลื่อนไหวจากคอมพิวเตอร์ไปสู่อุปกรณ์แสดงผล อาทิ จอมอนิเตอร์ เครื่องฉายภาพ (Projector) โดยส่งสัญญาณภาพแบบอนาล็อก
- ภาพที่ 2.39 พอร์ตวีจีเอ (VGA Port)
ที่มา : http://images.monoprice.com/productlargeimages/11901.jpg
- พอร์ดดีวีไอ (Digital Visual Interface : DVI)
แสดงข้อมูลภาพและภาพเคลื่อนไหวเช่นเดียวกับพอร์ตวีจีเอ แตกต่างกันที่ DVI ส่งสัญญาณในรูปแบบดิจิทัล ส่งผลให้ภาพมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะแบ่งเป็น 3 แบบด้วยกันคือ DVI-A ที่ส่งสัญญาณแบบแอนาล็อกอย่างเดียวเท่านั้น DVI-A ส่งสัญญาณดิจิทัลอย่างเดียวเท่านั้นซึ่งแบ่งเป็น single link หรือ dual link อีกด้วย DVI-I สามารถส่งสัญญาณได้ทั้งดิจิทัลและอนาล็อก
- ภาพที่ 2.40 พอร์ตดีวีไอ (DVI Port)
ที่มา : http://www.download.net.pl/upload/NewsMay2015/Laptop-TV/dvi.jpg
- พอร์ทเอชดีเอ็มไอ (HDMI Port)
ย่อมาจาก High-Definition Multimedia Interface ช่องส่งสัญญาณ ออดิโอ/วีดิโอ โดยไม่บีบอัดข้อมูลภาพและเสียงแบบดิจิทัล จากอุปกรณ์แหล่งข้อมูล อาทิ คอมพิวเตอร์ ไปยัง จอภาพ เครื่องฉายภาพ จอทีวี เป็นต้น โดยทั่วไปเทคโนโลยี HDMI เป็นเทคโนโลยีเฉพาะที่คิดค้นโดยบริษัททางด้านความบันเทิง 7 บริษัท อาทิ Hitchi Maxell Ltd., Sony Corporation เป็นต้น แต่ในปัจจุบันช่องสัญญาณ HDMI ถูกนำมาทดแทนพอร์ทวีจีเอ ในเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คมากขึ้นทุกที เนื่องจากขนาดที่เล็กของช่องเชื่อมต่อและความสามารถในการส่งภาพแบบ High-Definition
- ภาพที่ 2.41 พอร์ท HDMI (กลาง)
ที่มา : https://www.ptgrey.com
- ซอฟต์แวร์ (Software)
ซอฟต์แวร์ คือ โปรแกรมที่เขียนขึ้นเพื่อกำหนดให้ฮาร์ดแวร์ของระบบคอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ ต้องการ โดยซอฟต์แวร์หนึ่ง ๆ อาจประกอบด้วยโปรแกรมหลายโปรแกรมที่เกี่ยวเนื่องและในตัวโปรแกรมต้องประกอบด้วยคำสั่งที่จะให้ส่วนต่าง ๆ ของฮาร์ดแวร์ทำงาน โดยทั่วไปแล้ว ซอฟต์แวร์เราสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
- ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software)
- ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)
ในการทำงานใด ๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์จะต้องมีซอฟต์แวร์ทั้ง 2 ประเภทเพื่อ ควบคุมการทำงาน ของเครื่องคอมพิวเตอร์โดยซอฟต์แวร์ระบบทำหน้าที่ควบคุมส่วนของฮาร์ดแวร์ให้ทำงานอย่างอัตโนมัติ ส่วน ซอฟต์แวร์ประยุกต์นั้นจะทำหน้าที่ควบคุมให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ผู้ใช้ต้องการเพื่อประยุกต์ใช้ในงานด้าน ต่าง ๆ
- ภาพที่ 2.42 แสดงการใช้งานซอฟต์แวร์ระบบและซอฟต์แวร์ประยุกต์
ที่มา : http://slideplayer.com/slide/6671807/
- ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software)
ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) เป็นซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ ต่าง ๆ ในระบบคอมพิวเตอร์ โดยเป็นตัวกลางที่ช่วยให้ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถติดต่อสั่งงาน คอมพิวเตอร์ได้ง่ายขึ้น ซอฟต์แวร์ระบบสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
- โปรแกรมระบบปฏิบัติการ
- โปรแกรมแปลภาษา
- โปรแกรมอรรถประโยชน์
