https://so02.tci-thaijo.org/index.php/soc-rmu/article/download/251182/170345/929633
บทที่ 1
ที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลายส่วนใหญ่ ล้วนเป็นประเทศที่มีความสามารถ มีศักยภาพ เจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแทบทั้งสิ้น เป็นผู้ผลิตคิดค้นเทคโนโลยีขึ้นใช้เพื่อตอบสนองความ ต้องการภายในประเทศและจัดจาหน่ายถ่ายทอดไปยังต่างประเทศซึ่งทารายได้นาเงินตราเข้าประเทศอย่าง มากมายเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่ต้องอาศัยการนาเข้าหรือบริโภคเทคโนโลยีหรือประเทศที่กาลังอยู่ในช่วง ของการพัฒนา ทั้งนี้เทคโนโลยีนับว่าเป็นปัจจัยสาคัญมีบทบาทอย่างยิ่งในการพัฒนาประเทศในภาพรวม ทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นต้นถือได้ว่าเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ ในการขจัดความยากจนยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้สูงขึ้นได้เป็นอย่างดี ประเทศไทยได้พัฒนา ประเทศมาอย่างต่อเนื่องและยังมีความต้องการความเจริญก้าวหน้าให้เป็นไปอย่างรวดเร็วเพื่อความเท่าเทียม อารยะประเทศหรือประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลาย ซึ่งประเทศได้ให้ความสาคัญการใช้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี เป็นปัจจัยหลักของการพัฒนา โดยเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2522 รัฐบาลได้ตั้งกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและพลังงานเพื่อเป็นกลไกบริหารการพัฒนาประเทศและได้บรรจุแผนพัฒนาวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตั้งแต่ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2525- 2529) ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อให้เกิดความเข้าใจในเนื้อหาทางด้านเทคโนโลยี กับการพัฒนาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ผู้ศึกษาควรทาความเข้าใจเกี่ยวกับ ความหมาย ความสาคัญ องค์ประกอบ ประเภท ระดับ วิวัฒนาการและความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม วิศวกรรมศาสตร์ และการนาเทคโนโลยีไปใช้เพื่อการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืนดังนี้
ความหมาย เทคโนโลยี การพัฒนา วิทยาศาสตร์ นวัตกรรม และวิศวกรรมศาสตร์
เทคโนโลยี (Technology) มาจากภาษากรีกว่า Technologia แปลว่า การกระทาอย่างมีระบบ หมายความว่า การนาเอาความรู้ แนวความคิด ประสบการณ์ วิธีการที่เป็นระบบระเบียบ รวมทั้งผลิตผลด้าน วิทยาศาสตร์ และ ผลิตผลด้านวิศวกรรม พจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (2546 : 538) ได้อธิบายไว้ว่า เทคโนโลยี หมายถึงวิทยาการที่เกี่ยวกับศิลปะในการนาเอาวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ให้เกิด ประโยชน์ในทางปฏิบัติและอุตสาหกรรมหรือหมายถึงการประยุกต์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาใช้เพื่อแก้ปัญหา ตา่ ง ๆและก่อให้เกิดวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร แม้กระทั่งองค์ความรู้นามธรรมใหม่ๆ เพื่อให้การดารง ชีวิตของมนุษย์ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น
-2-
การพัฒนา (Development) พจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (2546 : 779) ได้ อธิบายไว้ว่าการทาให้เจริญขึ้นหรือ หมายถึงการเปลี่ยนแปลงเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นถ้าเปลี่ยนแปลงไป ในทางที่ไม่ดีก็ไม่เรียกว่ากาพัฒนา ขณะเดียวกันการพัฒนามิได้หมายถึงการเพิ่มขึ้นของสิ่งอานวยความสะดวก หรือรายได้ของประชาชนเท่านั้น แต่หมายความรวมไปถึงการเพิ่มความพึงพอใจและเพิ่มความสุขของ ประชาชนด้วย
วิทยาศาสตร์ (Science) พจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (2546 : 1075) ได้ อธิบายไว้ว่า ความรู้ที่ได้โดยการสังเกตและค้นคว้าจากปรากฏการณ์ธรรมชาติแล้วจัดบันทึกเข้าอย่างเป็น ระเบียบ หรือ วิชาที่สืบค้นหาความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติโดยใช้กระบวนการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ วิธีการทางวิทยาศาสตร์และเจตคติทาวิทยาศาสตร์ โดยอาศัยการสังเกต การทดลอง รวบรวมข้อมูล แปล ความหมายข้อมูลและสรุปผลข้อมูล ซึ่งนักการศึกษาวิทยาศาสตร์มองส่วนประกอบที่มีอยู่ในวิทยาศาสตร์ ว่า ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ ดังนี้ องค์ประกอบด้านความรู้องค์ประกอบด้านกระบวนการและองค์ประกอบ ด้านเจตคติ
นวัตกรรม (Innovation) พจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (2546 : 565) ได้ อธิบายไว้ว่านวัตกรรม เป็นสิ่งที่ทาขึ้นใหม่หรือแปลกจากเดิมซึ่งอาจจะเป็นความคิด วิธีการ หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น หรือ หมายถึง การนาสิ่งใหม่ ๆ อาจเป็นแนวความคิด หรือ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยมีใช้ มาก่อนหรือเป็นการพัฒนาดัดแปลงจากของเดิมที่มีอยู่แล้วให้ทันสมัยและได้ผลดีมีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลสูงกว่าเดิม ทั้งยังช่วยประหยัดเวลาและแรงงานได้ด้วย
วิศวกรรมศาสตร์(Engineering) พจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (2546 : 1081) ได้อธิบายไว้ว่า วิชาที่เกี่ยวกับการนาความรู้ทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ธรรมชาติมาประยุกต์ใช้
หรือ Encyclopedia Americana ได้ให้คาจากัดความไว้ว่า “Engineering” เป็นอาชีพที่เกี่ยวข้องโดยชัดเจน กับวิทยาศาสตร์ของการวางแผนการออกแบบการสร้าง และการใช้งานอย่างถูกหลักเศรษฐศาสตร์ของ สิ่งก่อสร้างหรือเครื่องจักร หรือการคิดประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ การ สร้าง หรือทาให้เกิดขึ้น
จะเห็นได้ว่าการให้ความหมายของคาแต่ละคาที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น จะเกี่ยวข้อกับการใช้องค์ ความรู้เพื่อการสืบค้น การค้นหา การออกแบบ การสร้าง การประดิษฐ์คิดค้น เพื่อให้ได้สิ่งที่ตอบสนอง ความต้องการของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อนาคาว่า เทคโนโลยีกับการพัฒนา มาใช้ร่วมกันก็จะได้ ความหมายว่าการนาวิทยาการศิลปะมาประยุกต์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ ใช้เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ และก่อให้เกิด วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร แม้กระทั่งองค์ความรู้นามธรรมใหม่ๆ เพื่อให้การดารงชีวิตของมนุษย์มี ความสะดวกและมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหรือเจริญยิ่งขึ้นเป็นที่พึงพอใจและเพิ่มความสุขให้กับ มนุษย์
-3-
ความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม
จากความหมายของวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ข้างต้นจะเห็นได้ว่ามีส่วน
ที่เป็นข้อแตกต่างและส่วนที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเน่ืองกัน ซึ่งสามารถอธิบายและแสดงภาพความสัมพันธ์ได้ตาม
ภาพที่1
Both apply scientific principle to research and development
knowledge and discoveries
Technology
Innovation
Science
Engineering
develop products
Applies the scientific method to explore the
nature world
Technology
wants and needs
Applies scientific principles to solve problems or
Practical applications of scientific
Practical applications of engineering designs and products
Products and processes that serve society
ภาพท่ี 1.1 แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม
ความสาคัญเทคโนโลยีและการพัฒนา
1.
ต้องการ
2. 3. 4.
ต้องการ
5. 6. 7. 8. 9.
-4-
จากความหมายของ เทคโนโลยีและการพัฒนา ดังกล่าวทาให้เขาใจได้ว่าเป็นสิ่งที่มีความจาเป็นและมี
ความสาคญั อย่างยิ่งต่อการดารงชีวิต เพราะเทคโนโลยีได้เข้ามาเสริมปัจจัยพื้นฐานการดารงชีวิตอย่าง
มากมาย เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ ดังน้ันการกล่าวถึงความสาคัญของเทคโนโลยีสามารถบอก
เป็นด้านๆได้ดังนี้
เทคโนโลยีช่วยสร้างที่พักอาศัย ทาให้มีความสะดวกสบายน่าอยู่ ได้สิ่งปลูกสร้างเป็นไปตามความ
เทคโนโลยีช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิต
เทคโนโลยีช่วยพัฒนาสังคม
เทคโนโลยีช่วย รักษาคุณค่าทางโภชนาการด้านอาหาร แปรรูปอาหาร ผลิตอาหารได้ตามความ
เทคโนโลยีทาให้ระบบการผลิตสามารถผลิตสินค้าได้เป็นจานวนมาก มีราคาถูกลง สินค้าได้คุณภาพ
เทคโนโลยีทาให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้สะดวก รวดเร็วตลอดเวลา
เทคโนโลยีทาไห้การศึกษามีสื่อ อุปกรณ์ รูปแบบ วิธีการ และช่องทางการเรียนรู้อย่างหลากหลาย
เทคโนโลยีช่วยเผยแผ่สร้างเสริมและดารงไว้ด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม และ
เทคโนโลยีช่วยอานวยความสะดวกในการประกอบอาชีพและทาธุรกิจ เป็นต้น
อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ในทุกๆด้านที่ได้กล่าวมานั้นมีทั้งคุณประโยชน์และผลกระทบต่อการ
ดารงชีวิต จากเทคโนโลยีทั้งสิ้น ดังนั้นการให้ความสาคัญในการเรียนรู้ในแต่ละด้านเป็นสิ่งที่มีความจาเป็นอย่าง
ยิ่ง ในที่นี้จะอธิบายในหน่วยเนื้อหาบทต่อๆไป
ลักษณะประกอบของเทคโนโลยี
การอธิบายลักษณะประกอบของเทคโนโลยีหากพิจารณาวิเคราะห์จากความหมายสามารถอธิบาย ลักษณะประกอบของเทคโนโลยีได้ 3 ลักษณะดังนี้
1. เทคโนโลยีในลักษณะเครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์ต่างๆ เป็นเทคโนโลยีเพื่ออานวยความสะดวกใน การประกอบการงานอาชีพหรือการดาเนินชีวิตมนุษย์เช่น เครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์ทางด้านการเกษตร ด้านอุตสาหกรรม ด้านการสื่อสาร ด้านการศึกษา ด้านการแพทย์ เป็นต้น
-5-
เป็นระบบ เพื่อนาไปสู่ผลในทางปฏิบัติโดยเชื่อว่าเป็นกระบวนการที่น่าเชื่อถือและนาไปสู่การแก้ปัญหาต่างๆได้ เช่นวิธีการและกระบวนการถนอมอาหา การแปรรูปอาหาร การทายาสมุนไพร กระบวนการในการจัดการ เรียนรู้ ที่มีคุณภาพหรือกระบวนการบริหารจัดการเป็นต้น
3. เทคโนโลยีในลักษณะโปรแกรมต่างๆ เป็นเทคโนโลยีที่ต้องใช้ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งมีการทางานเป็น ปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ (Hardware) กับโปรแกรม (software)
2. เทคโนโลยีในลักษณะที่เป็นนามธรรม วิธีการและกระบวนการ เป็นความรู้ต่างๆที่ได้รวบรวมไว้อย่าง
วิวัฒนาการและความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับมนุษย์
วิวัฒนาเทคโนโลยี (Evolution of Technology) เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาเมื่อเวลา ผ่านไป ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับกระบวนการทางวิวัฒนาการ (Evolution) ของระบบหรือเครื่องมือ นั้น ๆ ดังนั้นคาว่า วิวัฒนาการของเทคโนโลยี (Evolution of Technology ) จึงหมายถึง ความเปลี่ยนแปลงที่ เกิดขึ้นในระบบหรือเครื่องมือที่เกิดขึ้นอย่างซับซ้อนและมีการเปลี่ยนแปลงตามลาดับอย่างต่อเนื่องอันมีสาเหตุ มาจากปัจจัยตางๆ วิวัฒนาการสามารถแบ่งได้เป็น 5 ยุค ดังนี้
1. ยุคหิน (Stone Age) เป็นยุคแรกของมนุษย์ที่มีการใช้เครื่องมือซึ่งทามาจากหินทั้งสิ้น เช่นอาวุธที่ใช้ ในการต่อสู้หรือเครื่องใช้ภายในครัวเรือนชนิดต่างๆ เครื่องมือต่างๆ เหล่านี้ทามาจากหินก่อนที่จะมีการใช้โลหะ ในเวลาต่อมา ระยะเวลาของยุคหินในแต่ละทวีปบนพื้นโลกมีความแตกต่างกันดังได้กล่าวมาแล้วและระยะเวลา การเกิดของยุคหินในแต่ละที่ก็มีอิทธิพลโดยตรงต่อมนุษย์ด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงได้แบ่งยุคหินออกเป็น 3 ระยะ
ระยะพาลีโอลิค (Paleolitthic) หรือ Old Stone Age เป็นช่วงที่มีความยาวนานมากที่สุดของยุคหิน โดยได้เริ่มข้ึนเมื่อประมาณ 2 ล้านปีที่ผ่านมาแล้วและสิ้นสุดเมื่อยุคน้าแข็งได้สิ้นสุดลงเมื่อประมาณ 13,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช มนุษย์ยุคนี้ได้นาหินมาทาเป็นอาวุธและได้พบหลักฐานว่ามนุษย์ถ้า โครมันยอง (Cro- Magnon) ในทวีปยุโรปได้วาดภาพซึ่งแสดงถึงวัฒนธรรมความเป็นอยู่ต่างๆ ในช่วงปลายของระยะนี้
ภาพที่ 1.2 แสดงวัฒนธรรมความเป็นอยู่ต่างๆ ในช่วงปลายของระยะ
-6-
ระยะมีโซลิติค (Mesolithic) หรือ Middle Stone Age เป็นช่วงหลัง 13,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ระยะนี้มีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นบนพื้นโลกส่งผลให้มีความอุดมสมบูรณ์ของอาหารเพิ่มมากขึ้น จึงมีเครื่องมือ เครื่องใช้หลายชนิดที่ทาด้วยก้อนกรวด ก้อนหินที่ได้มาใช้ชีวิตประจา
ภาพที่ 1.3 แสดงเครื่องมือเครื่องใช้หลายชนิดที่ทาด้วยก้อนกรวด ก้อนหิน
ระยะนีโอลิติต (Neolithic) ระยะนี้ได้เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 8,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช มนุษย์ยุคนี้ได้นา สังคมเกษตรกรมเข้ามาใช้ในชีวิตประจาวัน เครื่องมือที่ใช้ในครัวเรือนบางชนิดได้มีการเปลี่ยนแปลงและได้มี การเริ่มใช้โลหะบางชนิดใน ได้มีการเปลี่ยนแปลงและได้มีการเริ่มใช้โลหะบางชนิดในช่วงปลายของระยะนี้
ภาพที่ 1.4 แสดงการเปลี่ยนแปลงและได้มีการเริ่มใช้โลหะบางชนิดในช่วงปลายของระยะ 2. ยุคทองสัมฤทธิ์ (Bronze Age) ได้เริ่มขึ้นเม่ือประมาณ
3,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช และสิ้นสุดเมื่อประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช เชื่อกันว่าเครื่องไม้ เครื่องมือที่ทาจากทองสาเริดได้เริ่มมีขึ้นครั้งแรกในแถบตะวันออกกลาง (Middle East) และในทวีปยุโรปโดย เริ่มที่ประเทศกรีซ ในทวีปเอเชียยุคทองสาริดได้เริ่มขึ้นทีประเทศจีนเมื่อประมาณ 1,800 ปีก่อนคริสต์ศักราช ส่วนในทวีปอเมริกายุคทองสาริดได้เริ่มขึ้นเมื่อ 1,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราชในประเทศไทย ได้มีการค้นพบ เครื่องมือบ่างชนิดที่ทาด้วยทองสาริด เช่นใบหอก ขวาน กาไล และเบ็ดตกปลา เป็นต้น ที่ตาบลบ้านเชียง อาเภอหนองหาน จังหวัดอุบลราชธานี และที่ตาบลแวง อาเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนครและจากการ ค้นพบวัตถุโบราณชนิดนี้ทาให้เชื่อว่ายุคทองสาริดเกิดขึ้นมานานแล้วประมาณ 4,500 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ยุคทองสาริดในตะวันออกกลางและแถบเมดิเตอร์เรเนียนแบ่งออกเป็น 3 ระยะดังนี้.