- โปรแกรมระบบปฏิบัติการ (Operating System : OS)
ระบบปฏิบัติการเป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์และ อุปกรณ์ที่ต่อพ่วงกับเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการติดต่อกับฮาร์ดแวร์ของเครื่องโดยตรง โปรแกรมใช้งานหรือโปรแกรมประยุกต์ใดที่ต้องการติดต่อเครื่องคอมพิวเตอร์จะต้องอาศัยการสั่งงานของ โปรแกรมระบบปฏิบัติการเพื่อควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ โปรแกรมระบบปฏิบัติการของเครื่อง คอมพิวเตอร์แต่ละระบบหรือแต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกัน เช่น โปรแกรมระบบปฏิบัติการสำหรับ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ระบบหนึ่งก็จะแตกต่างจากเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ระบบอื่นเป็นต้น
- โปรแกรมแปลภาษา (Translator)
ในการพัฒนาซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์นั้น โปรแกรมเมอร์จะเขียนโปรแกรมใน ภาษาคอมพิวเตอร์แบบต่าง ๆ ตามแต่ความชำนาญของแต่ละคน โปรแกรมที่ได้จะเรียกว่า โปรแกรมต้นฉบับ หรือ ซอร์สโคด (Source code) ซึ่งมนุษย์จะอ่านโปรแกรมต้นฉบับนี้ได้แต่คอมพิวเตอร์จะไม่เข้าใจคำสั่งเหล่านั้น เนื่องจากคอมพิวเตอร์เข้าใจแต่ภาษาเครื่อง (Machine Language) ซึ่งประกอบขึ้นจากรหัสฐานสอง เท่านั้น จึงต้องมีการใช้โปรแกรม ตัวแปรภาษาคอมพิวเตอร์ (Translator) ในการแปลภาษาคอมพิวเตอร์ภาษา ต่าง ๆ ไปเป็นภาษาเครื่อง โปรแกรมที่แปลจากโปรแกรมต้นฉบับแล้วเรียกว่า ออบเจคโคด (Object code) ซึ่งจะ ประกอบด้วยรหัสคำสั่งที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจและนำไปปฏิบัติได้ต่อไป ตัวแปลภาษาที่มีการใช้อยู่ใน ปัจจุบัน จะต่างกันที่ขั้นตอนที่ใช้ในการแปลภาษา สามารถแบ่งได้เป็น
- โปรแกรมอรรถประโยชน์ (Utility Program)
โปรแกรมอรรถประโยชน์เป็นโปรแกรมหนึ่งที่อำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ในระหว่างการประมวลผลข้อมูลหรือในระหว่างที่กำลังใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งโดยปกติแล้วโปรแกรม อรรถประโยชน์ทำงานร่วมกับโปรแกรมระบบปฏิบัติการเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ของโปรแกรม ระบบปฏิบัติการ ในการควบคุมการทำงานของทุปกรณ์ต่าง ๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น โปรแกรมที่ทำหน้าที่ จัดเตรียมเนื้อที่ในดิสก์ ทำให้สามารถบันทึกข้อมูลลงบนดิสก์ได้หรือโปรแกรมที่อำนวยความสะดวกในการทำสำเนาข้อมูลของโปรแกรมที่ต้องการเพื่อนำไปใช้ในที่ต่าง ๆ ได้ หรือช่วยให้ผู้ใช้สามารถเขียนโปรแกรมสร้าง แฟ้มข้อมูลหรือข้อความต่าง ๆ ลงเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ เป็นต้น
- ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Program)
โปรแกรมประยุกต์ นั้นเราสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ โปรแกรมประยุกต์สำหรับงานเฉพาะด้านและโปรแกรมประยุกต์สำหรับงานทั่วไป
- ซอฟต์แวร์สำหรับงานเฉพาะด้าน (Special Purpose Software)
จะมีความเหมาะสมกับงานเฉพาะด้าน เช่น โปรแกรมด้านการคำนวณราคาค่านั้นของแต่ละบ้าน จะมีประโยชน์กับงานด้านการประปา หรือโปรแกรมสำหรับฝากถอนเงิน ก็จะมีประโยชน์กับองค์กรที่เกี่ยวกับการเงิน เช่น ธนาคาร ซอฟต์แวร์สำหรับงานเฉพาะด้านส่วนมากจะไม่มีการจำหน่ายอยู่ทั่วไป องค์กรที่ต้องการใช้งานมักจะต้องพัฒนาด้วยตนเอง หรือว่าจ้างบริษัทซอฟต์แวร์พัฒนาให้โดยเฉพาะ อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีบริษัทซึ่งพัฒนาซอฟต์แวร์เฉพาะด้านมาวางจำหน่ายก็มักจะมีราคาสูงรวมทั้งมีข้อเสนอในการพัฒนา เพิ่มเติมเพื่อให้เหมาะสมกับองค์กรต่าง ๆ ด้วย
- ซอฟต์แวร์สำหรับงานทั่วไป (General Purpose Software)
จะเป็นซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาสำหรับงานทั่ว ๆ ไป สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับงานส่วนตัว ได้อย่างหลากหลาย ทำให้เป็นซอฟต์แวร์ประเภทที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน ซึ่งส่วนมากจะเป็น ซอฟต์แวร์ที่ทำงานอยู่ในเครื่องระดับไมโครคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์สำหรับงานทั่วไป สามารถแบ่งตาม ประเภทของงานได้ดังนี้
- ซอฟต์แวร์ตารางวิเคราะห์แบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Spreadsheet)
ธุรกิจในสมัยก่อนนั้นการทำงบประมาณ หรือการวางแผนต่าง ๆ ต้องใช้กระดาษบัญชี และเครื่องคิดเลขเท่านั้น สำหรับสมัยนี้ด้วยซอฟต์แวร์ตารางวิเคราะห์แบบอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ใช้สามารถพิมพ์ หัวข้อหรือชื่อของข้อมูล และตัวเลขข้อมูลต่าง ๆ เข้าในคอมพิวเตอร์ โดยที่ในคอมพิวเตอร์จะมีตารางที่เปรียบเสมือนกระดาษบัญชีขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถคำนวณได้ตามสูตรที่ผู้ใช้ทำการกำหนด โดยที่สูตรเหล่านั้น จะไม่ปรากฏในช่องของข้อมูลเลย ยิ่งไปกว่านั้นหากผู้ใช้เปลี่ยนตัวเลขหรือข้อมูลใด ๆ ก็ตาม จะเห็นการเปลี่ยนแปลงข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้องกันในทันที ปัจจุบันมีผู้ใช้ประโยชน์ของตารางวิเคราะห์แบบอิเล็กทรอนิกส์มากมาย ไม่เฉพาะแต่ในทางบัญชีเท่านั้น แต่ยังนิยมใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ บริหารการเงิน เป็นต้น
- ซอฟต์แวร์ประมวลผลคำ (Word processing)
ปัจจุบันเครื่องคอมพิวเตอร์มากกว่า 85 เปอร์เซ็นต์ ต้องติดตั้งโปรแกรมสำหรับงาน พิมพ์เอกสารรวมอยู่ด้วย ซึ่งโปรแกรมนี้ทำให้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือสำหรับสร้าง แก้ไข ตรวจสอบ พิมพ์ และจัดเก็บข้อความต่าง ๆ หนังสือที่จำหน่ายในท้องตลาดในปัจจุบันนี้ ส่วนมากก็เริ่มต้นจากการพิมพ์ข้อความ ลงในคอมพิวเตอร์ด้วยซอฟต์แวร์ที่ประมวลผลคำ
- ซอฟต์แวร์การพิมพ์แบบตั้งโต๊ะ (Desktop Publishing)
ในสมัยก่อนการจัดทำหนังสือพิมพ์ หรือวารสารต่าง ๆ นั้นต้องผ่านกระบวนการต่าง ๆ มากมายหลายขั้นตอนซึ่งรวมเรียกว่าการเรียงพิมพ์ โดยที่จะต้องมีผู้ตัดต่อรูปภาพที่ต้องการ วาดกรอบของ ภาพหรือกรอบหัวเรื่อง และเขียนข้อความ และนำข้อความ ภาพ และกรอบมาประกอบกันตามแบบที่ออกแบบ ไว้ การทำงานที่ยุ่งยากเหล่านี้นี่เองที่ทำให้เอกสารเหล่านั้นมีราคาแพง แต่ในปัจจุบันนี้ขอเพียงมีคอมพิวเตอร์ และโปรแกรมการจัดพิมพ์แบบตั้งโต๊ะเท่านั้น ก็สามารถที่จะออกแบบงานหรือเอกสารให้เป็นที่น่าสนใจได้ โดยซอฟต์แวร์การพิมพ์แบบตั้งโต๊ะจะมีความสามารถด้านการจัดการเอกสาร ความสามารถด้านการเรียงพิมพ์ รวมทั้งการจัดสีที่สูงกว่าซอฟต์แวร์ประมวลผลคำ
- ซอฟต์แวร์นำเสนอ (Presentation Software)
เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการนำเสนอข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ โดยอาจประกอบด้วย ตัวอักษร รูปภาพ แผนผัง รายงาน ตลอดจนภาพเคลื่อนไหว เป็นต้น นิยมใช้ในการเรียนการสอนหรือการ ประชุม เพื่อนำเสนอข้อมูลให้การบรรยายนั้นน่าสนใจยิ่งขึ้น
- ซอฟต์แวร์กราฟิก (Graphic Software)
เป็นซอฟต์แวร์สำหรับสร้างภาพกราฟิกแบบต่าง ๆ การใช้งานในระดับเบื้องต้นอาจ นำไปใช้ประกอบการสร้างเอกสาร หรือการนำเสนอข้อมูล ส่วนการใช้ในระดับสูงอาจใช้สำหรับการตกแต่งภาพหรือรูปถ่าย หรือใช้สำหรับงานด้านศิลปกรรม สถาปัตยกรรม วิศวกรรม เป็นต้น
- ซอฟต์แวร์ฐานข้อมูล (Database)
โปรแกรมฐานข้อมูลเป็นโปรแกรมสำหรับสร้างแฟ้มข้อมูลต่าง ๆ เก็บไว้ในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยโปรแกรมจะมีเครื่องมือต่าง ๆ ในการอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการจัดการแฟ้มข้อมูล เช่น มีเครื่องมือสำหรับการเพิ่มหรือแก้ไขข้อมูลที่จัดเก็บอยู่ หรือสามารถเรียกแฟ้มข้อมูลนั้นขึ้นมาแสดงบนจอภาพ โดยกำหนดเงื่อนไขให้เลือกข้อมูลมาแสดงเพียงบางส่วน เป็นต้น
- โมบายแอพ
เรียกในอีกชื่อว่า “โมบายแอพพลิเคชั่น” เป็นโปรแกรมประยุกต์ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เพิ่มเข้าไปในโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อให้ผู้ใช้สามารถดำเนินการกับงานต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลายขึ้น ในปัจจุบันได้มีกรนำโมบายแอพมาใช้กันอย่างกว้างขวาง เช่น แอพพลิเคชั่นสำหรับจัดการสมุดที่อยู่ บันทึกรายที่จะทำและรายการข้อความ แอพพลิเคชั่นอีเมลล์ แอพพลิเคชั่นการตกแต่งภาพ เป็นต้น ปัจจุบันมีการให้บริการแอพพลิเคชั่นเฉพาะทางบนโทรศัพท์เคลื่อนที่อย่างหลากหลาย โดยผู้ใช้สมาร์ทโฟน สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นได้ทั้งทาง แอปสโตร์ของและ กูเกิ้ลเพลย์สโตร์
- บุคลากรคอมพิวเตอร์
ในปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่าประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างเต็มรูปแบบ เรารับเอาระบบและอุปกรณ์ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีด้านอิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้กันอย่างมากมาย มีระบบสื่อสารด้วยดาวเทียม ทำให้สามารถรับรู้และเห็นภาพการ รายงานข่าวสดในโทรทัศน์จากเหตุการณ์จริงทั่วทุกมุมโลก มีระบบการฝากถอนเงินจากธนาคารผ่านเครื่อง เอทีเอ็มที่ต่อกันเป็นเครือข่ายกระจายไปเกือบทั่วประเทศ สามารถติดต่อสื่อสารระยะไกลด้วยโทรศัพท์มือถือ มีระบบการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่สามารถ จัดการให้แล้วเสร็จอย่างรวดเร็วด้วยระบบคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้เรายังมีการนำเอาคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยใน งานออกแบบ งานอุตสาหกรรม งานธุรกิจและงานการเรียนการสอน
อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในสิบปีที่ผ่านมา ขนาดของคอมพิวเตอร์ เล็กลงเรื่อย ๆ ในขณะที่ขีดความสามารถกลับเพิ่มสูงขึ้น เรานำคอมพิวเตอร์ไปใช้ในงานต่าง ๆ มากมายใน สำนักงาน บริษัทห้างร้านเมื่อมีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้งานกันอย่างมาก ความจำเป็นที่ต้องอาศัยบุคลากรที่มี ความรู้หรือมีประสบการณ์ด้านคอมพิวเตอร์ก็มีไม่มากตามไปด้วย