-7-
ระยะต้น (Eaarly Bronze age) โลหะถูกนามาใช้เป็นเครื่องมือในชีวิตประจาวันมากขึ้นซึ่งเป็นยุคของ ชูบาเรียน ซิวิไลเซซัน (Sumaian Civilzation)
ภาพที่ 1.5 แสดงโลหะถูกนามาใช้เป็นเครื่องมือในชีวิตประจาวัน ยุคของชูบาเรียน ซิวิไลเซซัน (Sumaian Civilzation)
ระยะกลาง (Middle Brone age) เป็นยุคของบาบิโลน (Babylon) ชาวบาบิโลนนอกจากรู้จักใช้โลหะ แล้วยังเป็นผู้ให้กาเนิดวิธีการทานายชะตาชีวิตมนุษย์โดยดูจากอิทธิพลของดวงดาวหรือโหราศาสตร์ โดยมี หลักฐานหินปักเขตรูปเทพเจ้าต่างๆ ที่ค้นพบ
ระยะสุดท้าย (Late Bronze age) เป็นยุคของไมโนแอน ครีท (Minoan Crete) และ ไมซีนาเอน ครีซ (Mycenaean Creece)
3. ยุคเหล็ก (Iron Age) เป็นยุคที่มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีมากขึ้นเรื่อยๆ มีการนาเอา เหล็กเข้ามาใช้เป็นเครื่องมือ วัสดุ อุปกรณ์และอาวุธยุทโธปกรณ์แทนทองสัมฤทธิ์ซึ่งมีการใช้แพร่หลายกันในยุค ทองสัมฤทธิ์ ยุคนี้ได้นาเหล็กมาใช้มากขึ้นเมื่อมีการนาเตาเผาซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการหลอมโลหะบางชนิด จนทาให้เหล็กกลายเป็นวัสดุที่สาคัญที่ใช้ในการผลิตวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องใช้ต่าง ๆ ของมนุษย์
ภาพที่ 1.6 แสดงยุคเหล็ก (Iron Age) ที่มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีมากขึ้นเรื่อยๆ
-8-
4.ยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม
ในยุคนี้เทคโนโลยีเจริญรุดหน้ามาก คือ เทคโนโลยีด้านพลังงาน (Energy Technology) มีการสร้าง กังหันลมและใช้พลังงานไอน้าสาหรับการทางานของเครื่องจักรกล และการค้นพบความรู้เรื่องไฟฟ้าเป็นผลให้ คิดค้นสร้างเครื่องกาเนิดไฟฟ้า ความรู้การถลุงแร่ทาให้เกิดโลหะวิทยาและเกิดเทคโนโลยีต่างๆ มากขึ้น นอกจากนี้มีการสร้างโรงงานทอผ้าที่ใช้ความรู้ทางเคมีกับเรื่องสิ่งทอ ในตอนปลายของยุค วิศวกรโรงงานต่างๆ พัฒนาสิ่งก่อสร้างต่างๆ เช่น สะพาน เขื่อน ท่อ การสื่อสารและคมนาคม เช่น ก่อสร้างถนน ขุดคลอง กิจการ รถไฟ การสื่อสาร ระบบการพิมพ์ การถ่ายภาพ โทรเลข โทรศัพท์ เทคโนโลยีในยุคนี้ก้าวหน้ารวดเร็วมาก ส่วน ใหญ่เป็นเทคโนโลยีตามความต้องการของสังคมอุตสาหกรรมขณะนั้น
ภาพที่ 1.7 แสดงยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม
5. ยุคศตวรรษที่ 20 (The 20th Century) ยุคนี้ถือเป็นการเจริญเติบโตอย่างมากหรือยุคทอง ทางด้านเทคโนโลยีอย่างมากกระบวนการผลิตทางเทคโนโลยีได้เพิ่มมากขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 20 กระบวนการ ต่างๆ ที่นาไปสู่การเจริญเติบโตแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน
1. ความเข้าใจพื้นฐาน (Basic information)
2. การให้ความรู้ด้านเทคนิค (Technical education)
3. การประเมินผลด้านเทคโนโลยี (Assessment of technology) 4. อนาคตของเทคโนโลยี (Outlook)
-9-
ภาพที่ 1.8 แสดงยุคศตวรรษที่ 20 (The 20th Century)
ยุคนี้เริ่มจากการบิน การส่งจรวด ความรู้ทางอิเล็กทรอนิกส์และระเบิดปรมาณู การประดิษฐ์คิดค้นวัสดุ ใหม่ ๆ ซึงมีทั้งสร้างสรรค์และทาลายสังคม การพัฒนาวิทยาการการบินและเทคโนโลยีทางอวกาศก้าวหน้ามาก เกิดความรู้ทางวิทยาศาสตร์หลายแขนง ทาให้มีการคิดค้นสร้างเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างไม่มีขีดจากัด
ระดับของเทคโนโลยี (Level of Technology)
จากการสังเกตและวิเคราะห์ เทคโนโลยีที่มีอยู่มากมายในปัจจุบันนั้นสามารถที่จะแบ่งระดับของ เทคโนโลยีได้ 3 ระดับดังนี้
1.เทคโนโลยีระดับพื้นฐาน (Basic Technology) ส่วนมากเป็นเทคโนโลยีที่มีอยู่ตั้งแต่ยุคโบราณซึ่งแต่ ละประเทศจะมีลักษณะที่แตกต่างกันเป็นไปตามวิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรมของแต่ละประเทศและแต่ละ ท้องถิ่นของประเทศนั้นๆ ที่จะคิดค้นสร้างสรรค์เทคโนโลยีขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาและอานวยความสะดวกในการ ดาเนินชีวิตเช่น ครกตาข้าว ยาสมุนไพร เรือพาย กระต่ายขูดมะพร้าว เป็นต้น
ภาพที่ 1.9 แสดงเทคโนโลยีระดับพื้นฐาน (Basic Technology)
-10-
2. เทคโนโลยีระดับกลาง (Intermediate Technology) เกิดจากการปรับปรุงพัฒนาเทคโนโลยี ระดับต่าเพื่อให้ได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีมากขึ้น เช่นเครื่องพ่นสารเคมี รถเกี่ยวข้าว เครื่องขูดมะพร้าว กล้อง ถ่ายรูป เครื่องตัดหญ้าเป็นต้น
ภาพที่ 1.10 แสดงเทคโนโลยีระดับกลาง (Intermediate Technology)
3.ระดับสูง (High Technology) เป็นเทคโนโลยีที่จะต้องอาศัยองค์ความรู้ระดับสูงและประสบการณ์ อันยาวนานมีความสลับซ้อน เพราะเป็นความสามารถในการปรับปรุงแก้ไข เช่น ยารักษาโรคแผนปัจจุบัน การ ตัดต่อพันธุกรรม การโคลน เครื่องบิน รถไฟความเร็วสูง เครื่องมือสื่อสาร อาวุธทางการทหารเป็นต้น
ภาพที่ 1.11 แสดงเทคโนโลยีระดับสูง (High Technology)
-11-
การนาเทคโนโลยีไปใช้ในการพัฒนาประเทศ
ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นเทคโนโลยีเป็นปัจจัยที่สาคัญอย่างหนึ่งในการพัฒนาประเทศ การนาเทคโนโลยี ไปใช้ในการพัฒนาประเทศนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการ ความเหมาะสมและความจาเป็นในแต่ละยุคสมัย ว่า ประเทศมีกิจกรรมโครงการทางด้านใดที่ต้องการพัฒนา และพิจารณาเทคโนโลยีใดที่เหมาะสมควรแก่การ นามาใช้ ซึ่งเทคโนโลยีแต่ละด้านมีระดับที่แตกต่างกันมีต้นทุนที่ต่างกัน ดังนั้นการนาเทคโนโลยี ไปใช้ควร พิจารณาความเหมาะสมอย่างรอบคอบ ความสาเร็จในการพัฒนาและการใช้เทคโนโลยีควรคานึงและ ดาเนินการด้านต่างๆดังนี้
1. มีการให้การศึกษาเตรียมบุคลากรให้มีความสามารถทางด้านเทคโนโลยี
2. ส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในทุกๆด้าน
3. สร้างบรรยากาศในสังคมให้มีบรรยากาศทางเทคโนโลยี
4. กระตุ้นให้มีจิตสานึกและมีความตระหนักในการใช้เทคโนโลยีอย่างรู้เท่าทัน
การให้การศึกษาทางด้านเทคโนโลยีควรเริ่มต้นที่ความเข้าใจพื้นฐาน ความรู้ทางเทคนิค ความสาคัญ วิวัตนาการ องค์ประกอบ ระดับ ความเหมาะสม ตลอดจนการนาเทคโนโลยีไปใช้อย่างรู้เท่าทันและการพัฒนา ที่ยั่งยืน อย่างไรก็ตามเนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีมีหลายประเภทแต่ละประเภทมีความเจริญก้าวหน้าเป็น อย่างมาก ไม่สามารถจะรวบรวมเรียบเรียงเนื้อหาทางเทคโนโลยีมาได้ทั้งหมด ดังนั้นในที่นี้จะขอกล่าวถึง เทคโนโลยีกับการพัฒนาด้านคุณภาพชีวิต ด้านสังคม ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านศาสนาและ วัฒนธรรม ด้านการศึกษา ด้านการสื่อสาร ด้านอุตสาหกรรม ด้านธุรกิจ และการพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นต้น ซึ่ง จะได้อธิบายในแต่ละบทต่อไป
สรุป
ความเข้าใจทางด้านเทคโนโลยีและการพัฒนาเป็นหน่วยเนื้อหาที่อธิบายความหมายของเทคโนโลยีและ การพัฒนาคือการนาวิทยาการศิลปะมาประยุกต์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ ใช้เพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ และก่อให้เกิด วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร แม้กระทั่งองค์ความรู้นามธรรมใหม่ๆ เพื่อให้การดารงชีวิตของมนุษย์มี ความสะดวกและมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหรือเจริญยิ่งขึ้นเป็นที่พึงพอใจและเพิ่มความสุขให้กับ มนุษย์ ความสาคัญของเทคโนโลยีด้านต่างๆ ลักษณะของเทคโนโลยีมี 3 ลักษณะคือ เทคโนโลยีลักษณะ เครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์ ลักษณะความรู้ที่เป็นนามธรรม และลักษณะโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ วิวัตนาการทางเทคโนโลยีสามารถแบ่งได้ 5 ยุค คือยุคหิน ยุคทองสัมฤทธิ์ ยุคเหล็ก ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม และยุคศตวรรษที่ 20 การแบ่งระดับเทคโนโลยีแบ่งได้ 3ระดับ ระดับพื้นฐาน ระดับกลางและระดับสูง ตลอดจนการนาเทคโนโลยีไปใช้พัฒนาด้านต่างๆ เช่น เทคโนโลยีกับการพัฒนาด้านคุณภาพชีวิต ด้านสังคม ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านศาสนาและวัฒนธรรม ด้านการศึกษา ด้านการสื่อสาร ด้าน อุตสาหกรรม ด้านธุรกิจ และการพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นต้น
ความเข้าใจเทคโนโลยีกับการพัฒนา
1. ความเข้าใจของท่านเทคโนโลยีกับการพัฒนามีความหมายว่าอย่างไร ?
2. คาว่า วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และนวัตกรรมมีความหมายว่าอย่างไร ? อธิบาย 3. คาว่า วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และเทคโนโลยีมีความสัมพันธ์กันอย่างไร ? อธิบาย 4. วิวัตนาการของเทคโนโลยีแบ่งออกเป็นกี่ยุค มีอะไรบ้าง ?
5. การแบ่งระดับของเทคโนโลยี แบ่งได้เป็นกี่ระดับ มีอะไรบ้าง ?
6. การนาเทคโนโลยีไปใช้ในการพัฒนาประเทศควรคานึงและดาเนินการด้านไดบ้าง
7. ลักษณะของเทคโนโลยีสามารถอธิบายได้กี่ลักษณะ อะไรบ้าง ? อธิบายพร้อมยกตัวอย่าง
-12-
คาถามท้ายบท
-13-
บทที่ 2 เทคโนโลยีกับการพัฒนาคุณภาพชีวิต
โดยธรรมชาติร่างกายของคนเราต้องมีการเจริญเติบโต มีความแข็งแรง เพื่อต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และจะต้องมีชีวิตที่ยืนยาวพอสมควร ซึ่งร่างกายจะต้องได้รับสิ่งจาเป็นในการดารงชีวิต ได้แก่ อาหาร น้า อากาศ การพักผ่อนการออกกาลังกายและการไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ชีวิตเป็นสิ่งมีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินใดๆ ทุกคน ย่อมรักษาและหวงแหนชีวิตของตนเองปรารถนาให้ตนเองมีชีวิตที่ผาสุกจึงจาเป็นต้องรักษาสุขภาพอนามัยให้ แข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอสิ่งที่ประเมินค่ามิได้ของมนุษย์ก็คือ การมีสุขภาพทางกายดีปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ หรือการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุต่างๆ มีกล้ามเนื้อที่ทางานได้ดีสามารถแบกภาระงานในหน้าที่ได้อย่างมี ประสิทธิภาพร่างกายสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดีสาหรับทางด้านจิตใจนั้นก็สามารถทางานสัมพันธ์ กับด้านร่างกายได้อย่างแน่นแฟน้จะแยกออกจากกันเป็นสัดส่วนมิได้ไม่มีความวิตกกังวลไม่ถูกความเครียดมา รบกวนและเราจะต้องยอมรับถึงสภาพชีวิตที่ตนเองเป็นอยู่ได้เป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็นการเรียนการเล่น การ ทางานความรับผิดชอบต่อครอบครัวนอกจากนี้ยังเป็นผู้ที่ดารงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความผาสุข ไม่สร้างความ เดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นดังนั้น การที่บุคคลใดมีสุขภาพดีย่อมเป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีตามไปด้วย
แนวคิดคุณภาพชีวิต
จากกรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีเกี่ยวกับทฤษฎีคุณภาพชีวิตบุคคล (theoretical framework) พบว่าพัฒนา มาจากผลงานของนักปรัชญา 2 คนคือมาสโลว์ (Maslow, 1954) และชาร์มา (Sharma, 1988) อ้างใน อัจฉรา นวจินดา, 2549 .โดยมีกรอบแนวคิดการศึกษาดังนี้คือ“ชีวิต”ประกอบด้วย“ร่างกาย”และ“จิตใจ” ชีวิตจะเจริญเติบโตได้ด้วยมีปัจจัยมาหล่อเลี้ยงทั้งร่างกายและจิตใจ มาสโลว์ได้เสนอทฤษฎี Maslow’s Hierarchy Needs แสดงให้เห็นว่ามนุษย์จะมีความต้องการเป็นแรงผลักดันหรือเป็นแรงจูงใจอยู่ภายในที่จะใช้ พลังความรู้ความสามารถเพื่อนาตนเองไปสู่จุดมุ่งหมายตามความต้องการนั้นและมาสโลว์ได้ลาดับขั้นของความ ต้องการ 5 ระดับ ที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจที่ละขั้นจากระดับต่า สู่ระดับสูงให้เกิดการปฏิบัติเพื่อให้ได้รับหรือสนอง ความต้องการตามลาดับคือ
ระดับ 1 ความต้องการพื้นฐานด้านร่างกาย (Physiological Needs) เป็นความต้องการปัจจัยที่ จาเป็นต่อการอยรู่อดของชีวิตด้านร่างกายขาดไม่ได้ได้แก่ความต้องการในปัจจัยสี่คืออาหารที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่มและยารักษาโรคการได้รับการตอบสนองต่อสิ่งที่ต้องการด้านปัจจัยสี่และที่เป็นประโยชน์ต่อ ร่างกายจะทาให้เกิดสุขภาพกายดี
-14-
ระดับ 2 ความต้องการความปลอดภัยมั่นคงทั้งร่างกายและจิตใจ (Safety and Security of Physical and Mental Needs) ได้แก่การที่ร่างกายและจิตใจไม่ต้องเผชิญหรือหวั่นไหวหวาดระแวงต่อ อันตรายหรือความไม่แน่นอนที่ไม่พึงปรารถนา จากสภาพแวดล้อมหรือจากกิจกรรมการดาเนินชีวิตทาให้ สุขภาพจิตดี
ระดับ 3 ความต้องการความรักความเป็นที่ยอมรับของสังคม (Love and Belonging Needs)
ได้แก่ความต้องการที่จะได้เป็นทั้งผู้ให้และผู้รับในปัจจัยที่พึงพอใจและนามาซึ่งการมีสุขภาพจิตดี
ระดับ 4 ความต้องการความนับถือและความต้องการความสุนทรียภาพ (Esteem and Esthetic Needs) เป็นความต้องการ ที่จะได้รับการเห็นคุณค่าของตน(คือความนับถือ) หรือได้เห็นคุณค่าของสิ่งอื่น (ความงามของธรรมชาติหรือความไพเราะของบทเพลงหรือบทกวี) ทาให้สุขภาพจิตดี
ระดับ 5 ความต้องการบรรลุศักยภาพแห่งตน (Self – Actualization Needs) เป็นความต้องการ ที่จะบรรลุความสามารถของบุคคลตามที่ตนตระหนักในศักยภาพดังนั้นการที่บุคคลสมประสงค์ใน ความสามารถของตนในเรื่องต่างๆทาให้สุขภาพจิตของบุคคลดี
5 ความต้องการบรรลุศักยภาพแห่งตน
4 ความต้องการความนับถือและสุนทรียภาพ
3 ความต้องการความรักเป็นที่ยอมรับของสังคม 2 ความต้องการความปลอดภัย
1 ความต้องการพื้นฐานด้านร่างกาย
ภาพที่ 2.1 แสดงระดับขั้นความต้องการของบุคคลตาม ทษฎีของ Maslow
ความหมายคุณภาพชีวิต