หากจะมีการพิจารณาลักษณะงานของบุคลากรค้านคอมพิวเตอร์อย่างจริงจังทั้งระบบ สามารถ แบ่งอาชีพของบุคลากรในวงการคอมพิวเตอร์ได้เป็นสามกลุ่มคือ กลุ่มผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ กลุ่มผู้ผลิตซอฟต์แวร์ และกลุ่มผู้ให้การสนับสมุนและบริการ
- กลุ่มบุคลากรทางด้านผู้ผลิตฮาร์ดแวร์
เมื่อมีความต้องการนำคอมพิวเตอร์ไปใช้งานมากขึ้น บริษัทผู้ผลิตฮาร์ดแวร์จึงทำการผลิต เครื่องและอุปกรณ์ประกอบมากขึ้นด้วย โดยมีการวิจัยและพัฒนาให้เกิดเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ที่มี ประสิทธิภาพมากขึ้น มีการทำให้คอมพิวเตอร์หลายเครื่องเชื่อมต่อเป็นเครือข่าย บริษัทผู้ผลิตฮาร์ดแวร์จำต้อง อาศัยบุคลากรที่มีความรู้และประสบการณ์สูงในทุกขึ้นตอนของการผลิต นับจากการเริ่มต้นออกแบบจนถึงขั้นการประกอบการ จำหน่าย จนถึงขึ้นการให้บริการด้านการขาย
นักออกแบบคอมพิวเตอร์จะศึกษาและวางแนวทางการผลิตคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ประกอบ โดยคำนึงถึงลักษณะและประสิทธิภาพของการใช้งานเป็นสำคัญ โดยให้เหมาะสมกับสภาพของผู้ใช้มากที่สุด วิศวกรคอมพิวเตอร์จะทำหน้าที่แปลงแนวการออกแบบเป็นข้อกำหนดของเครื่อง วิศวกรจะออกแบบแผงวงจร การใช้ชิป การใช้หน่วยความจำ และการทำงานร่วมกันกับอุปกรณ์ประกอบต่าง ๆ ช่างเทคนิคคอมพิวเตอร์จะ ทำหน้าที่นำชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ มาประกอบกันเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ ตามข้อกำหนดของวิศวกร และทำการตรวจสอบการทำงานว่าถูกต้องหรือไม่
นอกจากผู้ผลิตฮาร์ดแวร์จะต้องอาศัยบุคลกรทางด้านเทคนิคแล้ว ยังจำต้องอาศัยบุคลากรด้าน สนับสนุนอีกเพื่อดูแลในด้านการขาย การบริการ การทำเอกสาร และการตลาด บุคลากรเหล่านี้ ได้แก่ ตัวแทน จำหน่ายที่ติดต่อขายผลิตภัณฑ์ซึ่งจำเป็นต้องรู้ข้อมูลเครื่องคอมพิวเตอร์ของคู่แข่งขัน ตลอดจนความต้องการของตลาดเป็น อย่างดี วิศวกร และช่างเทคนิคระบบ ทำหน้าที่บริการติดตั้งดูแลซ่อมแซมเครื่องให้กับลูกค้าเพื่อให้อยู่ในสภาพ ที่ใช้งานได้ดี นักเขียนข้อมูลทางเทคนิค ทำหน้าที่ผลิตเอกสารประกอบเครื่อง นักอบรมทำหน้าที่สอนและ อบรมความรู้เกี่ยวกับการใช้และบำรุงรักษาเครื่องให้กับลูกค้า ขณะเดียวกันอาจช่วยในการอบรมตัวแทน จำหน่ายและช่างเทคนิคของบริษัทผู้ผลิตเองด้วย และสุดท้ายนักการตลาดจะทำหน้าที่ช่วยวิเคราะห์ และ วางแผนการตลาดของการจำหน่ายเครื่อง
เนื่องจากเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ของประเทศไทย ยังตามหลังประเทศอื่น ๆ ที่เจริญทางด้านเศรษฐกิจ โดยในประเทศไทยนั้นยังไม่ค่อยมีบริษัทออกแบบและผลิตฮาร์ดแวร์เอง ส่วนใหญ่จะเป็นการนำเข้าจาก ต่างประเทศมีส่วนน้อยที่นำชิ้นส่วนเข้ามาเพื่อประกอบภายในประเทศดังนั้นบุคลากรในส่วนฮาร์ดแวร์ของบ้านเราส่วนใหญ่จึงเป็นกลุ่มคนด้านสนับสนุนการขายเครื่อง ทำหน้าที่เป็นพนักงานขายและช่างเทคนิคเพื่อติดตั้ง ซ่อมแซมและบำรุงรักษาเครื่อง ในการศึกษาเพื่อที่จะเป็นบุคลากรทางด้านฮาร์ดแวร์ จำเป็นต้องศึกษาเล่าเรียนในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวงจรอิเล็กทรอนิกส์และไฟฟ้า มีความรู้ความสามารถในด้านวิทยาศาสตร์และ คณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ในเรื่องโครงสร้างทางฮาร์ดแวร์
การศึกษาทางด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ที่มีเปิดสอนในมหาวิทยาลัยนั้น มีการเรียนการสอน และปฏิบัติในเรื่องอิเล็กทรอนิกส์ ศึกษาออกแบบการคำนวณวงจรอิเล็กทรอนิกส์ วงจรคอมพิวเตอร์ การเขียนโปรแกรมระบบ การเขียนโปรแกรมแปลภาษาคอมพิวเตอร์ การวางเครือข่าย การคำนวณที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ และการทำให้คอมพิวเตอร์มีความสามารถเฉพาะในการใช้งานด้านต่าง ๆ
การเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์จำเป็นต้องศึกษาทางด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ศึกษาการ ออกแบบวงจรคอมพิวเตอร์ ซึ่งนับว่าจะมีความสลับซับช้อนมากยิ่งขึ้น ซึ่งต้องศึกษาในระบบสูงต่อไป สำหรับช่างเทคนิคก็ต้องมีพื้นฐานความรู้ทางด้านวงจรไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ การใช้เครื่องมือวัดและตรวจซ่อมต่าง ๆ การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีสารสนเทศยังรวมระบบการสื่อสารโทรคมนาคมเข้ามาด้วย ซึ่งก็รวมถึง การออกแบบวางระบบเครือข่ายสื่อสารโทรคมนาคมต่าง ๆ ซึ่งต้องการพื้นฐานทางด้านอุตสาหกรรมไฟฟ้าและการสื่อสาร ส่งผลให้บุคคลาการทางด้านนี้ยังมีความสำคัญและเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานเป็นอย่างมาก เพราะประเทศไทยกำลังขยายการลงทุนด้านการสื่อสารโทรคมนาคม เพื่อรองรับการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตขึ้นทุกวัน
- กลุ่มบุคลากรทางด้านผู้ผลิตซอฟต์แวร์
บุคลากรทางด้านผู้ผลิตซอฟต์แวร์ได้แก่ผู้ทำหน้าที่วิเคราะห์ระบบ ผู้เขียนโปรแกรม และผู้ที่สนับสนุนคล้ายคลึงกับบุคลากรทางด้านผู้ผลิตซอฟต์แวร์ นักวิเคราะห์ระบบจะศึกษาวางแผนและแยกแยะงาน ประมวลผลเป็นส่วน ๆ โดยให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้ เพื่อมอบให้นักเขียนโปรแกรมไปทำการออกแบบ เขียนโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ และตรวจสอบการทำงานของโปรแกรมให้ถูกต้องตามที่ต้องการ โปรแกรมที่เขียนนี้อาจเป็นโปรแกรมประยุกต์ใหม่ หรือเป็นการดูแลเพิ่มเติมแก้ไขซอฟต์แวร์ที่พัฒนามาก่อน แล้วส่วนนักโปรแกรมระบบจะทำหน้าที่ช่วยดูแลการทำงานของระบบฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ให้เป็นไปอย่าง ถูกต้อง
บริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์จะต้องมีบุคลากรอีกกลุ่มหนึ่ง คือ กลุ่มสนับสนุน ซึ่งอาจประกอบด้วย ผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์ นักเขียนข้อมูลทางเทคนิคเพื่อทำหน้าที่เขียนคู่มือการใช้ซอฟต์แวร์ ผู้ให้การฝึกอบรม แนะนำการใช้ซอฟต์แวร์ ขณะเดียวกันจะคอยให้คำปรึกษาในเรื่องของซอฟต์แวร์ที่ผลิต และนักวิเคราะห์ตลาด เพื่อทำหน้าที่วางแผนการขายต่อไป
ในระดับการผลิตซอฟต์แวร์ทั่วไปจะมีการวิเคราะห์ระบบเพื่อศึกษาความต้องการของผู้ใช้ การวิเคราะห์ความต้องการนี้จำเป็นที่ผู้วิเคราะห์จะต้องรู้และเข้าใจระบบงานที่จะไปประยุกต์ด้วย เช่น ถ้าต้องการประยุกต์ซอฟต์แวร์เข้ากับงานทางด้านบัญชีของบริษัท ก็จำเป็นจะต้องเข้าใจระบบบัญชีของบริษัทด้วย ดังนั้นนักวิเคราะห์ระบบจึงจำเป็นต้องเป็นผู้ที่รู้ทั้งสองด้าน คือ ด้านคอมพิวเตอร์และตัวระบบงานด้วย การให้การศึกษาเพื่อเตรียมบุคลากรทางด้านนี้นอกจากจะต้องเปิดสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์แล้วยังจะต้องให้ความรู้ในสาขาต่าง ๆ ด้วย เช่น สาขาบัญชี บริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์