จากความเป็นมาดังกล่าวนักวิชาการได้ประมวลแนวคิดและให้ความหมายคุณภาพชีวิตไว้ว่า หมายถึง สภาวะความพร้อมของบุคคลทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ และด้านอื่นๆ ที่จาเป็นต่อการดารงชีวิตที่จะ สามารถส่งผลให้เขาดารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข กระทรวงศึกษาธิการได้ให้ความหมายของคุณภาพ ชีวิตว่า คุณภาพชีวิต หมายถึง ชีวิตที่มีสุขภาพสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาวะ
คุณภาพชืวิตประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 3 ดา้ น
1. ด้านความเป็นอยู่ (being)
2. ด้านความเป็นเจ้าของ (belonging)
3. ด้านสิ่งที่จะเกิดขึ้น(becoming)
ความเป็นอยู่ (Being) สิ่งที่บุคคลควรได้รับ (who one is)
-15-
แวดล้อมและสังคมที่ตนอยู่ได้อย่างดี ในขณะเดียวกันก็สามารถดารงชีวิตที่เป็นประโยชน์ให้ตนเอง สังคม และ ประเทศชาติได้ด้วย
องค์ประกอบคุณภาพชีวิต
– ความเป็นอยู่ด้านกายภาพ
– สุขภาพกาย
– อนามัยส่วนบุคคล
– โภชนาการ
– การออกกาลังกาย
– การแต่งกายและเสื้อผ้า
– สภาพกายภาพทั่วไปที่ปรากฏ
– ความเป็นอยู่ด้านจิตใจ
– สุขภาพจิตและการปรับตัว
– การรับรู้
– ความรู้สึก
– ความภาคภูมิใจ การมองตนเอง การ
ควบคุมตนเอง
– ความเป็นอยู่ด้านจิตวิญญาณ
– การให้คุณค่าบุคคล
– การให้คุณค่ากับมาตรฐานความ
ประพฤติ
– ความเชื่อด้านจิตวิญญาณ
–
ความเป็นเจ้าของ (Belonging) – การติดต่อกับบุคคลที่แวดล้อม
– ความเป็นเจ้าของด้านกายภาพ
– บ้าน
– ที่ทางาน/โรงเรียน – เพื่อนบ้าน
– ชุมชน
-16-
ความเป็นอยู่ (Being)
ความเป็นเจ้าของ (Belonging)
สิ่งที่บุคคลควรได้รับ (who one is)
สิ่งที่บุคคลควรได้รับ(who one is)
ความเป็นเจ้าของด้านสังคม
– ความใกล้ชิดกับผู้อื่น – ครอบครัว
– เพื่อน
– ผู้ร่วมงาน
– เพื่อนบ้านและชุมชน
ความเป็นเจ้าของด้านชุมชน
– รายได้พอเพียง
– บริการสุขภาพและบริการสังคม
– การจ้างงาน
– การจัดการศึกษา
– การจัดนันทนาการ
– การจัดงานและกิจกรรมของชุมชน
ส่ิงที่จะเกิดขึ้น (becoming)
เป้าหมายส่วนบุคคลและความคาดหวังที่ จะเกิดขึ้น
การปฏิบัติที่จะเกิดขึ้น
– กิจกรรมภายในบ้าน
– งานที่จ่ายค่าตอบแทน
– กิจกรรมโรงเรียนหรืออาสาสมัคร
– การดูแลสุขภาพหรือความต้องการทางสังคม
การใช้เวลาว่างที่จะเกิดขึ้น
– กิจกรรมที่ส่งเสริมให้เกิดการผ่อนคลายและ ลดความเครียด
ความเจริญเติบโตที่จะเกิดขึ้น
– กิจกรรมที่ส่งเสริมให้เกิดการบารุงรักษาหรือ การปรับปรุงความรู้และทักษะ
– การปรับตัวเพื่อการเปลี่ยนแปลง
ตารางที่ 2.1 องค์ประกอบของคุณภาพชีวิตระดับบุคคล
-17-
มิติคุณภาพชีวิตองค์รวม
วารสารการส่งเสริมสุขภาพของอเมริกา ระบุสุขภาพไว้ 5 มิติ ได้แก่
1. มิติทางกาย (Physical dimension) เป็นมิติทางร่างกายที่สมบูรณ์ แข็งแรง ปราศจากโรคหรือ ความเจ็บป่วย มีปัจจัยสาคัญในมิติน้ี คือ อาหารและโภชนาการ สมรรถนะทางกายสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ต่างๆ ท่ีอยู่อาศัย สภาวะทางเศรษฐกิจที่เพียงพอ ส่งเสริมภาวะสุขภาพ ฯลฯ
2. มิติทางจิตใจ (Psychological dimension) เป็นมิติของสภาวะทางจิตใจหรืออารมณ์(Emotion) เช่น อารมณ์แจ่มใส ปลอดโปร่ง ไม่มีความกังวล มีความสุข ปัจจัยสาคัญในมิตินี้คือ การจัดการกับความเครียด การดูแลไม่ให้เกิดภาวะวิกฤตทางอารมณ์
3. มิติทางสังคม (Social dimension) เป็นความผาสุกของครอบครัว สังคม และชุมชน โดยการมี ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน สามารถให้การดูแลช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน มีความเอื้ออาทรเสมอภาค มีความยุติธรรม สันติสุข วัฒนธรรมชุมชน และมีระบบบริการที่ดีและทั่วถึง
4. มิติทางจิตวิญญาณ (Spiritual dimension) เป็นความผาสุกท่ีเกิดจากการมีความหวังในชีวิต มี ความรัก ความอบอุ่น ความเชื่อมั่น ศรัทธา มีส่ิงยึดม่ัน และเคารพ มีการปฏิบัติในสิ่งที่ดีงาม ด้วยความมีเมตตา กรุณา ไม่เห็นแก่ตัว มีความเสียสละ และยินดีในการท่ีได้มองเห็นความสุข หรือช่วยเหลือผู้อื่นให้ประสบ ความสาเร็จ (Transcendence) มิตินี้เป็นเร่ืองเกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรมของคน สามารถสร้างได้ในครอบครัว และชุมชน สร้างด้วยความรักความอบอุ่น ความเข้าใจกันและกัน เห็นใจกัน ยอมรับกัน เคารพในศักดิศรีของ กันและกันในฐานะท่ีเป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน ไม่รังเกียจเดียดฉันท์ ไม่แบ่งพวกและเข่นฆ่าราวี แต่ช่วยเหลือ เกื้อกูลกัน อยู่ร่วมกันอย่างสันติ ครอบครัว ชุมชน และสังคมที่มีสุขภาวะทางจิตวิญญาณดี ไม่ได้แปลว่าไม่มี ปัญหาแต่สามารถจัดการปัญหาได้ถ้าแก้ไขไม่ได้ก็สามารถสร้างความสมดุล จัดการให้คนอยู่กับปัญหาที่แก้ไข ไม่ได้นั้นโดยไม่ทุกข์และเดือดร้อนจนเกินไป
5. มิติทางปัญญา (Intellectual dimension) เป็นสุขภาพในด้านการเป็นผู้มีการศึกษา มี
ความรู้ เฉลียวฉลาด รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง เป็นภูมิคุ้มกันทางสังคม สามารถประกอบอาชีพ และ ประสบความสาเร็จในชีวิต
นอกจากนั้น The American University’s National Center for Health Fitness ยังได้เพ่ิม สุขภาพอีกหนึ่งมิติ คือ มิติส่ิงแวดล้อมทางกายภาพ (Environmental dimension) เช่น การปราศจาก มลภาวะในอากาศ น้า ดนิ เป็นต้น สังคมมนุษย์เป็นสังคมที่ต้องการความเจริญก้าวหน้า ต้องการช่ือเสียง เกียรติยศ เงินทอง การยอมรับ จากวงสังคม และประสบความสาเร็จในหน้าที่การงาน ซึ่งไม่มีใครเลยจะ สามารถปฏิเสธได้ว่า ในแต่ละวันนั้น มนุษย์ต้องดิ้นรนขวนขวาย ไขว่คว้าหาส่ิงท่ีตนพึง ปรารถนาเพื่อให้ได้มา
-18-
ดังนั้น การพัฒนาคุณภาพชีวิต จึงเป็นการพัฒนาตนเองเพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ปรับปรุงการดา เนินชีวิตให้คล้องและรองรับกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
การวัดคุณภาพชีวิต
ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตได้มีองค์กรและประเทศต่างๆแต่ละประเทศมีเครื่องมือวัดคุณภาพชีวิตในแต่ ละด้านที่แตกต่างกันเช่น
1) แบบจาลองการสารวจคุณภาพชีวิตของ ESCAP คือคณะผู้แทนที่ทางานเกี่ยวข้องกับการกาหนด นโยบายและวางแผนพัฒนาของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมสาหรับเอเชียและแปซิฟิกจาก 54 ประเทศ พร้อมกับสมาชิกอีก 5 เขตการปกครอง ได้ร่วมกันสร้างแบบจาลองการสารวจคุณภาพชีวิตของ ประชากรในภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิก โดยมีส่วนประกอบ 7 ด้าน คือ 1) ด้านสุภาพ 2) ด้านการศึกษา 3) ด้านชีวิตการทางาน 4) ด้านสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ5) ด้านชีวิตครอบครัว 6) ด้านชีวิตชุมชนและ 7) ด้านชีวิต วัฒนธรรม ชีวิตจิตใจและชีวิตเวลาเสรี
2) เครื่องมือวัดคุณภาพชีวิตขององค์การอนามัยโลก องค์การอนามัยโลกโดยทีมงาน WHOQOLซง่ึ ประกอบด้วยศูนย์ปฏิบัติงานภาคสนามจานวน 15 ประเทศ ได้พัฒนาและนาเสนอเครื่องมือวัดคุณภาพชีวิตที่ สามารถนาไปใช้ได้ทั่วไป แม้ในกลุ่มประชากรที่มีสังคมและวัฒนธรรมแตกต่างกันnเครื่องมือดังกล่าวให้ ความสาคัญกับกระบวนการดูแลสุขภาพ ผลของการรักษาและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ป่วย โดยมีข้อคาถาม จานวนทั้งสิ้น 100 ข้อ แบ่งเป็นคาถามด้านคุณภาพชีวิตและสุขภาพโดยรวม 4 ข้อ อีก 96 ข้อ จัดเป็น 24 หัวข้อ แต่ละหัวข้อมี 4 คาถาม และในจานวน 24 หัวข้อได้จัดกลุ่มเป็น 6 ด้าน คือ 1) ด้านร่างกาย 2) ดา้ น จิตวิทยา 3) ด้านระดบั ความเป็นอิสระของบุคคล 4) ด้านความสัมพันธ์กับสังคม5) ด้านสิ่งแวดล้อม และ 6) ด้านจิตใจหรือด้านความเชื่อบุคคล
แนวทางในการพัฒนาคุณภาพชีวิต
ชีวิตที่มีคุณภาพย่อมเป็นชีวิตที่ประสบความสมหวัง รู้จักยับยั้งความต้องการทางร่างกาย และความ ต้องการทางอารมณ์ของตนเองให้อยู่ในขอบเขตที่พอดี สามารถใช้ความรู้ สติปัญญาความรู้สึกนึกคิดของตนไม่ ก่อให้เกิดความเดือดร้อนเบียดเบียนหรือให้โทษแก่บุคคลอื่นในขณะเดียวกันบุคคลจะต้องมีการศึกษาสูงมีความ ขยันอดทนประกอบอาชีพที่สุจริตเป็นพลเมืองดีมีศาสนาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจมีระเบียบมีวินัยมีกฎเกณฑ์ทาง สังคมแสวงหาความรู้เพิ่มเติมรู้จักใช้ความคิดและสติปัญญาแก้ไขปัญหาสุขภาพและการดารงชีวิตของตนเองซึ่ง ถือว่าเป็นคุณลักษณะของการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของบุคคลในอีกระดับหนึ่ง ซึ่งมีแนวทางในการพัฒนา ดังต่อไปนี้
-19-
1. พัฒนากาย เพื่อมุ่งให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และความพิการใดๆ
2. พัฒนาทางอารมณ์ เพื่อมุ่งให้อารมณ์มีความสนุกสนานร่าเริง ไม่มีความเครียดหรือวิตกกังวลต่อการ เรียน หรือต่อการปฏิบัติงาน ในหน้าที่รับผิดชอบ มีแต่ความเจริญหู เจริญตา เจริญใจ มองโลกในแง่ดีตลอดไป
3. พัฒนาทางสังคม เพอื่ มุ่งให้เป็นคนที่มีเกียรติ ได้รับการยกย่อง เคารพนับถือการยอมรับความรู้สึก เป็นเจ้าของและความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
4. พัฒนาทางความคิด เพื่อมุ่งให้เป็นคนที่มีความต้องการที่จะรู้และเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ มีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ในการคิดค้นหาวิธีการป้องกันแก้ไขปัญหาทั้งหลาย ให้ตัวเองได้ดารงชีพอยู่อย่างสุขสบาย
5. พัฒนาทางจิตใจ เพื่อมุ่งให้เป็นคนที่มีคุณค่า มีประโยชน์ต่อชุมชน เป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวทางใจ มี ความมั่นใจว่าชีวิตนี้มีคุณค่า มีความสุขหรือมีชีวิตที่ดีกว่าในอนาคต ได้รับความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งหลาย
6. พัฒนาทางปัญญา เพื่อมุ่งให้เป็นคนมีความเฉลียวฉลาด สามารถคิดพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างมี เหตุผลซึ่งปัญญาจะแตกฉานในบุคคลได้นั้น จาเป็นจะต้องมีการศึกษาเล่าเรียนมีความสนใจเอาใจใส่ต่อวิชา ความรู้ที่ครูอาจารย์อบรมสั่งสอนเพื่อให้เป็นผู้มีความรู้ความสามารถและนาไปพัฒนาชีวิตที่มีคุณค่าต่อไปภาย ภาคหน้า
7.พัฒนาทางวินัย เพื่อมุ่งให้เป็นคนมีระเบียบวินัยในตนเอง สามารถเคารพและปฏิบัติต่อภาระหน้าที่ ตา่ ง ๆที่มีอยู่ให้อยู่ในกรอบของข้อบังคับของกฎเกณฑ์ที่ได้กาหนดขึ้น ไม่ประพฤติตนออกนอกลู่นอกทางการมี วินัยที่ดีนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9 ได้ทรงมีทรรศนะว่า “คนที่มีระเบียบวินัยนั้นเป็นผู้ที่ เข้มแข็ง เป็นผู้ที่หวังดีต่อตัวเองเป็นผู้จะมีความสาเร็จในอนาคต” (10 กันยายน 2524)
การ”คิดเป็น”เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต
“คิดเป็น มาจากแนวคิดที่ว่า ธรรมชาติของมนุษย์ ทุกคนต้องการความสุข คนคิดเป็นจะสามารถ ดารงชีวิต ให้พบความสุขได้” มนุษย์มีจิตสานึกที่จะใคร่ครวญ และแสวงหารากเหง้าที่มาของปัญหาและความ ทุกข์ และพิจารณาทางเลือก และหาคาตอบต่างๆ เพื่อจะได้ตัดสินใจกระทาการหรือไม่ ในการแสวงหาคาตอบ แทนที่จะยอมจานนต่อปัญหา หรือโชคชะตา โดยกระบวนการที่จะพัฒนาการคิดเป็นให้กับบุคคลตามทฤษฎี การ “คิดเป็น” ซ่ึงจะเป็น กระบวนการตัด และตัดสินใจแก้ไขปัญหาด้วยข้อมูล 3 ประเภท ได้แก่ ข้อมูลตนเอง ข้อมูลสังคมสิ่งแวดล้อมและข้อมูลวิชาการมาประกอบการตัดสินใจ กระบวนการคิดเป็น จึงเป็นเป็นการทาให้ บุคคลได้เข้าใจตนเองอย่างถ่องแท้ว่า ตนเองเป็นใคร และอะไรคือสิ่งที่ตนเองต้องการ รวมทั้งการเข้าใจสภาพ สังคมสิ่งแวดล้อมที่ตนเองดารงชีวิต และสามารถนาข้อมูลวิชาการที่มีอยู่มาประกอบการคิดและตัดสินใจ โดย
-20-
วิเคราะห์ วิจารณ์อย่างเป็นระบบ ภายใต้หลักการ เหตุผล หลักคุณธรรม จริยธรรม ซึ่งนาไปสู่การปฏิบัติจนเกิด ความพึงพอใจ เป็นบุคคลที่มีพฤติกรรมคิดเป็น เป็นคนดี คนเก่ง และพบกับความสุขได้ในท่ีสุด ศาสตราจารย์ อุ่นตา นพคุณ ได้สรุปความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับ การคิดเป็น มี 4 ประการ ที่จะทาให้เกิดความเข้าใจ กระบวนการคิดเป็นได้อย่างชัดเจน คือ
ประการที่ 1 มนุษย์ทุกคนต้องการความสุข
ประการที่ 2 การใช้ข้อมูล 3 ประเภท พร้อมกันประกอบการคิดแก้ไขปัญหา ประการที่ 3 เป็นการคิดเพื่อการตัดสินใจแก้ไขปัญหา
ประการที่ 4 มนุษย์มีเสรีภาพในการตัดสินใจกาหนดชะตาชีวิตของตนเอง
คิดเป็น จึงเป็นกระบวนการที่จะทาให้มนุษย์กาหนดปรัชญาในการดารง ชีวิตของตนเองในแต่ละด้านว่า ตนเองเป็นใคร ควรทาอะไร ทาทาไม ทาอย่างไร ทาเพื่อใคร ซึ่งทั้งหมดต้องเป็นสิ่งที่ตนเองต้องการ และนา กระบวนการคิดเป็นนั้นไปสู่ปรัชญาที่กาหนดให้สาเร็จ และในที่สุดก็จะสามารถนาพาชีวิตไปถึงเป้าหมายสูงสุด คือ ความสุข ซึ่งเปน็ ปรัชญาชั้นสูงสุดในการดารงชีวิตมนุษย์ที่จะทาให้สามารถดารงชีวิตอย่างมีคุณภาพได้
ความเชื้อพื้นฐานเกี่ยวกับ “การคิดเป็น”
1. มนุษย์ทุกคนต้องการความสุข ข้อตกลงเบื้องต้นของการ “คิดเป็น” คือ มนุษย์ทุกคนต้องการความสุข คือ เชื่อว่าคนเราจะมีความสุข เมื่อคนเราและสังคมสิ่งแวดล้อม ประสมกลมกลืนกันอย่างราบรื่นทั้งทางวัตถุ กาย ใจ และมนุษย์จะไม่มีความสุขเมื่อมีปัญหา ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อเกิดช่องว่างระหว่างสภาพการณ์และสิ่งที่เขา มีอยู่จริง ปัญหาในช่วงชีวิตมนุษย์แต่ละคนเป็นเรื่องสลับซับซ้อน และเกี่ยวโยงถึงปัจจัยต่าง ๆ การคิดที่ใช้
ข้อมูลประกอบการคิดเพื่อแก้ไขปัญหา และเกิดความพึงพอใจ