เมื่อวิเคราะห์ระบบแล้วขั้นตอนต่อมาคือออกแบบระบบ ซึ่งนักออกแบบระบบจะต้องมีความรู้ในเรื่องการจัดวางโครงสร้างฐานข้อมูลรู้ระบบการไหลเวียนและการส่งต่อข้อมูล เมื่อออกแบบระบบแล้ว ผู้เขียนโปรแกรมจะรับไปทำการเขียนโปรแกรม เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามระบบที่ออกแบบ นอกจากนี้ยังมีการทดสอบโปรแกรม การดูแลบำรุงรักษา ตลอดจนการแก้ไขโปรแกรมให้มีขีดความสามารถสูงขึ้น
งานพัฒนาระบบซอฟต์แวร์จำเป็นต้องเรียนรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ (Computer science) และการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ (Computer application) ซึ่งสาขาเหล่านี้มีเปิดสอนในมหาวิทยาลัย เกือบทุกแห่งในประเทศไทย การศึกษาทางด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์จำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานทางด้าน คณิตศาสตร์และการคำนวณที่ดี วิชาที่ศึกษาส่วนใหญ่เป็นเรื่องศาสตร์ของการคิดคำนวณ การคำนวณทางคอมพิวเตอร์ที่ต้องมีขั้นตอนและกระบวนการโดยเฉพาะ เพื่อจะทำให้เกิดการคำนวณได้ดีและรวดเร็ว การวางโครงสร้างข้อมูล การเขียนโปรแกรมประยุกต์ การทำให้คอมพิวเตอร์มีความรอบรู้และมีความสามารถพิเศษที่ เรียกว่าปัญญาประดิษฐ์ การให้คอมพิวเตอร์เขียนภาพหรือคอมพิวเตอร์กราฟิก การใช้คอมพิวเตอร์ในระบบงานสื่อสารข้อมูล และการวิเคราะห์โครงข่ายคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังต้องการเรียนรู้เทคนิควิธีการต่าง ๆ ในการออกแบบซอฟต์แวร์ รวมถึงการบริหารโครงการซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ ซึ่งนับวันจะมีบทบาทและความสำคัญมากขึ้น
- กลุ่มบุคลากรสนับสนุนและบริการ
บุคลากรด้านคอมพิวเตอร์อีกกลุ่มหนึ่งที่นับเป็นกลุ่มใหญ่ที่สูด คือ กลุ่มที่ให้การสนับสนุนและบริการ ได้แก่ผู้ที่ทำงานในแผนกประมวลผลข้อมูลของหน่วยงานต่าง ๆ ผู้ที่ทำงานในบริษัทที่ให้บริการ ซ่อมบำรุงรักษา และผู้ทำงานในบริษัทที่ปรึกษาจะช่วยวางระบบและสร้างโปรแกรมให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ตำแหน่งของงานที่มักจะปรากฏในประกาศรับสมัครงาน เช่น ผู้จัดการแผนกประมวลผลข้อมูล นักวิเคราะห์ระบบ นักโปรแกรมระบบ นักโปรแกรมประยุกต์ด้านธุรกิจ นักโปรแกรมประยุกต์วิทยาศาสตร์ นักออกแบบ และบริหารฐานข้อมูล วิศวกรระบบ วิศวกรด้านเพื่อสารข้อมูล และช่างเทคนิค เป็นต้น
ความต้องการบุคลากรที่ให้การสนับสนุนและบริการยังมีอีกมาก เพราะการกระจายของ คอมพิวเตอร์และระบบประมวลผลมีแนวโน้มที่จะเข้าไปในกิจการทุกประเภท และจะมีบทบาทสำคัญมากขึ้น เช่น ในห้างสรรพสินค้าก็ต้องใช้เทคโนโลยีทางด้านสารสนเทศเข้ามามีบทบาท ผู้ที่ทำงานด้านสนับสนุนและให้บริการจำเป็นต้องมีบุคลิกและมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี เพราะเกี่ยวข้องหรือต้องติดต่อกับบุคคลจำนวนมาก การติดต่อประสานงานจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้งานต่าง ๆ ดำเนินไปด้วยดี บุคลากรทางด้านนี้ ควรเป็นบุคลากรที่ศึกษาหรือมีพื้นฐานความทางด้านคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจจะจบการศึกษามาจากทางด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ หรือการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ก็ได้
- บทสรุป
ระบบคอมพิวเตอร์มีองค์ประกอบหลักอยู่ 3 อย่างที่มีความสำคัญเท่าเทียมกันและต้องทำงาน ประสานกัน จึงจะทำให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้ ซึ่งพอสรุปถึงองค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ที่สำคัญได้ดังนี้
- องค์ประกอบทางด้านฮาร์ดแวร์ เป็นองค์ประกอบของตัวเครื่อง ที่สามารจับต้องได้ เช่น จอภาพ เครื่องพิมพ์ เทป แป้นพิมพ์ ดิสค์ หรือแม้แต่วงจรไฟฟ้าในตัวเครื่อง เป็นต้น
- องค์ประกอบทางด้านซอฟต์แวร์ เป็นกลุ่มของคำสั่งซึ่งเรียกว่า โปรแกรมที่ถ่ายทอดแนวความคิด ของผู้เขียนโปรแกรม เพื่อสั่งงงานให้คอมพิวเตอร์ทำงาน
- องค์ประกอบทางด้านบุคลากร เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์และการใช้ งานระบบคอมพิวเตอร์
- แบบฝึกหัดท้ายบท
- องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ มีกี่องค์ประกอบ อะไรบ้าง
- องค์ประกอบทางด้าน Hardware มีกี่ส่วน แต่ละส่วนทำหน้าที่อะไรบ้าง พร้อมอธิบายพอสังเขป
- องค์ประกอบทางด้าน Software มีอะไรบ้าง พร้อมอธิบายพอสังเขป
- จงอธิบายหน้าที่หลักของซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการมาพอสังเขป
- จงบอกกลุ่มต่างๆ ขององค์ประกอบทางด้านบุคลากร พร้อมอธิบายพอสังเขป
- จงอธิบายลักษณะของอุปกรณ์ต่อไปนี้พอสังเขป Key Board, Mouse, Scanner, Monitor, Printer, Tape, CD-ROM, RAM, ROM, Hard Disk
เอกสารอ้างอิง
ครรชิต มาลัยวงศ์. 2540. ทัศนะไอที. กรุงเทพมหานคร ชีเอ็ดยูเคชั่น.
หน้า 63-73.
พัลลภ พิริยะสุรวงศ์. 2544. ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศ. [Online]. Available: http://www.uni.net.th (19 มกราคม 2559).
Curtin, Dennis p. 1998. Information Technology The breaking wave, McGraw-Hill International Editions, 300 Pages.
Curtin, Dennis p. &, Foley, Kim and Others. 1998. Information Technology The Breaking wave, McGraw-Hill International, 300 Pages.
Gray B. Shelly,Thomas J. Cashman and Others. 2000. Discovering Computers 2000 Course Technology, 1.1 – 14.52 Pages.
KS-Barcode. Receipt Printer – เครื่องพิมพ์ใบเสร็จ. [Online]. แหล่งที่มา http://ks-barcode.com/receipt-printer (20 มกราคม 2559).
Techmoblog. 2012. Solid State Drive. [Online]. แหล่งที่มา: http://www.techmoblog.com/solid-state-drive-SSD (20 ธันวาคม 2559).
Williams, Brain K. Sawyer,Stacey C and Hutchinson, Sarah E. 1995. Using Information Technology, @RICHARD D. IRWIN, INC., 648 Pages.
Wikipedia . 2017. Digital Visual Interface. [Online]. แหล่งที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/ Digital_Visual_Interface (20/1/2017).
Wikipedia . 2017. HDMI. [Online]. แหล่งที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/HDMI (20/1/2017).
Wikipedia . 2017. USB. [Online]. แหล่งที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/USB (20/1/2017).
Wikipedia . 2017. Video Graphics Array. [Online]. แหล่งที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/ Video_Graphics_Array (20/1/2017).
อแ