2. การคิดเป็น เป็นการคิดเพื่อแก้ปัญหา เนื่องจากการคิดมีจุดเริ่มที่ตัวปัญหา และพิจารณาไตร่ตรองถึง ข้อมูล 3 ประการ คือ ข้อมูลตนเอง ข้อมูลสังคมสิ่งแวดล้อม และข้อมูลทางวิชาการ ต่อจากนั้นก็ลงมือกระทา การ ถ้าหากกระทาการ ทาให้ปัญหาและไม่พอใจหายไป กระบวนการคิดจะยุติลง แต่ถ้าหากบุคคลยังรู้สึกไม่ พอใจ ปัญหายังคงมีอยู่ ก็จะเริ่มกระบวนการคิดอีกครั้ง
3. การใช้ข้อมูล 3 ประเภท พร้อมกันประกอบการแก้ปัญหา ตามแนวคิดเรื่องการคิดเป็น บุคคลที่จะ ถือว่าเป็นคนคิดเป็น จะต้องเป็นบุคคลที่ใช้ข้อมูล 3 ปรเภทไปพร้อมกันประกอบการตัดสินใจแก่ปัญหา การคิด ที่อาศัยข้อมูลประเภทใดประเภทหนึ่งหรือสองประเภท ยังไม่ถือว่าบุคคลนั้นเป็นคนคิดเป็นได้สมบูรณ์แบบ ข้อมูล 3 ประเภท ได้แก่ 1) ข้อมูลตนเอง 2) ข้อมูลสังคมสิ่งแวดล้อม 3) ข้อมูลวิชาการ
-21-
ข้อมูลตนเอง (Information of self)
ข้อมูลประเภทตนเองnถูกกาหนดขึ้นเพราะอิทธิพลทางศาสนาnปรัชญาและจิตวิทยาnโดยเฉพาะ พระพุทธศาสนา ซึ่งได้สั่งสอนให้บุคคลพิจารณาและเฝ้ามองตนเอง และแก้ไขทุกข์ด้วยตนเอง มีอิทธิพลต่อการ กาหนดข้อมูลประเภทนี้ การ “คิดเป็น” ซึ่งมีจุดมุ่งหมายต้องการให้บุคคลใช้ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับตนเอง ได้แก่ ข้อมูลในเรื่องสถานภาพทางเศรษฐกิจ สถานภาพทางสังคม สุขภาพอนามัย ระดับการศึกษา ความรู้ ความถนัด
ทักษะ วัย เพศและอื่นๆ ซึ่งข้อมูลประเภทนี้ต้องการให้พิจารณาจุดอ่อน จุดแข็ง ข้อดี ข้อเสียของตนเองอย่าง จริงจังก่อนการตัดสินใจกระทาสิ่งใด
ข้อมูลสังคมและสิ่งแวดล้อม (Information on Society and Environment)
ธรรมชาติมนุษย์เป็นสัตว์สังคมไม่ได้อยู่ตามลาพัง ข้อมูลประเภทนี้จึงถูกกาหนดขึ้นเพื่อให้บุคคลใช้ความ นึกคิด คานึงถึงสิ่งที่อยู่นอกกาย คานึงถึงผู้อื่น ชุมชน ตลอดจนสภาพแวดล้อมสังคมส่วนรวม หากบุคคลใช้ข้อ ประเภทตนเองอย่างเดียวก็จะเป็นคนเห็นแก่ตัว และเป็นคนใจแคบ ดังนั้นอิทธิพลของสังคมและสิ่งแวดล้อมจึง มีผลกระทบต่อมนุษย์เสมอ สิ่งแวดล้อมของมนุษย์ประกอบด้วยปัจจัยที่แตกต่างกัน แต่ก็ส่งผลกระทบชีวิต มนุษย์ทุกคน และในทางกลับกัน การกระทาของมนุษย์ก็ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมของตัวมนุษย์ด้วย ข้อมูลสังคม สิ่งแวดล้อม อาจแยกได้เป็นข้อมูลสังคมและจิตใจ เช่น พฤติกรรมของมนุษย์ในการอยู่ในสังคมด้วยความ ถูกต้อง เหมาะสม และข้อมูลกายภาพ เช่น ภูมิอากาศ ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น
ข้อมูลวิชาการ (Technical or Book Knowledge)
ในความหมายของการคิดเป็น หมายถึง ข้อมูลและความรู้อันมหาศาลที่มนุษย์เราได้สะสมรวบรวมไว้ เป็นเนื้อหาวิชาต่างๆ เป็นหลักสูตร เป็นศาสตร์ แนวคิดเรื่องการคิดเป็น ตระหนักว่าบุคคลนั้นถึงแม้ว่าจะเข้าใจ
ตนเอง เข้าใจสังคมสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างดีก็ตาม แต่ถ้าขาดข้อมูลทาวิชาการไป อาจจะเสียเปรียบผู้อื่นในการ ดารงชีวิตและ การแก้ปัญหา เพราะว่าในปัจจุบันนี้โลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มนุษย์และสังคมถูก เปลี่ยนเพราะความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการ ดังนั้นมนุษย์จาเป็นที่จะต้องได้รับความรู้และข้อมูลทางวิชาการ มาใช้ประกอบการตัดสินใจเพื่อให้ได้คาตอบที่ดีที่สุดในการดารงชีวิต จากความเชื่อพื้นฐาน เรื่องการใช้ข้อมูล 3 ประเภทพร้อมกันประกอบการตัดสินใจแก้ปัญหา เป็นลักษณะเด่นของเรื่อง “คิดเป็น” การกาหนดให้ใช้ข้อมูล ประเภทต่างๆ วิเคราะห์และหาหนทางแก้ปัญหา และเพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลใช้ข้อมูลพิจารณาปัญหาจาก จุดยืนหรือมิติเดียว
4. เสรีและอานาจการตัดสินใจกาหนดชะตาชีวิตตนเอง ความเชื่อพื้นฐานข้อนี้มาจากคาสั่งสอนของ พุทธศาสตร์โดยตรง และปรัชญาการศึกษาสานักมนุษยนิยม คือพุทธศาสนา สอนว่า ปัญหาหรือความทุกข์ของ มนุษย์เกิดขึ้นตามกระบวนการแห่งเหตุผล และทุกข์หรือปัญหาของมนุษย์เป็นสิ่งที่แก้ไขได้ พร้อมทั้งได้ให้ วิธีแก้ไขด้วย อริยสัจ 4
-22-
กล่าวโดยสรุป ความเชื่อพื้นฐานของการ “คิดเป็น” มาจากธรรมชาติของมนุษย์ที่ว่าสิ่งที่เป็นยอด ปรารถนา คือ ความสุข และมนุษย์เราจะมีความสุขที่สุดเมื่อตนเอง และสังคม สิ่งแวดล้อม กลมกลืนกันอย่างราบรื่น ทั้งด้าน วัตถุ กาย และใจ การที่มนุษย์เรากระทาได้ยากนั้น แต่อาจทาให้ตนเอง และสิ่งแวดล้อมประสมกลมกลืนกันได้ เท่าที่แต่ละคน หรือกลุ่มคนจะสามารถทาได้ โดยกระทาดังต่อไปนี้
1. ปรับปรุงตัวเองให้เข้ากับสังคมสิ่งแวดล้อม
2. ปรับสังคมและสิ่งแวดล้อมให้เข้ากับตัวเรา
3. ปรับปรุงทั้งตัวเราและสังคมสิ่งแวดล้อม ทั้งสองด้านให้ประสมกลมกลืนกัน 4. หลีกสังคมและสิ่งแวดล้อมหนึ่ง ไปสู่สังคมสิ่งแวดล้อมหนึ่งที่เหมาะสมกับตน
บุคคลที่จะสามารถดาเนินการข้อใดข้อหนึ่ง หรือหลายข้อเพื่อตนเองและสังคมสิ่งแวดล้อมประสม กลมกลืนกัน เพื่อตนเองจะได้มีความสุขนั้น บุคคลผู้นั้นต้อง “คิดเป็น” เพราะการคิดเป็นการทาให้บุคคล สามารถแก้ไขปัญหาได้ บุคคลที่มีแต่ความจา ย่อมไม่สามารถดาเนินการตามข้อใดข้อหนึ่งใน 4 ข้อได้ คนที่ทา เช่นนี้ได้ต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถคิดแก้ปัญหา สามารถรู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ และรู้จักธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมในสังคมนั้น การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน จะสามารถช่วยพัฒนาการคิดเป็นให้เกิดขึ้นได้ โดย ครูควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้คิด ตัดสินใจ และลงมือปฏิบัติจริงในกิจกรรมต่างๆ ซึ่งจะให้เกิดกระบวนการ เรียนรู้ และเกิดกระบวนการคิด โดยการคิดนั้นควรส่งเสริมการใช้เหตุผล หลักคุณธรรมเป็นสาคัญ เพื่อให้รู้ว่า เขาเป็นใคร ทาอะไร จะทาอย่างไร ทาเพื่ออะไร จะได้ผลอย่างไร ซึ่งการดาเนินการดังกล่าวครูสามารถนา กระบวนการ “คิดเป็น” ซึ่งเป็นกระบวนการคิดที่มีการรวบรวมข้อมูลด้านต่าง ๆ ให้ครบก่อนการตัดสินใจ จึง น่าจะเป็นกระบวนการคิดที่เหมาะสมกับการดารงชีวิตในยุคข่าวสารข้อมูลได้เป็นอย่างดี
เทคโนโลยีที่นามาใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตในมิติด้านต่างๆ
ในการนาเทคโนโลยีมาพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลไม่สามารถที่จะเลือกใช้เทคโนโลยีประเภทใด ประเภทหนึ่งหรือเทคโนโลยีอย่างใดอย่างหนึ่งได้นั้นคือต้องอาศัยเทคโนโลยีหลายๆอย่างประกอบเข้าด้วยกันซึ่ง ในที่นี้จะกล่าวถึงเทคโนโลยีตามมิติการพัฒนาคุณภาพชีวิต 5 มิติดังนี้
1. เทคโนโลยีกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตทางด้านร่างกาย ได้แก่ การใช้เทคโนโลยีในการรักษาสุขภาพ ชุดตรวจโรคต่างๆ เช่น ชุดตรวจเบาหวาน นวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านอาหาร เช่น อาหารเสริมต่าง ๆ เพื่อให้ ได้รับสารอาหารครบ 5 หมู่ เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ เป็นต้น
2. เทคโนโลยีกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตทางด้านจิตใจ เป็นการสร้างเสริมสุขภาพจิตที่ดี รู้จักควบคุม อารมณ์ หรือเทคโนโลยีในการส่งเสริมกิจกรรมสันทนาการ เช่น เทคโนโลยีดนตรี ภาพยนต์ เป็นต้น
-23-
3. เทคโนโลยีกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตทางด้านจิตวิญญาณมิตินี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรม ของคน สามารถสร้างได้ในครอบครัวและชุมชน สร้างด้วยความรักความอบอุ่น ความเข้าใจกันและกัน เห็นใจ กัน ยอมรับกัน เคารพในศักดิศรีของกันและกันในฐานะที่เป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน ไม่รังเกียจเดียดฉันท์ ไม่แบ่ง พวกและเข่นฆ่าราวี แต่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ครอบครัว ชุมชนและสังคม
4. เทคโนโลยีกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตทางด้านสังคมพบว่าสังคมในปัจจุบันมีการดารงชีวิตที่ สลับซับซ้อนมากขึ้น จากความก้าวหน้าของ เทคโนโลยีสารสนเทศ อันเป็นการผสมผสาน 4 ศาสตร์ เข้าด้วยกัน ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ โทรคมนาคม และข่าวสาร (Electronics, Computer, Telecommunication and Information หรือเรียกย่อว่า ECTI) ทาให้สังคมโลก สามารถสื่อสารกันได้ทุก แห่งทั่วโลกอย่างรวดเร็ว สามารถรับรู้ข่าวสาร ความเคลื่อนไหว ตา่ ง ๆ ได้พร้อมกัน สามารถบริหารจัดการ และตัดสินใจได้ทุกเวลา การลงทุนค้าขาย และธุรกรรม การเงิน ก็สามารถทาได้อย่างรวดเร็ว
5. เทคโนโลยีกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตทางด้านสติปัญญา ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีการสื่อสาร ช่วยให้ บุคลากรสามารถเข้าถึงความรู้ต่างๆ ได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น รวมทั้งสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้เชี่ยวชาญในสาขา ต่างๆ ค้นหาข้อมูล สารสนเทศและความรู้ที่ต้องการได้ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นต้น
สรุป
การพัฒนาคุณภาพชีวิตได้จาแนกเป็นมิติด้านต่างๆ 5 มิติ คือ ด้านร่างกาย ด้านจิตใจ ด้านจิตวิญญาณ ด้านสังคมและด้านสติปัญญา องค์ประกอบ 3 ด้าน คือ ด้านความเป็นอยู่ ด้านความเป็นเจ้าของ ด้านสิ่งที่จะ เกิดขึ้นตลอดจนแนวคิดและแนวทางในการนา เทคโนโลยีมาใช้เพื่อตอบสนองให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น เช่น เพิ่ม ประสิทธิภาพในการดาเนินชีวิต และการทางาน เครื่องอานวยความสะดวกต่างๆในชีวิตประจาวัน ระบบ อัตโนมัติช่วยการทางานให้รวดเร็วขึ้น และผิดพลาดน้อยลง แก้ปัญหาที่มีอยู่ในปัจจุบัน การขาดแคลน ทรัพยากร น้า อาหาร อากาศ (มลพิษ) และการขาดแคลนพลังงาน การชดเชยความความสามารถในการใช้ ชีวิตปกติที่ขาดไป ป้องกันปัญหาที่กาลังจะเกิดขึ้น หรือที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต
เทคโนโลยีกับการพัฒนาคุณภาพชีวิต
1. ทฤษฎีความต้องการของมนุษย์ตามแนวคิดของ มาสโล มีกี่ระดับอะไรบ้าง 2. คุณภาพชีวิตมีองค์ประกอบอะไรบ้าง
3. มิติด้านคุณภาพชีวิตตามวรสารสุขภาพของอเมริกามีกี่ด้านอะไรบ้าง
4. เทคโนโลยีที่พัฒนาคุณภาพชีวิตด้านร่างกายมีอะไรบ้างบอกมา 5 ประเภท 5. ความเชื่อกระบวนการคิดเป็นช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิต 4 ประการมีอะไรบ้าง
คาถามท้ายบท
-24-
บทที่ 3 เทคโนโลยีกับการพัฒนาสังคม
การพัฒนาสังคมมีรากฐานทางแนวคิดและทฤษฎีมายาวนานและเป็นสากลเป็นการพฒั นาที่มี ความหมายครอบคลุมกว้าง และเกี่ยวข้องกับศักยภาพของมนุษย์ในการสร้างสรรค์สังคม (Cleveland and Jacobs, 1999) เป็นเรื่องของความใฝ่ฝัน ความคิดและการตื่นตัวของมนุษย์ ในการตระหนักถึงสภาพปัญหา ของสังคม และต้องการแก้ปัญหาที่มนุษย์ประสบอย่างสร้างสรรค์ โดยนัยนี้ การพัฒนาสังคมจึงเกี่ยวพันกับมิติ ต่างๆ ของความเป็นอยู่และการดาเนินชีวิตของมนุษย์ ทั้งความเชื่อ ทัศนคติ ค่านิยม อุดมการณ์ จารีต ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม กฎระเบียบ บรรทัดฐานทางวัฒนธรรม ความรู้ การศึกษา ความสัมพันธ์ ระหว่าง คน สถาบันเศรษฐกิจการเมือง ตลอดไปจนถึงศาสนาและจิตวิญญาณ แนวคิดว่าด้วยการพัฒนามี กาเนิดมาจากโลกตะวันตก โดยเริ่มจากแนวคิดที่ให้ความสาคัญกับ การขยายตัวหรือการเติบโตทางเศรษฐกิจ และต่อมาได้แพร่ขยายไปมีอิทธิพลครอบงาการกาหนดนโยบายในประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศใน โลกที่สาม (Third World Countries) ซึ่งเคยตกเป็นอาณานิคม ของประเทศมหาอานาจในโลกตะวันตกและ ประเทศอื่นๆ ที่ถูกจัดให้เป็นประเทศด้อยพัฒนาหรือประเทศกาลังพัฒนา เช่น ประเทศไทย เป็นต้น อย่างไรก็ ตาม โดยเนื้อหาแล้ว ประวัติศาสตร์แนวความคิดว่าด้วยการพัฒนา มีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นลาดับ จากการ เน้นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมาเป็นการกระจายความเติบโต ทางเศรษฐกิจ การเน้นความจาเป็นขั้น พื้นฐาน จนมาถึงการเน้นในตัวมนุษย์ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับ ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อการดารงชีวิตอยู่อย่างยั่งยืน หรืออาจจะกล่าวได้ว่าแนวคิดการพัฒนามี วิวัฒนาการจากที่เน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงแรกๆ ค่อยๆ ไปสู่การพัฒนา ที่ให้ความสาคัญกับมนุษย์ และสังคมมากขึ้นในระยะหลัง แนวคิดที่ปรับเปลี่ยนมาเน้นการพัฒนามนุษย์และสังคมมากขึ้นเหล่านี้ที่ถือเป็น ฐานสาคัญของ การพัฒนาสังคมซึ่งในที่นี้จะขอกล่าวถึงรายละเอียดเกี่ยวกับความหมาย ความเป็นมา ความสัมพันธ์กับเทคโนโลยีและจุดเน้นของแนวคิดที่สาคัญๆ พอสังเขป
ความหมายสังคม
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2542) ให้ความหมายว่า สังคมคือคนจานวนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ ต่อเนื่องกันตามระเบียบ กฎเกณฑ์ โดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกัน หรือ เสถียรโกเศส ให้ความหมายไว้ว่า “มนุษย์ที่ รวมกันอยู่เป็นหมู่คณะ ที่มีทั้งหญิงและชาย ตั้งภูมิลาเนาเป็นหลักแหล่ง ณ ที่ใดที่หนึ่งเป็นประจาเป็นเวลานาน พอสมควร พอเรียนรู้และปรับปรุงตนเองแต่ละคนได้และประกอบการงานเข้ากันได้ดี มีความสนใจร่วมกันใน
-25-
สิ่งอันเป็นมูลฐานแห่งชีวิต มีการครองชีพ ความปลอดภัยทางร่างกายก็เป็นส่วนหนึ่งของส่วนรวม มนุษย์ที่ ร่วมกันเป็นคณะตามเงื่อนไขที่กล่าวมานี้ เรียกว่า “สังคม”
ความหมายการพัฒนาสังคม
การพัฒนาสังคม หมายถึง การกระทาเพื่อมุ่งปรับปรุงส่งเสริมให้คนที่อยู่ร่วมกัน มีการเปลี่ยนแปลงไป ในทางที่ดีขึ้น ทั้งในด้านวัตถุและจิตใจอันจะทาให้การดารงชีวิตอยู่ร่วมกันนั้นมีความเจริญรุ่งเรืองและสงบสุข แต่การที่บุคคลจะดารงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขจะต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน อย่างน้อยที่สุด จะต้องมีปัจจัยขั้นพื้นฐานที่ดีพอสมควร กล่าวคือ มีที่อยู่อาศัย มีอาหารเพียงพอแก่การเลี้ยงชีพ มีเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มสมควรแก่สภาพและฐานะ เวลาเจ็บป่วยควรจะได้รับการรักษาพยาบาล มีอาชีพมั่นคง มีรายได้ เพียงพอแก่ค่าใช้จ่ายในการครองชีพ มีความรักใคร่สมานสามัคคีกันของสมาชิกในสังคมและปราศจากภัย คุกคามจากโจรผู้ร้าย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะเกิดมีขึ้นได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย โดยอาศัยวิธีการทาง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าช่วยเพื่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้าและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
ลักษณะความสัมพันธ์ของมนุษย์ผ่านเทคโนโลยี
ลักษณะความสัมพันธ์ของสังคมมนุษย์ผ่านเทคโนโลยีมีลักษณะความสัมพันธ์ 2 ลักษณะคือ ความสัมพันธ์ผ่านเทคนิคแบบอานาจนิยม และความสัมพันธ์ผ่านเทคนิคแบบประชาธิปไตย (อ้างอิงจาก ชาญ ชัย ชัยสุขโกศล) กล่าวคือ
ในงานของ Christopher May (2000) เรื่อง “The information Society as Mega-Machine” ได้ อ้างถึงข้อเสนอในงานเขียนความหนา 700 หน้าของ Lewis Mumford (1934) เรื่อง “Technics and Civilization” แทนที่ Mumford จะพูดเรื่องเทคโนโลยีโดดๆ เขาเสนอให้เราพูดเรื่อง “เทคนิค” ซึ่งเป็นเรื่อง ความสัมพันธ์ของมนุษย์ในอารยะธรรม(civilization) หนึ่งๆผ่านมิติความสัมพันธ์เทคโนโลยี อารยะธรรมในที่นี้ ครอบคลุมหมดถึงเรื่องสังคม เศรษฐกิจ การเมืองวัฒนธรรม ฯลฯ เขาแบ่งเทคนิคเป็น 2 แบบใหญ่ ๆ ได้แก่
1.เทคนิคแบบอานาจนิยม (Authoritarian Technics) เป็นเทคนิคที่เน้นการคงอยู่ของระบบ (systemcentered) กล่าวคือ ทาสิ่งต่างๆเพื่อเอื้อให้ระบบยังคงอยู่ได้ ตัวอย่างที่ Mumford เห็นว่าเป็นเทคนิค แบบอานาจนิยมที่เก่าแก่ที่สุด คือ ปีระมิดอียิปต์ ซึ่งที่ผนวกรวมเอาความรู้ทางเศรษฐกิจ แรงงานมนุษย์ทั้งชาย หญิง เด็ก คนแก่ ที่ถูกกดขี่ อย่างเลือดเย็น การใช้ประโยชน์จากทักษะการสื่อสาร/การเขียน การควบคุมโดย คณิตศาสตร์และระบบบริหารองค์กรราชการและการเมืองแบบรวมศูนย์ เพื่อออกแบบโครงสร้างเทคนิคที่ให้ กาเนิดกาลังขนาดหลายพันแรงที่สามารถชักลากหินขนาดยักษ์ขึ้นไปวางเรียงกันบนปีระมิด (May : 249-50) นี้ อาจกล่าวได้ว่า สิ่งที่สูญเสียไปจากการได้ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกมา คือ ค่าใช้จ่ายทางจิตใจและทาง
-26-
กายภาพของมนุษย์จานวนมหาศาลอย่างไรก็ตาม หากมองเทคนิคและอารยะธรรมในเชิงพลวัตแล้ว เทคนิค แบบอานาจนิยม เช่นในอดีตคืออาณาจักรโรมันนั้น เมื่อรวมศูนย์และแผ่อานาจขยายออกไปมากๆเพื่อดึงดูด ทรัพยากรเข้ามาที่ศูนย์กลางเรื่อยๆ จนไม่สามารถควบคุมอานาจต่างๆของอาณาจักร/ระบบไว้ได้ การสื่อสาร ของศูนย์กลางกับส่วนต่างๆล้มเหลวลง ความชอบธรรมของอานาจส่วนกลางก็เสื่อมสลายไป เครื่องจักรขนาด มหึมาก็จะพังทลายลงด้วยเช่นกัน และอาณาจักร/ระบบอันใหญ่โตโอฬารก็ต้องล่มสลายไป และจะถึงเวลาที่ เทคนิคแบบประชาธิปไตยจะกลับขึ้นมาเป็นระบบความสัมพันธ์ของมนุษย์ผ่านเทคโนโลยีในช่วงถัดไปแทน (May : 250) อย่างไรก็ดี ในยุคโลกาภิวัตน์เสรีนิยม รวมทั้งการเกิดขึ้นของสังคมสารสนเทศปัจจุบันนั้น Mumford ยังคงยืนยันว่าอานาจหน้าที่ของเทคนิคแบบอานาจนิยมนี้ถูกนิยามจากตรรกะของตัวมันเอง นั่นคือ การส่งเสริมประสิทธิภาพ ด้วยข้ออ้างเรื่องการประหยัดแรงงาน และเป้าหมายสูงสุดของเทคนิคประเภทนี้คือ การแทนที่มนุษย์เทคนิคกลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถควบคุมและจัดการมนุษย์ขึ้นมาได้ (May : 251)
2. เทคนิคแบบประชาธิปไตย (Democratic Technics) เป็นเทคนิคที่เน้นเทคโนโลยีขนาดเล็กที่ ตอบสนองต่อความจาเป็นและความต้องการของมนุษย์ (need) เน้นการคงอยู่ของมนุษย์ (human-centered) หรือเรียกว่าเป็นเทคโนโลยีในระดับมนุษย์ (human scale of technology) เทคโนโลยีของเทคนิคแบบนี้ไม่ ต้องการพลังงาน (energy)มากมายถึงขั้นต้องมีการจัดการพลังงานไฟฟ้าระดับชาติ (เช่น ของไทย คือ การ ไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) เป็นต้น) แต่พลังงานในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีของเทคนิคเหล่านี้สามารถหาได้ใน ท้องถิ่น โดยใช้ทักษะและความรู้ (skill &knowledge) ภายในท้องถิ่น และไม่จาเป็นต้องใช้โครงสร้างหรือ องค์กร (structure & organization) ทซี่ ับซ้อนมาควบคุมเทคโนโลยี เพื่อให้สังคมดารงอยู่ได้ ที่สาคัญ ประโยชน์ของเทคโนโลยีเหล่านี้ก็ตอบสนองกับความต้องการของท้องถิ่นและอยู่ภายใต้เงื่อนไขความเป็นไปได้ ของท้องถิ่น เทคนิคแบบนี้จะรักษาความเป็นอิสระ (autonomy) และความสามารถในความคิดสร้างสรรค์ของ ท้องถิ่นได้ เทคนิคแบบประชาธิปไตยนี้ไม่ได้เสนอให้มนุษย์ยกเลิกการทางานทุกชนิด แต่ส่งเสริมงานที่ไม่จากัด ปิดกั้นการใช้พลังกล้ามเนื้อที่ร่วมไปกับหัวใจ (mind) ในยุคสังคมสารสนเทศ May ขบวนการเคลื่อนไหวทาง สังคมต่างๆ (social movements) เช่น การประท้วงเป็นต้น ซึ่งจัดตั้งขึ้นด้วยการประสานงานผ่านห้องแชท และกลุ่มข่าวสารในอินเทอร์เน็ตนั้น ยืนยันความคิดเรื่องเทคนิคแบบประชาธิปไตยของ Mumford ได้อย่างดี (2000 : 253)
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมผ่านเทคโนโลยีเหล่านี้ เป็นอยู่บนฐานเทคนิคแบบ กระจายศูนย์ เน้นความเป็นเครือข่ายประสานสัมพันธ์กันของหน่วยที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่กระจายไปทั่วทุก แห่งในสังคมอย่างไรก็ตาม Mumford เห็นว่า ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ทั้งเทคนิคแบบอานาจนิยมและแบบ ประชาธิปไตยมักอยู่คู่กันเสมอ สลับกันขึ้นและลง แต่ไม่ได้ทาลายหรือแทนที่อีกเทคนิคหนึ่งให้สูญหายไปได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ แม้ในภาวะที่เทคนิคหนึ่งเป็นที่นิยมในสังคม เทคนิคอีกแบบหนึ่งก็มิได้หายไปไหน เพียงแค่ อ่อนกาลังลงไปเท่านั้น นี้ย่อมแสดงให้เห็นว่าเทคนิคทั้งสองแบบมีการผลัดกันรุกรับช่วงชิงตาแหน่งแห่งที่การ ยอมรับในสังคมอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
-27-
แนวโน้มของสังคมสารสนเทศ : ปิดกั้น และเปิดเผยจากแนวคิดเรื่องเทคนิคแบบประชาธิปไตยและ แบบอานาจนิยม ซง่ึ Mumford เสนอคาอธิบายในยุคก่อนการปฏิวัติสารสนเทศนั้น Christopher May เอามา ประยุกต์ใช้กับแนวคิดสังคมสารสนเทศ (Information society) ในปัจจุบัน ว่าก็มีแนวโน้มแบบเทคนิค ประชาธิปไตยและแบบอานาจนิยมเช่นกัน เขาชี้ว่าปัจจุบัน การพัฒนาสังคมสารสนเทศมี 2 แนวโน้ม คือ แนวโน้มแบบปิดกั้น (Enclosing Tendencies) และ แนวโน้มแบบเปิดเผย (DisclosingTendencies) (May : 258-61) แนวโน้มแบบแรก คือ แนวโน้มแบบปิดกั้น ซึ่งเป็นแนวโน้มพัฒนาเทคโนโลยีแบบไม่เปิดโอกาสให้ ใครทาอะไรแหวกออกไปจากระบบเดิม สาระสาคัญของแนวโน้มนี้ คือ การปฏิวัติสารสนเทศเกี่ยวพันไปกับการ เพิ่มความเข้มข้นขึ้นของความสัมพันธ์เชิงทรัพย์สิน ความรู้และข้อมูลข่าวสาร สินค้าและบริการต่างๆ ถูกทาให้ เป็นทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property Rights : IPR) เกิดการขยายตัวของสิทธิของเอกชนใน ทรัพย์สินดังกล่าว การทาให้ของสาธารณะเข้าสู่ระบบตลาด (marketization) และแสวงหาสินค้าและบริการ ใหม่ๆอยู่เสมอ เหล่านี้เป็นการขยายตัวของทุนนิยมสมัยใหม่ ไม่ใช่ถูกแทนที่นั่นเอง ลักษณะของทุนนิยมที่เป็น ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ครอบครองทรัพย์สินกับผู้ที่มีเพียงแรงงานที่จะนาเข้าสู่ตลาดเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง สังคมสารสนเทศในแนวโน้มแบบปิดกั้นนี้ เน้นดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งความสร้างสรรค์ของมนุษย์ เข้ามา รวมศูนย์เพื่อความคงอยู่ของระบบ หรือก็คือ เป็นเทคนิคแบบอานาจนิยมนั่นเอง แนวโนม้ แบบที่สอง แนวโน้มแบบเปิดเผย คนในกลุ่มนี้เห็นว่าสังคมสารสนเทศจะนามาซึ่งเสรีภาพในการสื่อสารและจะไม่มีใคร สามารถควบคุมสังคมได้อย่างเบ็ดเสร็จเหมือนเมื่อก่อน สังคมสารสนเทศจะก่อตัวขึ้นจากความสัมพันธ์ระหว่าง บุคคล มากกว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างทรัพย์สิน ประชาธิปไตยในสังคมสารสนเทศทาให้เกิดปัจเจกแบบ ใหม่ ข้อมูลไม่สามารถถูกควบคุมโดยผู้เชี่ยวชาญได้ มนุษย์สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ทุกชนิดที่ต้องการโดย ไม่ต้องมีคนกลาง การไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารจะทาให้โครงสร้างลาดับชั้นเป็นเรื่องยากขึ้น แม้กระทั่งใน ประชาธิปไตยแบบทางการ สิ่งเหล่านี้ ถ้าพูดในสานวนของ Mumford ก็คือเทคนิคแบบประชาธิปไตย (ที่เอื้อ ให้เกิด “การปกครองตนเองร่วมกัน, มีเสรีภาพในการสื่อสารกันอย่างเท่เทียม และปราศจากอุปสรรคในการ เข้าถึงคลังความรู้สาธารณะ”) กาลังเกิดขึ้นด้วยศักยภาพของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในขณะที่ไม่ สามารถทาได้ในสังคมอุตสาหกรรม ในสานวนเรื่องเทคนิคระดับมนุษย์ (human scale technics)ของ Mumford สังคมสารสนเทศจะเอื้อให้อานาจบนฐานของความรู้ ไหลลงสู่ชุมชนและปัจเจก มากกว่าที่จะถูก รวมศูนย์ไว้ที่รัฐบาล ซึ่งจะอยู่ในลักษณะเดียวกับแนวคิดเทคนิคแบบประชาธิปไตย เทคนิค 2 แบบกับ คุณลักษณะด้านขนาด (scale) ของสังคม
แนวคิดเทคนิคแบบประชาธิปไตยหรือแบบอานาจนิยมของ Mumford รวมถึงแนวโน้มแบบปิดกั้น และการเปิดเผยที่ May เสนอนั้น ประเด็นแก่นแกนอยู่ที่เรื่อง “ขนาด” (scale) ของหน่วยความสัมพันธ์ทาง สังคมของมนุษย์ ซึ่งมีฐานมาจากประเด็นที่ Mumford พัฒนาขึ้นด้วยอิทธิพลจากงานของตนด้านการวางผัง เมืองและแผนการอยู่อาศัยในระดับภูมิภาคของอเมริกาหน่วยความสัมพันธ์ของมนุษย์ในทัศนะของ Mumford จึงดูจะอยู่ที่เรื่อง “เมือง” โดยเขาเห็นว่าประวัติศาสตร์เมืองนั้น เป็นการขยายขนาดขึ้นมาจากการเป็นหมู่บ้าน
-28-
(village) กลายเป็นเมือง (polis) แล้วขยายเป็นเมืองใหญ่ (metropolis) กระทั่งขั้นสุดท้ายของการพัฒนา เมืองคือเมืองขนาดยักษ์ (megalopolis) ซึ่งมีโอกาสที่จะขยายไปเป็นเมืองที่บริหารแบบเผด็จการทรราช (tyranopolis) ก่อนที่จะล่มสลายกลายเป็นเมืองร้าง (necropolis) May เห็นว่าmegalopolis เปรียบได้กับ สังคมสารสนเทศในปัจจุบัน ที่ฉีกตัวเองออกจากแหล่งทรัพยากรรายรอบ แล้วขยายขอบเขตอานาจเหนือเส้น แบ่งเขตแดนไปเรื่อยๆ โดยใช้เครือข่ายการสื่อสารและกลายเป็น “เมืองระดับโลก” (global city) อย่างไรก็ ตาม หน่วยความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่มีขนาดใหญ่อย่าง megalopolis นั้น สามารถดาเนินไปได้ทั้งด้วยเทคนิค แบบประชาธิปไตยและแบบอานาจนิยม แต่ส่วนใหญ่จะมีแนวโน้มเป็นเทคนิคแบบอานาจนิยมเสียมากภายใต้ เทคนิคแบบอานาจนิยมนั้น การแบ่งงานกันทากลับกลายเป็นการลดทอนทักษะต่างๆ และทาลายภูมิปัญญา ของมนุษย์ให้หมดสิ้นไป นอกจากนี้ megalopolis ยังสามารถทาให้กิจกรรมการผลิตใน metropolis เข้มข้น ขึ้นไปอีก ด้วยการกระจายหน้าที่แบบที่ศูนย์กลางออกไปในพื้นที่ห่างไกล แต่ยังคงถูกควบคุมโดยอานาจ ศูนย์กลางใน metropolis ได้อยู่ โดยใช้เครื่องมือทางการสื่อสารอันทรงพลัง ซง่ึ ทาให้สามารถควบคุมพื้นที่ ห่างไกลได้ทั้งในเรื่องกิจกรรมทาง เศรษฐกิจและกิจกรรมทางวัฒนธรรมอีกด้วย กลายเป็นการดูดซับทรัพยากร จากพื้นที่ต่างๆเข้าสู่ศูนย์กลางได้อย่างเข้มข้นมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ทาลายความหลากหลายต่างๆที่รายรอบให้ หมดไปอีกด้วยใน megalopolis ทุกอย่างเป็นไปเพื่อตลาดทั้งสิ้น รวมทั้งข่าวสาร, ความรู้ และกิจกรรมทาง วัฒนธรรมอย่างการศึกษาและศิลปะ รวมทั้งทรัพยากรทางปัญญา ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการทาให้ทุนนิยมเข้มข้น มากขึ้น และ May เห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบหลักของสังคมสารสนเทศ อย่างไรก็ตาม การเกิดขึ้นของ การใช้อินเทอร์เน็ตแบบกระจายไปทั่วในการติดต่อสื่อสารกันเพื่อประสานขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมนั้น จัดได้ว่าเป็นหนทางที่น่าสนใจอย่างยิ่งในการทาให้ megalopolis ที่ดาเนินไปด้วยเทคนิคแบบอานาจนิยม ได้รับการสมดุลไว้ด้วยเทคนิคแบบประชาธิปไตยมากขึ้น
เทคโนโลยีกับผลกระทบทางสังคม
การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศจนสามารถนามาใช้ประโยชน์ได้อย่างกว่างขวาง กลายเป็นยุคแห่ง เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือยุคข้อมูลข่าวสาร ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษย์ชาติอย่าง มหาศาลนั้นหมายถึง ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตามย่อมมีผลกระทบต่อบุคคล องค์กร หรือสังคม ทั้งนี้ สามารถจาแนกผลกระทบทั้งทางบวกและผลกระทบทางลบของการ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศได้ดังนี้
-29-
ผลกระทบทางบวก
1. เพิ่มความสะดวกสบายในการสื่อสาร การบริการและการผลิต ชีวิตคนในสังคมได้รับความ สะดวกสบาย เช่น การติดต่อผ่านธนาคารด้วยระบบธนาคารที่บ้าน (Home Banking) การทางานที่บ้าน ติดต่อสื่อสารด้วยระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต การบันเทิงพักผ่อนด้วยระบบมัลติมีเดียที่บ้าน เป็นต้น
2. เป็นสังคมแห่งการสื่อสารเกิดสังคมโลกขึ้น โดยสามารถเอาชนะเรื่องระยะทาง เวลา และสถานที่ได้ ด้วยความเร็วในการติดต่อสื่อสารที่เป็นเครือข่ายความเร็วสูง และที่เป็นเครือข่ายแบบไร้สายทาให้มนุษย์แต่ละ คนในสังคมสามารถติดต่อถึงกันอย่างรวดเร็ว
3. มีระบบผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ในฐานข้อมูลความรู้ เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตในด้านที่เกี่ยวกับสุขภาพ และการแพทย์ แพทย์ที่อยู่ในชนบทก็สามารถวินิจฉัยโรคจากฐานข้อมูลความรู้ของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง การแพทย์ในสถาบันการแพทย์ที่มีชื่อเสียงได้ทั่วโลกหรือใช้วิธีปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในระบบทางไกลได้ด้วย
4. เทคโนโลยีสารสนเทศสร้างโอกาสให้คนพิการ หรือผู้ด้อยโอกาสจากการพิการทางร่างกาย เกิดการ สร้างผลิตภัณฑ์ช่วยเหลือคนพิการให้สามารถพัฒนาทักษะและความรู้ได้ เพื่อให้คนพิการเหล่านั้นสามารถ ช่วยเหลือตนเองได้ ผู้พิการจึงไม่ถูกทอดทิ้งให้เป็นภาวะของสังคม
5. พัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยเกิดการศึกษาในรูปแบบใหม่ กระตุ้นความสนใจแก่ผู้เรียน โดยใช้ คอมพิวเตอร์เป็นสื่อในการสอน (Computer-Assisted Instruction: CAI) และการ เรียนรู้โดยใช้คอมพิวเตอร์ (Computer-Assisted Learning: CAL) ทาให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในบทเรียนมากยิ่งขึ้น ไม่ซ้าซากจาเจ ผู้เรียนสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ด้วยระบบที่เป็นมัลติมีเดีย นอกจากนั้นยังมีบทบาทต่อการนามาใช้ในการ สอนทางไกล (Distance Learning) เพื่อผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษาในชนบทที่ห่างไกล
6. การทางานเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น กล่าวคือช่วยลดเวลาในการทางานให้น้อยลง แต่ได้ผลผลิต มากขึ้น เช่น การใช้โปรแกรมประมวลผลคา (Word Processing) เพื่อช่วยในการพิมพ์เอกสาร การใช้ คอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบงานลักษณะต่างๆ
7. ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากการบริโภคสิ้นค้าที่หลากหลายและมีคุณภาพดีขึ้น ความก้าวหน้าทาง เทคโนโลยี ทาให้รูปแบบของผลิตภัณฑ์มีความแปลกใหม่และหลากหลายมากยิ่งขึ้นผู้ผลิตผลิตสิ้นค้าที่มี คุณภาพ ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อได้ตามต้องการ และช่องทางทางการค้าก็มีให้เลือกมากขึ้น เช่น การเลือกซื้อ สินค้าทางอินเตอร์เน็ตและการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
-30-
ผลกระทบทางลบ
1. ก่อให้เกิดความเครียดขึ้นในสังคม เนื่องจากมนุษย์ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เคยทาอะไรอยู่ก็มักจะ ชอบทาอย่างนั้นไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง แต่เทคโนโลยีสารสนเทศเข้าไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กร บุคคล วิถีการดาเนินชีวิตและการทางาน ผู้ที่รับต่อการเปลี่ยนแปลงไม่ได้จึงเกิดความวิตกกังกลขึ้นจนกลายเป็น ความเครียด กลัวว่า เครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์ทาให้คนตกงาน การนาเอาเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาแทน มนุษย์ในโรงงานอุตสาหกรรมก็เพื่อลดต้นทุนการผลิต และผลิตภัณฑ์มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น จึงเป็นเหตุผลที่มีการ เปลี่ยนแปลงการทางานความ เปลี่ยนแปลงก่อให้เกิดความเครียด เกิดความทุกข์และความเดือดร้อนแก่ ครอบครัวติดตามมา การดาเนินธุรกิจในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ ก่อให้เกิดสภาวะการแข่งขันที่รุนแรง การ ทางานต้องรวดเร็ว เร่งรีบเพื่อชนะคู่แข่ง ต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วและถูกต้อง หากทาไม่ได้ก็จะทาให้ หน่วยงานหรือองค์กรต้องยุบเลิกไป เมื่อชีวิตของคนในสังคมเทคโนโลยีสารสนเทศต้องแข่งขัน ก็ย่อมก่อให้เกิด ความเครียดสูงขึ้น
2. ก่อให้เกิดการรับวัฒนธรรม หรือแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของคนในสังคมโลก การแพร่ของวัฒนธรรม จากสังคมหนึ่งไปสู่งสังคมอีกสังคมหนึ่งเป็นการสร้างค่านิยมใหม่ให้กับสังคมที่รับวัฒนธรรมนั้นซึ่งอาจก่อให้เกิด ค่านิยมที่ไม่พึ่งประสงค์ขึ้นในสังคมนั้น เช่น พฤติกรรมที่แสดงออกทางค่านิยมของเยาวชนด้านการแต่งกาย และการบริโภค การมอมเมาเยาวชนในรูปของเกมส์อิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาอารมณ์และ จิตใจของเยาวชน เกิดการกลืนวัฒนธรรมดังเดิมซึ่งแสดงถึงเอกลักษณ์ของสังคมนั้นๆ
3. ก่อให้เกิดผลด้านศีลธรรม การติดต่อสื่อสารที่รวดเร็วในระบบเครือข่ายก่อให้เกิดโลกไร้พรมแดน แต่ เมื่อพิจารณาศีลธรรมของแต่ละประเทศ พบว่ามีความแตกต่างกัน ประเทศต่างๆผู้คนอยู่ร่วมกันได้ด้วยจารีต ประเพณี และศีลธรรมดีงามของประเทศนั้นๆ การแพร่ภาพหรือข้อมูลข่าวสารที่ไม่ดีไปยังประเทศต่างๆ มี ผลกระทบต่อความรู้สึกของคนในประเทศนั้นๆที่นับถือศาสนาแตกต่างกัน และมีค่านิยมแตกต่างกัน ทาให้ เยาวชนรุ่นใหม่สับสนต่อค่านิยมที่ดีงามดั่งเดิม เกิดการลอกเลียนแบบ อยากรู้อยากเห็นสิ่งใหม่ๆ ที่ผิดศิลธรรม จนกลายเป็นสิ่งที่ถูกต้องในกลุ่มเยาวชน เมื่อเยาวชนปฏิบัติต่อๆ กันมาก็จะทาให้ศิลธรรมของประเทศนั้นๆ เสื่อมสลายลง
4. การมีสว่ นร่มของคนในสังคมลดน้อยลง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ทาให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว ในการสื่อสาร และการทางาน แต่ในอีกด้านหนึ่งการมีส่วนร่วมของกิจกรรมทางสังคมที่มีการพบปะสังรรค์กัน จะมีน้อยลง สังคมเริ่มห่างเหินจากกัน การใช้เทคโนโลยีสื่อสารทางไกลทาให้ทางานอยู่ที่บ้านหรือเกิดการศึกษา ทางไกล โดยไม่ต้องเดินทางมีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้ากับลูกน้อง ระหว่างครูกับนักเรียน ระหว่าง กลุ่มคนต่อกลุ่มคนในสังคมก่อให้เกิดช่องว่างทางสังคมขึ้น
-31-
5. การละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างไม่มีขีดจากัดย่อมส่งผลต่อการ ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล การนาเอาข้อมูลบางอย่างที่เกี่ยวกับบุคคลออกเผยแพร่ต่อสาธารณชน ซึ่งข้อมูล บางอย่างอาจไม่เป็นจริงหรือยังไม่ได้พิสูจน์ความถูกต้องออกสู่สาธารณชน ก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคล โดยไม่สามารถป้องกันตนเองได้ การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เช่นนี้ต้องมีกฎหมายออกมาให้ความคุ้มครองเพื่อให้ นาข้อมูลต่างๆ มาใช้ในทางที่ถูกต้อง
6. เกิดช่องว่างทางสังคม การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศจะเกี่ยวช้องกับการลงทุน ผู้ใช้จึงเป็นชนชั้นในอีก ระดับหนึ่งของสังคม ในขณะที่ชนชั้นระดับรองลงมามีอยู่จานวนมากกลับไม่มีโอกาสใช้ และผู้ที่ยากจนก็ไม่มี โอกาสรู้จักกับเทคโนโลยีสารสนเทศ ทาให้การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศไม่กระจายตัวเท่าที่ควร ก่อให้เกิด ช่องว่างทางสังคมระหว่างชนชั้นหนึ่งกับอีกชนชั้นหนึ่งมากยิ่งขึ้น
7. เกิดการต่อต้านเทคโนโลยี เมื่อเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบาทต่อการทางานมากขึ้น ระบบการ ทางานต่างๆ ก็เปลี่ยนแปลงไป มีการนาเอาคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้กันอย่างแพร่หลายในด้านต่างๆ เช่น ดา้ น การศึกษา การ สาธารณสุข เศรษฐกิจการค้า และธุรกิจอุตสาหกรรม รวมถึงกิจกรรมการดาเนินชีวิตด้านต่างๆ โดยที่ประชาชนของประเทศส่วนมากยังขาดความรู้ใจเรื่องของเทคโนโลยีสารสนเทศ เครือข่ายและ คอมพิวเตอร์จึงเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงอย่างมาก โดยเฉพาะในด้านการทางาน คนที่ทางานด้วยวิธีเก่าๆ ก็เกิดการ ต่อต้านการนาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เกิดความรู้สึกหวาดระแวงและวิตกกังวล เกรงกลัวว่าตนเองด้อย ประสิทธิภาพ จึงเกิดสภาวะของความรู้สึกต่อต้าน กลัวสูญเสียคุณค่าของชีวิตการทางาน สังคมรุ่นใหม่จะ ยอมรับในเรื่องของความรู้ความสามารถมากกว่ายอมรับวัยวุฒิ และประสบการณ์ในการทางานเหมืนเช่นเดิม
8. อาชญากรรมบนเครือข่าย ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศก่อให้เกิดปัญหาใหม่ๆ ขึ้น เช่น ปัญหาอาชญากรรม ตัวอย่างเช่น อาชญากรรมในรูปของการขโมยความลับ การขโมยข้อมูลสารสนเทศ การ ให้บริการ สารสนเทศที่มีการหลอกลวง รวมถึงการบ่อนทาลายข้อมูลที่มีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ ใน ระบบเครือข่าย เช่น ไวรัสเครือข่ายการแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จ ก่อให้เกิดการหลอกลวง และมีผลเสียติดตามมา ลักษณะของอาชญากรรมที่เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ที่รู้จักกันดีได้แก่ แฮกเกอร์ (Hacker) และแครกเกอร์ (Cracker) โดยเฉพาะแฮกเกอร์ คือ ผู้ที่มีความรู้ทางคอมพิวเตอร์ และเครือข่ายสามารถเข้าถึงข้อมูลของ หน่วยงานสาคัญๆ โดยเจาะผ่านระบบรักษาความปลอดภัย แต่ไม่ทาลายข้อมูล หรือหาประโยชน์จากการบุก รุกคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น แต่ก็ถือได้ว่าเป็นอาชญากรรมประเภทหนึ่งที่ไม่พึงประสงค์ ส่วนแครกเกอร์ คือ ผู้ซึ่ง กระทาการถอดรหัสผ่านข้อมูลต่างๆ เพื่อให้สามารถนาเอาโปรแกรมหรือข้อมูลต่างๆ มาใช้ใหม่ได้เป็นการ กระทาละเมิดลิขสิทธิ์ เป็นการลักลอกหรือเป็นอาชญากรรมประเภทหนึ่ง
9. ก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ นับตั้งแต่คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทในการทางาน การศึกษา บันเทิง ฯลฯ การจ้องมองคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ มีผลเสียต่อสายตาซึ่งทาให้สายตาผิดปกติ มีอาการแสบตา เวียน ศรีษะ นอกจากนั้นยังมีผลต่อสุขภาพจิต เกิดโรคทางจิตประสาท เช่น โรคคลั่งอินเตอร์เน็ต เป็นโรคที่เกิดขึ้นใน คนรุ่นใหม่ลักษณะ คือ แยกตัวออกจากสังคมและมีโลกส่วนตัว ไม่สนใจสภาพแวดล้อมก่อให้เกิดอาการป่วย
-32-
ทางจิตคลุ้มคลั่งสลับซึมเศร้า อีกโรคหนึ่ง คือ โรคคลั่งช้อปปิ้งทางอินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะการเสนอสินค้าทาง หน้าจอคอมพิวเตอร์ผ่านอินเตอร์เน็ตที่เรียกว่า พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ มีลูกค้าสนใจเข้าไปช้อปปิ้งดูสินค้าต่างๆ ทวีความรุ่นแรงมากยิ่งขึ้นจนเป็นที่สนใจของจิตแพทย์ นอกจากนั้นการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ก่อให้เกิดโรคอาร์เอสไอ (Repetitive Strain Injury : RSI) ซึ่งมีอาการบาดเจ็บเนื่องจากการใช้แป้นพิมพ์เป็น เวลานานๆ ทาให้เส้นประสาทรับความรู้สึกที่มือ และนิ้วเกิดบาดเจ็บขึ้นเมื่อใช้อวัยวะนั้นบ่อยครั้ง เส้นประสาท รับความรู้สึกเกิดเสียหายไม่รับความรู้สึกหรือรับน้อยลง ทั้งนี้ทั้งนั้นผลกระทบของไอทียังสามารถแบ่งออกได้ หลายด้าน ดังนี้
ด้านธุรกิจ
1. ไอทีมีส่วนช่วยในการตัดสินใจในธุรกิจที่สนใจได้ทันทีทันใด บนพื้นฐานของข้อมูลที่กาหนดให้
2. ไอทีช่วยให้ต้นทุนในการผลิตและการบริการลดลง
3. ลดการติดต่อสื่อสารผ่านคนกลาง โดยผู้ผลิตและผู้บริโภคสามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยตรงทาให้ลด
ขั้นตอนในการสื่อสารและทาให้เกิดความผิดพลาดน้อยลง
ด้านสื่อสารมวลชน
1. เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยให้การกระจายข่าวสารทาได้รวดเร็ว และ เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น
2. ด้วยรูปแบบที่หลากหลายของเทคโนโลยีสารสนเทศ ทาให้การกระจายข้อมูลหลายหลายขึ้น อีกทั้ง ยังให้ข้อมูลมีความน่าสนใจมากขึ้นอีด้วย
ด้านโครงสร้างทางสังคม
1. ทาให้องค์กรเข้าถึงมวลชนได้ง่ายขึ้นทาให้สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายเข้าถึงกันได้มากขึ้น
2. ทาให้ประชาชนมีอานาจในการต่อรองกับรัฐมากขึ้น เพราะทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่าย ทาให้ทราบความเลื่อนไหวที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ด้านวัฒนธรรมและการศึกษา
1. เกิดการแพร่หลายทางวัฒนธรรมที่มาจากต่างถิ่น เพราะทุกคนสามารถเสาะหาข้อมูลเหล่านี้ได้ง่าย จากเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีอยู่ในปัจจุบัน
2. ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยตรงด้วยตัวเอง และทันทีทันได้ที่ต้องการเรียนรู้
3. ทาให้เกิดการเรียนรู้ด้านภาษา และเปน็ สิ่งจาเป็นที่ทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จากมัน
-33-
สรุป
เทคโนโลยีกับการพัฒนาสังคมเป็นการพัฒนาที่มีความหมายครอบคลุมกว้าง และเกี่ยวข้องกับศักยภาพ ของมนุษย์ในการสร้างสรรค์สังคม เป็นเรื่องของความใฝ่ฝัน ความคิดและการตื่นตัวของมนุษย์ ในการตระหนัก ถึงสภาพปัญหาของสังคม และต้องการแก้ปัญหาที่มนุษย์ประสบอย่างสร้างสรรค์ โดยนัยนี้ การพัฒนาสังคมจึง เกี่ยวพันกับมิติต่างๆ ของความเป็นอยู่และการดาเนินชีวิตของมนุษย์ ทั้งความเชื่อ ทัศนคติ ค่านิยม อุดมการณ์ จารีตขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม กฎระเบียบ บรรทัดฐานทางวัฒนธรรม ความรู้ การศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่าง คน สถาบันเศรษฐกิจการเมือง ตลอดไปจนถึงศาสนาและจิตวิญญาณ แนวคิดว่าด้วยการ พัฒนามีกาเนิดมาจากโลกตะวันตก โดยเริ่มจากแนวคิดที่ให้ความสาคัญกับ การขยายตัวหรือการเติบโตทาง เศรษฐกิจ และต่อมาได้แพร่ขยายไปมีอิทธิพลครอบงาการกาหนดนโยบายในประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะ ลักษณะความสัมพันธ์ของสังคมมนุษย์ผ่านเทคโนโลยีมีลักษณะความสัมพันธ์ 2 ลักษณะคือ ความสัมพันธ์ผ่าน เทคนิคแบบอานาจนิยม และความสัมพันธ์ผ่านเทคนิคแบบประชาธิปไตย ตลอดจนผลกระทบจากเทคโนโลยี ต่อสังคมด้านต่างๆเช่น ด้านธุรกิจ ด้านสื่อสารมวลชน ด้านโครงสร้างทางสังคม ด้านการศึกษาและวัฒนธรรม เป็นต้น
คาถามท้ายบท
1. ท่านมีความเข้าใจกับคาว่า “การพัฒนาสังคม” ว่าอย่างไร (จงอธิบาย)
2. การพัฒนาสังคม ตามแนวคิดของ มัมฟอร์ด มีลักษณะการพัฒนาผ่านเทคนิคด้านใดบ้าง 3. ตามแนวคิดของ มัมฟอร์ด การพัฒนาสังคมสารสนเทศ มีกี่แนวโน้มอะไรบ้าง
4. ผลกระทบจากเทคโนโลยีสารสนเทศในด้านลบมีอะไรบ้างจงบอกมา 3 ดา้ น
5. ผลกระทบจากเทคโนโลยีสารสนเทศในด้านบวกมีอะไรบ้างจงบอกมา 3 ดา้ น
-34-
บทที่ 4
เทคโนโลยีกับการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ความหมายของทรัพยากรธรรมชาติ
ทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติซึ่งมนุษย์สามารถนามาใช้ประโยชน์ในการ ดารงชีวิตและสนองต่อความต้องการของมนุษย์ได้ ไดแ้ ก่ น้า ป่าไม้ สัตว์ป่า อากาศ แร่ธาตุ แสงอาทิตย์ มนุษย์ เป็นต้น (ราตรี ภารา. 2538)
ทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง สรรพสิ่งทั้งหลายที่ได้สรรค์สร้างไว้ซึ่งมนุษย์สามารถหยิบฉวยมาใช้ ประโยชน์ในการดารงชีวิตได้ (วิชัย เทียนน้อย. 2539)
ทรัพยากรธรรมชาติหมายถึงสิ่งที่เกิดขนึ้เองตามธรรมชาติและเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ไม่ทางใดก็ทาง หนึ่ง (เกษม จันทร์แกว้ .2540)
จากความหมายของทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมดที่กล่าวมาสามารถสรุปได้ดังนี้คือ หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้น เองตามธรรมชาติ ที่มนุษย์สามารถนามาใช้ประโยชน์ได้ เพื่อสนองตอบความต้องการของมนุษย์ได้ ดังเช่น ดนิ น้า ป่าไม้ อากาศ แสงแดด แร่ธาตุ ก๊าซธรรมชาติ น้ามัน ป่าไม้ สัตว์ป่า รวมถึงมนุษย์ด้วย (คณาจารย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร.2550)
ประเภทของทรัพยากรธรรมชาติ
กรมสง่เสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมแบง่ประเภทของทรัพยากรธรรมชาติไว้เป็น3ประเภทคือทรัพยากรที่ มีใช้ตลอดไป ทรัพยากรที่เกิดใหม่ทดแทนได้ และทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1. ทรัพยากรที่มีใช้ตลอดไป (non-exhausting natural resource) เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มี ความจาเป็นต่อการดารงชีวิตของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ มีปริมาณมากกว่าความต้องการที่มนุษย์นามาใช้ ประโยชน์ แตถ่ ้าหากนามาใช้ผิดวิธีหรือขาดการบารุงรักษาก็จะทาให้คุณภาพของทรัพยากรธรรมชาติเหล่านั้น เปลี่ยนไปซงึ่ มีคุณสมบัติไม่เหมาะที่จะนามาใช้ได้อีก เช่น อากาศ เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือ และปรากฏกระจัดกระจายครอบคลุมพื้นที่ทุกส่วนของโลก เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่จาเป็นต่อการดารงชีวิต นอกจากนี้อากาศยังมีความสาคัญตอ่ พืชพรรณธรรมชาติ เป็นส่วนประกอบที่สาคัญของดิน เป็นต้น สาหรับน้า ในอุทกวัฏจักร จะมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนตลอดเวลา โดยอาศัยพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ มีปริมาณ มากเกินกว่าที่มนุษย์จะนามาใช้ไดห้มด
-35-
ภาพที่ 4.1 แสดงทรัพยากรธรรมชาติ http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m6-3/no37/chiangmai/ sec04p05.htm
2. ทรัพยากรที่เกิดใหม่ทดแทนได้ (renewable natural resource) เป็นทรัพยากรที่มนุษย์นามาใช้ สามารถเกิดขึ้นทดแทนได้ ซึ่งการทดแทนอาจใช้เวลาสั้น ๆ หรือยาวนานก็ได้ ทรัพยากรประเภทนี้ ปรากฏอยู่ บางแหง่ ระหว่างผิวโลก เป็นทรัพยากรที่เกี่ยวข้องและมีความสาคัญต่อการดารงชีวิตของมนุษย์ทั้งทางตรงและ ทางอ้อม ถ้าหากมีการรักษาอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการแล้ว ทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้สามารถคงอยู่และ มนุษย์จะมีใช้ไดต้ลอดไปดังเช่น
1) ดนิ เป็นทรัพยากรธรรมชาติซึ่งมีความสาคัญกับวิถีในการดารงชีวิตของมนุษย์เพราะดินเป็นบ่อเกิด ของปัจจัยสี่แมว้่าดินจะมีอยู่อย่างกว้างขวางแตคุ่ณสมบัติที่เหมาะสมต่อการที่จะนามาใช้เพื่อการเพาะปลูก แตกต่างกัน การที่มนุษย์ใช้ประโยชน์จากดินติดต่อกันเป็นเวลานานโดยปราศจากการบารุงรักษาจะทาให้ คุณภาพของดินเสื่อมโทรมได้
-36-
ภาพที่ 4.2 แสดงภาพดิน http://news.giggog.com/322284
2) ป่าไม้ เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถบารุงรักษาให้คงสภาพเดิมต่อไปได้ แมแ้ ตป่ ่าที่เสื่อมโทรม แล้วยังสามารถปรับปรุงให้กลายเป็นป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ได้อีก แตต่ ้องอาศัยเวลานาน
ภาพที่ 4.2 แสดงทรัพยากรป่าไม้ http://www.tlcthai.com/education/knowledge- online/15205.html
ประเภทของป่าไม้ในประเทศไทย
ประเภทของป่าไม้จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการกระจายของฝน ระยะเวลาที่ฝนตกรวมทั้งปริมาณ น้าฝนทาให้ป่าแต่ละแห่งมีความชุ่มชื้นต่างกัน สามารถจาแนกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
-37-
ภาพที่ 4.2 แสดงป่าไม่ผลัดใบ
1. ป่าประเภทที่ไม่ผลัดใบ (Evergreen) ป่าประเภทนี้มองดูเขียวชอุ่มตลอดปี เนื่องจากต้นไม้แทบ
ทั้งหมดที่ขึ้นอยู่เป็นประเภทที่ไม่ผลัดใบ ป่าชนิดสาคัญซึ่งจัดอยู่ในประเภท นี้ ได้แก่
1.1 ป่าดงดิบ (Tropical Evergreen Forest or Rain Forest) ป่าดงดิบที่มีอยู่ทั่วในทุกภาคของ ประเทศ แต่ที่มีมากที่สุด ได้แก่ ภาคใต้และภาคตะวันออก ในบริเวณนี้มีฝนตกมากและมีความชื้นมากในท้องที่ ภาคอื่น ป่าดงดิบมักกระจายอยู่บริเวณที่มีความชุ่มชื้นมาก ๆ เช่น ตามหุบเขาริมแม่น้าลาธาร ห้วย แหล่งน้า และบนภูเขา ซึ่งสามารถแยกออกเป็นป่าดงดิบชนิดต่าง ๆ ดังนี้
– ป่าดิบชื้น (Moist Evergreen Forest) เป็นป่ารกทึบมองดูเขียวชอุ่มตลอดปีมีพันธุ์ไม้หลายร้อย ชนิดขึ้นเบียดเสียดกันอยู่มักจะพบกระจัดกระจายตั้งแต่ความสูง600 เมตร จากระดับน้าทะเล ไม้ที่สาคัญก็คือ ไม้ตระกูลยางต่าง ๆ เช่น ยางนา ยางเสียน ส่วนไม้ชั้นรอง คือ พวกไม้กอ เช่น กอน้า กอเดือย
– ป่าดิบแล้ง (Dry Evergreen Forest) เป็นป่าที่อยู่ในพื้นที่ค่อนข้างราบมีความชุ่มชื้นน้อย เช่น ใน
แถบภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมักอยู่สูงจากระดับน้าทะเลประมาณ 300-600 เมตร ไม้ที่สาคัญ ได้แก่ มะคาโมง ยางนา พยอม ตะเคียน แดง กระเบากลัก และตาเสือ
– ป่าดิบเขา (Hill Evergreen Forest) ป่าชนิดนี้เกิดขึ้นในพื้นที่สูง ๆ หรือบนภูเขาตั้งแต่ 1,000- 1,200 เมตร ขึ้นไปจากระดับน้าทะเล ไม้ส่วนมากเป็นพวก Gymonosperm ได้แก่ พวกไม้ขุนและสนสามพัน ปี นอกจากนี้ยังมีไม้ตระกูลกอขึ้นอยู่ พวกไม้ชั้นที่สองรองลงมา ได้แก่ เป้งสะเดาช้างและขมิ้นต้น
1.2 ป่าสนเขา (Pine Forest) ป่าสนเขามักปรากฎอยู่ตามภูเขาสูงส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ซึ่งมีความสูง ประมาณ 200-1800 เมตร ขึ้นไปจากระดับน้าทะเลในภาคเหนือภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บาง ทีอาจปรากฎในพื้นที่สูง 200-300 เมตร จากระดับน้าทะเลในภาคตะวันออกเฉียงใต้ ป่าสนเขามีลักษณะเป็น ป่าโปร่งชนิดพันธุ์ไม้ที่สาคัญของป่าชนิดนี้คือ สนสองใบ และสนสามใบ ส่วนไม้ชนิดอื่นที่ขึ้นอยู่ด้วยได้แก่พันธุ์ ไม้ป่าดิบเขา เช่น กอชนิดต่าง ๆ หรือพันธุ์ไม้ป่าแดงบางชนิด คือ เต็ง รัง เหียง พลวง เป็นต้น
-38-
1.3 ป่าชายเลน (Mangrove Forest) บางทีเรียกว่า “ป่าเลนน้าเค็ม”หรือป่าเลน มีต้นไม้ขึ้น หนาแน่นแต่ละชนิดมีรากค้ายันและรากหายใจ ป่าชนิดนี้ปรากฎอยู่ตามที่ดินเลนริมทะเลหรือบริเวณปากน้า แม่น้าใหญ่ ๆ ซึ่งมีน้าเค็มท่วมถึงในพื้นที่ภาคใต้มีอยู่ตามชายฝั่งทะเลทั้งสองด้าน ตามชายทะเลภาคตะวันออกมี อยู่ทุกจังหวัดแต่ที่มากที่สุดคือ บริเวณปากน้าเวฬุ อาเภอลุง จังหวัดจันทบุรี พันธุ์ไม้ที่ขึ้นอยู่ตามป่าชายเลน ส่วนมากเป็นพันธุ์ไม้ขนาดเล็กใช้ประโยชน์สาหรับการเผาถ่านและทาฟืนไม้ชนิดที่สาคัญ คือ โกงกาง ประสัก ถั่วขาว ถั่วขา โปรงตะบูน แสมทะเล ลาพูนและลาแพน ฯลฯ ส่วนไม้พื้นล่างมักเป็นพวก ปรงทะเลเหงือกปลาย
หมอ ปอทะเล และเป้ง เป็นต้น
1.4 ป่าพรุหรือป่าบึงน้าจืด (Swamp Forest) ป่าชนิดนี้มักปรากฎในบริเวณที่มีน้าจืดท่วมมาก ดิน ระบายน้าไม่ดีป่าพรุในภาคกลาง มีลักษณะโปร่งและมีต้นไม้ขึ้นอยู่ห่างๆ เช่น ครอเทียน สนุ่น จิก โมก บ้าน หวายน้า หวายโปร่ง ระกา อ้อ และแขม ในภาคใต้ป่าพรุมีขึ้นอยู่ตามบริเวณที่มีน้าขังตลอดปีดินป่าพรุที่มีเนื้อที่ มากที่สุดอยู่ในบริเวณจังหวัดนราธิวาสดินเป็นพีท ซึ่งเป็นซากพืชผุสลายทับถมกัน เป็นเวลานานป่าพรุแบ่งออก ได้ 2 ลักษณะ คือ ตามบริเวณซึ่งเป็นพรุน้ากร่อยใกล้ชายทะเลต้นเสม็ดจะขึ้นอยู่หนาแน่นพื้นที่มีต้นกกชนิด ต่างๆ เรียก “ป่าพรุเสม็ด หรือ ป่าเสม็ด” อีกลักษณะเป็นป่าที่มีพันธุ์ไม้ต่าง ๆ มากชนิดขึ้นปะปนกันชนิดพันธุ์ไม้ ที่สาคัญของป่าพรุ ได้แก่ อินทนิล น้าหว้า จิก โสกน้า กระทุ่มน้า กันเกรา โงงงันกะทั่งหัน ไม้พื้นล่าง ประกอบด้วย หวาย ตะค้าทอง หมากแดง และหมากชนิดอื่นๆ
1.5 ป่าชายหาด (Beach Forest) เป็นป่าโปร่งไม่ผลัดใบขึ้นอยู่ตามบริเวณหาดชายทะเล น้าไม่ ท่วมตามฝั่งดินและชายเขาริมทะเล ต้นไม้สาคัญที่ขึ้นอยู่ตามหาดชายทะเล ต้องเป็นพืชทนเค็ม และมักมี ลักษณะไม้เป็นพุ่มลักษณะต้นคดงอ ใบหนาแข็ง ได้แก่ สนทะเล หูกวาง โพธิ์ทะเล กระทิง ตีนเป็ดทะเล หยี น้า มักมีต้นเตยและหญ้าต่าง ๆ ขึ้นอยู่เป็นไม้พื้นล่าง ตามฝั่งดินและชายเขา มักพบไม้เกตลาบิด มะคา
แต้ กระบองเพชร เสมา และไม้หนามชนิดต่าง ๆ เช่น ซงิ ซ่ี หนามหัน กาจายมะดันขอ เป็นต้น
ภาพที่ 4.3 แสดงป่าไม้ผลัดใบ
-39-
2.ป่าประเภทที่ผลัดใบ (Declduous) ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ในป่าประเภทนี้เป็นจาพวกผลัดใบแทบทั้งสิ้น ใน ฤดูฝนป่าประเภทนี้จะมองดูเขียวชอุ่มพอถึงฤดูแล้งต้นไม้ส่วนใหญ่จะพากันผลัดใบทาให้ป่ามองดูโปร่งขึ้น และ มักจะเกิดไฟป่าเผาไหม้ใบไม้และต้นไม้เล็ก ๆ ป่าชนิดสาคัญซึ่งอยู่ในประเภทนี้ ได้แก่
2.1 ป่าเบญจพรรณ (Mixed Declduous Forest) ป่าผลัดใบผสม หรือป่าเบญจพรรณมีลักษณะเป็นป่า โปร่งและยังมีไม้ไผ่ชนิดต่าง ๆ ขึ้นอยู่กระจัดกระจายทั่วไปพื้นที่ดินมักเป็นดินร่วนปนทราย ป่าเบญจพรรณ ใน
ภาคเหนือมักจะมีไม้สักขึ้นปะปนอยู่ทั่วไปครอบคลุมลงมาถึงจังหวัดกาญจนบุรี ในภาคกลางในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก มีป่าเบญจพรรณน้อยมากและกระจัดกระจาย พันธุ์ไม้ชนิดสาคัญ ได้แก่ สัก ประดู่แดง มะค่าโมง ตะแบก เสลา อ้อยช้าง ส้าน ยมหอม ยมหิน มะเกลือ สมพง เก็ดดา เก็ด แดง ฯลฯ นอกจากนี้มีไม้ไผ่ที่สาคัญ เช่น ไผ่ป่า ไผ่บง ไผ่ซาง ไผ่รวก ไผ่ไร เป็นต้น
2.2 ป่าเต็งรัง (Declduous Dipterocarp Forest) หรือที่เรียกกันว่าป่าแดง ป่าแพะ ป่าโคก ลักษณะ ทั่วไปเป็นป่าโปร่ง ตามพื้นป่ามักจะมีโจด ต้นแปรง และหญ้าเพ็ก พื้นที่แห้งแล้งดินร่วนปนทราย หรือ
กรวด ลูกรัง พบอยู่ทั่วไปในที่ราบและที่ภูเขา ในภาคเหนือส่วนมากขึ้นอยู่บนเขาที่มีดินตื้นและแห้งแล้งมากใน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีป่าแดงหรือป่าเต็งรังนี้มากที่สุด ตามเนินเขาหรือที่ราบดินทรายชนิดพันธุ์ไม้ที่ สาคัญในป่าแดง หรือป่าเต็งรัง ได้แก่ เต็ง รัง เหียง พลวง กราดพะยอม ตว้ิ แต้ว มะค่าแต ประดู่ แดง สมอ ไทย ตะแบก เลือดแสลงใจ รกฟ้า ฯลฯ ส่วนไม้พื้นล่างที่พบมาก ได้แก่ มะพร้าวเต่า ปุ่มแป้ง หญ้าเพ็ก โจด ปรง และหญ้าชนิดอื่น ๆ
2.3 ป่าหญ้า (Savannas Forest) ป่าหญ้าที่อยู่ทุกภาคบริเวณป่าที่ถูกแผ้วถางทาลายบริเวณพื้นดินที่ ขาดความสมบูรณ์และถูกทอดทิ้ง หญ้าชนิดต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นทดแทนและพอถึงหน้าแล้งก็เกิดไฟไหม้ทาให้ ต้นไม้บริเวณข้างเคียงล้มตาย พื้นที่ป่าหญ้าจึงขยายมากขึ้นทุกปี พืชที่พบมากที่สุดในป่าหญ้าก็คือ หญ้า
คา หญ้าขนตาช้าง หญ้าโขมง หญ้าเพ็กและปุ่มแป้ง บริเวณที่พอจะมีความชื้นอยู่บ้าง และการระบายน้าได้ดีก็ มักจะพบพงและแขมขึ้นอยู่ และอาจพบต้นไม้ทนไฟขึ้นอยู่เช่น ตบั เตา่ รกฟ้าตานเหลือ ติ้วและแต้ว http://wiki.stjohn.ac.th/groups/poly_ordinarycourse1/wiki/d6308/_5.html
3.สัตว์ปา่ เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มนุษย์ได้พึ่งพาอาศัยเพื่อการดารงชีพมาเป็นเวลานานปริมาณ สัตว์ป่าจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการกระทาของมนุษย์เป็นสาคัญคือถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า การเพิ่มปริมาณ สัตว์ป่าสามารถจะเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลาไม่มากนัก
-40-
ภาพที่ 4.4 แสดงภาพสัตว์ป่า http://chm.forest.go.th/th/?page_id=5&paged=23
4. มนุษย์เป็นทรัพยากรที่ใช้พลังงาน สติปัญญาในการสร้างสรรคใ์ ห้แก่มนุษย์ดว้ ยกัน นาผลผลิตและ สิ่งใหม่ๆ มาใช้ประโยชน์ในการดาเนินชีวิตเพราะมนุษย์จะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ดังนั้นมนุษย์จึงจาเป็นต้องพึ่งพา อาศยั กัน การที่มนุษย์ใช้พลังงานมาก ๆ ต่อเนื่องกันเป็นเวลานานโดยไม้ได้พักผ่อน อาจทาให้งานออกมาไม่มี ประสิทธิภาพ ฉะนั้นจึงต้องมีการพักผ่อนอย่างเพียงพอ กาลังงานมนุษย์ ก็สามารถนามาใช้ไดอ้ ีก
ภาพที่ 4.4 แสดงภาพการดาเนินชีวิตของมนุษย์ http://news.hatyaiok.com/?p=86293
5. ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วหมดไป (exhausting natural resource) เป็นทรัพยากรที่ใช้แล้ว สิ้นเปลืองและจะหมดไปในที่สุดเมื่อหมดแล้วไมส่ ามารถทดแทนได้บางชนิดอาจดัดแปลงหรือนากลับมาใช้ใหม่ ได้ เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มนุษย์นาไปใช้สนองความต้องการด้านปัจจัยสี่ทั้งทางตรงและทางอ้อม ถ้าขาด
-41-
ทรัพยากรนี้มนุษย์สามารถดารงชีวิตอยู่ได้ เช่น แร่ธาตุและพลังงาน เป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วสิ้นเปลืองเกิดขึ้นเอง ตามธรรมชาติ ภายใตพ้ ิภพ แตต่ อ้ งอาศัยระยะเวลายาวนาน และมีปริมาณจากัด หากมนุษย์นาไปใช้อย่าง
ฟมุ่ เฟือยในปริมาณมากจะทาให้ทรัพยากรเหล่านี้ลดจานวนลงและหมดไปในที่สุด เพราะฉะนั้นจึงต้องจาเป็น ใช้ทรัพยากรธรรมชาติประเภทนี้อย่างประหยัดและระมัดระวัง
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าทรัพยากรธรรมชาติทั้งสามประเภทนั้นมีความจาเป็นต่อการดารงชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่ เริ่มชีวิต ตลอดเวลาที่ดารงชีวิตและจนถึงวันตาย แต่สิ่งที่เหมือนกันในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติแต่ละประเภท คือ จะตอ้ งใช้อย่างระมัดระวังและมีจิตสานึกเสมอเพื่อให้ทรัพยากรเหล่านี้สามารถใช้และเอื้อประโยชน์ต่อ มนุษย์ได้ตลอดไป และเมื่อใช้แล้วย่อมไม่ให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติอื่น
ภาพที่ 4.5 แสดงภาพทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วหมดไป http://www.vcharkarn.com/electric/article/view.php?id=42618
ความหมายของสิ่งแวดล้อม
พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแหง่ ชาติ พ.ศ. 2535 ให้ความหมายของ สิ่งแวดล้อมไว้ในมาตรา 4 ว่า หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่มีลักษณะทางกายภาพและชีวภาพ ที่อยู่รอบตัวมนุษย์ซึ่ง เกิดขึ้นโดยธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์ได้ทาขึ้น
เกษมจันทร์แกว้ (2543)ไดใ้ห้ความหมายของสิ่งแวดล้อมว่าหมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือ มนุษย์สร้างขึ้นสิ่งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมสิ่งที่เห็นได้ด้วยตาและที่ไมส่ามารถเห็นได้ด้วยตาสิ่งที่เป็นทั้งที่ ให้คุณและให้โทษ
ดังนั้นความหมายของสิ่งแวดล้อมจึงหมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวมนุษย์ทั้งสิ่งมีชีวิตและไม้มีชีวิต สิ่งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมที่มีอิทธิพลเกี่ยวโยงกัน เป็นปัจจัยในการเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน และเป็นวงจร และวัฎจักรที่เกี่ยวโยงไปทั้งระบบ (คณาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร.2550)
-42-
ประเภทของสิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมจาแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์ สร้างขึ้น
1. สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ (natural environment) หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเอง ตามธรรมชาติ เช่น ดนิ น้า ปา่ ไม้ สัตว์ อากาศ ภูเขา แมน่ ้า เป็นต้น มีอิทธิพลกับการดาเนินชีวิตของมนุษย์เป็น อย่างมาก และมีความเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ
1.1 สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ หรือสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีชีวิต (abiotic environment) หมายถึงสิ่งที่ เกิดขึ้นโดยธรรมชาติรอบ ๆ ตัวเรา อาจมองเห็นหรือไม่สามารถมองเห็นได้ ดังที่ วิชัย เทียนน้อย (2539) ยกตัวอยา่ งไว้ว่า ลักษณะภูมิประเทศ เป็นแบบหรือลักษณะรูปร่างของเปลือกโลกซึ่งมีรูปพรรณสัณฐานที่ แตกต่างกันออกไป ไดแ้ ก่ ที่ราบ ที่ราบสูง ภูเขา และเนินเขา ดินดอนสามเหลี่ยมปากน้า เกาะ ลุ่มน้า และเนิน ตะกอนรูปพัดเป็นต้นลักษณะภูมิอากาศเป็นสภาพของลมฟา้อากาศที่เกิดขึ้นในท้องที่ใดท้องที่หนึ่งติดต่อกัน เป็นเวลานาน ประกอบด้วยอุณหภูมิ ความกดอากาศ ลม หยดน้า และพายุ
1.2 สิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ (biotic environment) เป็นสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและ เป็นสิ่งมีชีวิต มีสมบัติเฉพาะตัวได้แก่ พืช สัตว์ มนุษย์ ประกอบไปดว้ ยสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กไปจนถึงระดับชีวิต ขนาดใหญ่ เป็นต้น
2. สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น (man-made environment) หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์สร้างขึ้น อาจเป็นสิ่งที่สร้างขึ้น ให้เห็นได้ จบั ต้องได้ และอาจมองไม่เห็นก็ได้ เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อสนองต่อความ ต้องการของตนเองทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมซึ่งอาจเกิดโดยมนุษย์ไม่ตั้งใจก็ไดส้ิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น แบง่ออกเป็น2ประเภทคือ
2.1 สิ่งแวดล้อมที่เป็นรูปธรรม (concret environment) เป็นสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น สามารถ มองเห็นได้ สร้างขึ้นเพื่ออานายความสะดวกในการมีชีวิตอยู่ บางอย่างก็จาเป็น บางอย่างก็ฟุ่มเฟือย เช่น บ้านเรือน ถนน สะพาน รถยนต์ เครื่องบิน วัด พื้นที่เพาะปลูก เขื่อน ศูนย์การค้า โรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น
2.2 สิ่งแวดล้อมที่เป็นนามธรรม (abstract environment) หรือ สิ่งแวดล้อมทางสังคม หมายถึง สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้นมาทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจเป็นสิ่งแวดล้อมที่ไมม่ีตัวตนไม่มีรูปร่างเป็นการสร้าง เพื่อความเป็นระเบียบของการอยู่รว่ มกันในสังคม เช่น วัฒนธรรม ประเพณี ศาสนา กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ลัทธิการเมือง ระบบเศรษฐกิจ ความเชื่อ เป็นต้น
-43-
ส่ิงแวดล้อม
ส่ิงแวดล้อมที่เกิดขึ้น สิ่งแวดล้อมที่มนษุย์
ตามธรรมชาติ
สร้างขึ้น
ส่ิงแวดล้อมทาง กายภาพ
สิ่งแวดล้อมทาง ชีวภาพ
สิ่งแวดล้อมที่เป็น รูปธรรม
สิ่งแวดล้อมที่เป็น นามธรรม
ภาพที่ 4.6 แสดงแผนภาพแสดงประเภทของสิ่งแวดล้อม สมบัติของส่ิงแวดล้อม (Environmental Properties)
สมบัติของสิ่งแวดล้อม เป็นโครงสร้างที่อยู่ในส่ิงแวดล้อม เกษม จันทร์แก้ว (2543) กลา่ วว่า สมบัติทาง สิ่งแวดล้อมมีศักยภาพและการแสดงออกของบทบาท ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แล้วยอ่ มไม่ก่อให้เกิดปัญหา ต่อส่ิงแวดล้อมน้ัน ซ่ึงมีรายละเอียดโดยสรุปดังนี้
1. ส่ิงแวดล้อมทุกชนิดมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม เอกลักษณ์ของสิ่งแวดล้อม แตล่ ะ ชนิดจะควบคุมเฉพาะตัว เอกลักษณ์ที่แสดงออกมาน้ันสามารถแบ่งออกได้ว่าเป็นอะไร เช่น ต้นไม้ น้า ดนิ มนุษย์ สัตว์ วิถีชีวิต
2. สิ่งแวดล้อมไม่อยู่โดดเดี่ยวในธรรมชาติแต่จะมีสิ่งแวดล้อมอ่ืนอยู่ดว้ ยเสมอ เช่น มนุษย์กับที่อยู่อาศัย ป่าไมต้ ้องการดินและน้า ปลาต้องการน้า มนุษย์กับสังคม ฯลฯ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างจะมีสิ่งแวดล้อมมากมาย หลายอยา่ ง
3. สิ่งแวดล้อมประเภทหน่ึงต้องการส่ิงแวดล้อมอื่นเสมอ อาจต้องการบางส่วนหรือทั้งหมดไปสร้าง พฤติกรรมร่วมกับตน เช่น ปลาต้องการน้า สัตว์ต้องการป่า ต้นไม้ต้องการดินและน้า เพราะสิ่งแวดล้อมทุกชนิด ต้องการสิ่งแวดล้อมอื่นๆ เพื่อให้ดารงชีวิตหรือดารงสภาพต่อไป
4. ส่ิงแวดล้อมจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ซึ่งการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเรียกว่าเป็นระบบนิเวศ หรือระบบ สิ่งแวดล้อม ในระบบนิเวศนั้นจะมีสิ่งแวดล้อมท่ีหลากหลายต่างทาหนา้ ท่ีเฉพาะและมักจะมีกลไกควบคุมเพ่ือให้ การดาเนินกระบวนการต่างๆ ไดอ้ ย่างสมดุล
-44-
5.สิ่งแวดล้อมทั้งหลายมักมีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์ต่อกันและกันเป็นลูกโซ่เช่นมนษุย์ตอ้งการข้าว เพื่อบริโ ภ ค ดินต้ องการน้ า เพื่ อการสร้ างสารล ะลาย และแล กเปลี่ยนป ระจุเมื่ อรา กพืช ดูดซั บน้า ธ าตุอาหารเห ล า นั้นก็จะถูกใช้เพื่อการเจริญเติบโต ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมหนึ่งแล้วย่อมจะส่งผลต่ออีกสิ่งแวดล้อม หนึ่งหรือสิ่งแวดล้อมอื่นๆ เป็นลูกโซ่ตามมา
6.สิ่งแวดล้อมมีความเปราะบางแข็งแกรง่ และทนทานแตกต่างกันความทนทานหรือความเปราะบาง ของสิ่งแวดล้อมจะมีปัจจัยควบคุมไดแ้ก่คุณลักษณะเฉพาะสถานที่เกิดขนาดรูปทรงอายุ/เวลาสีความเป็น เนื้อเดียว ฯลฯ เช่น ดินในที่ราบมักถูกชะล้างหรือการกร่อนน้อยกว่าดินในพื้นที่ มีความลาดชัน สิ่งแวดล้อมที่มี หลายบทบาทหน้าที่มักมีความเปราะบางกว่าสิ่งแวดล้อมที่มีบทบาทหน้าทนี่ ้อยกว่า
7. สิ่งแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงนั้นอาจเป็นรวดเร็ว อีกชนิดหนึ่งคอ่ ยเป็น ค่อยไปแบบชั่วคราวหรืออาจเป็นถาวรก็ได้ กลไกสิ่งแวดล้อมจึงมชี ีวิต เช่น เมืองจะค่อยๆ เติบโตขึ้นเป็นเมือง ใหญ่
มิติสิ่งแวดล้อม (Environmental Dimension)
เกษมจันทร์แกว้ (2543)อธิบายความหมายและรายละเอียดเกี่ยวกับมิติสิ่งแวดล้อมดังนี้มิติ (dimension)คือขนาดหรือสิ่งที่วัดได้ซึ่งในการมองสิ่งแวดล้อมใหเ้ป็นมติินั้นเป็นพื้นฐานในการนาไปสู่การให้ จานวนต่อสิ่งแวดล้อมซง่ึ ต้องเป็นโครงสร้างของสิ่งแวดล้อมที่เป็นตัวแสดงมิติสามารถวัดขนาดได้การ เปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง จะตอ้ งสามารถให้ขนาดของการเปลี่ยนแปลงนั้น อีกทั้งต้องบอกให้ไดว้ ่าโครงสร้าง ที่ปรากฏในปัจจุบัน แตกต่างจากภาวะธรรมชาติหรือคามาตรฐานอย่างไร ซึ่งจะนาไปสู่การประเมินสถานภาพ และศักยภาพสิ่งแวดล้อมได้ มิติสิ่งแวดล้อมสามารถแบ่งได้ 4 มิติดังนี้
1. มิติทางทรัพยากร คือ โครงสร้างของสิ่งแวดล้อมที่แสดงบทบาท หน้าที่ทรัพยากรซึ่งหมายถึง ทรัพยากรที่เป็นธรรมชาติและทรัพยากรมนุษย์ที่สร้างขึ้นเป็นมิติที่สาคัญ ซง่ึ มีบทบาทต่อการดารงชีวิตของ มนุษย์ เป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถบริโภคได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ให้มนุษย์สะดวก ปลอดภัย มีความผาสุก ดังนั้น มิติทางทรัพยากรจึงแบ่งเป็น 3 ประเภทคือ
1) ทรัพยากรธรรมชาติ คือสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและให้ประโยชน์ต่อมนุษย์
2) ทรัพยากรที่มนุษย์สร้างขึ้น เป็นทรัพยากรที่มิได้เกิดขึ้นเอง ตามธรรมชาติ แตอ่ าจมีบางส่วนที่ เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและมนุษย์ได้ดัดแปลงให้เปลี่ยนรูปร่างหรือพฤติกรรมซึ่งประกอบด้วยกลุ่มทรัพยากร ชีวภาพ เช่น ทรัพยากรทางการเกษตร อุตสาหกรรม น้าประปา การชลประทาน เป็นต้น และกลุ่มทรัพยากร เศรษฐกิจสังคม เช่น การศึกษา สุขภาพอนามัย การเมือง เศรษฐกิจ เป็นต้น
-45-
3) ทรัพยากรที่จาแนกตามการจัดการ ได้แก่ กลมุ่ ทรัพยากรกายภาพ กลมุ่ ทรัพยากรชีวภาพ กลุ่ม คุณคา่การใช้ประโยชน์ของมนุษย์เชน่ เกษตรกรรมการสื่อสารการชลประทานการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าและ กลมุ่คุณคา่คุณภาพชีวิตไดแ้ก่การศึกษาสุขภาพอนามัยความปลอดภัยวัฒนธรรมเป็นต้น
2. มิติทางของเสียและมลพิษสิ่งแวดล้อม เมื่อมีการใช้ทรัพยากรใดด้วยเทคโนโลยีใดก็ตาม ย่อมมีของ เสียหรือมลภาวะเกิดขึ้นเสมอของเสียและมลพิษสิ่งแวดล้อมแบง่เป็น4กลมุ่ใหญ่ๆไดแ้ก่
1) ของแข็งได้แก่ กากสารพิษ ฝุ่นละออง ขยะมูลฝอย
2) ของเหลว ไดแ้ ก่ ไขมัน น้ามัน น้า 3)แก๊สไดแ้ก่อากาศที่ปนเปื้อนด้วยสารพิษเขม่าควันซัลเฟอร์ไดออกไซด์ 4)กลมุ่ของเสียและมลพิษทางความร้อนแสงสว่างกัมมันตรังสีลมเสียงอากาศและคุณภาพ
อากาศ เป็นต้น
3. มิติมนุษย์หรือเศรษฐกิจสังคม เป็นมิติที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ได้สร้างพฤติกรรมของมนุษย์ต่อ
สภาพแวดล้อมทั้งระบบสิ่งแวดล้อมเดี่ยว สิ่งแวดล้อมเป็นกลุ่ม มิติของมนุษย์หรือเศรษฐกิจสังคมประกอบด้วย 3.1 ประชากร ซึ่งมีทั้งจานวนและคุณภาพของประชากร จานวนประชากรมีผลต่อการบริโภค ความ
หนาแน่น ความเข้มขน้ ของของเสียและมลพิษซึ่งถ้าสามารถควบคุมจานวนประชากรได้เท่ากับเป็นการลด ปริมาณการบริโภคได้โดยตรง
3.2 การศึกษาเป็นตัวปัจจัยแสดงคุณภาพประชากรต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมซึ่งเกี่ยวข้องกับการ เปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม
3.3 การอนามัย เป็นตัวควบคุมทรัพยากรทางตรงและทางอ้อม ซึ่งภาวะอนามัยของมนุษย์มี ผลกระทบต่อบทบาทหน้าที่การทางาน ซึ่งส่งผลถึงภาวะเศรษฐกิจ เช่น ฐานะทางเศรษฐกิจ อาชีพ เงินเก็บ เงินออม แผนการพัฒนาเศรษฐกิจ ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลทางตรงและทางอ้อมต่อการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม ในระบบ
3.4 โบราณสถาน สถานที่ประวัติศาสตร์และศาสนา การมีพิธีกรรมปกติจะมีผลต่อความ ละเอียดอ่อนในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมการสืบทอดของสถานที่ประวัติศาสตร์ ศาสน์สถาน และโบราณสถาน เป็นส่วนสาคัญในการขัดเกลาให้มนุษย์คิดถึงสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นในทางบวกหรือทางลบได้
3.5 ความปลอดภัย เป็นตัวดัชนีสาคัญในการทาหนา้ ที่ถูกต้อง ความไม่เป็นอิสระ ความปลอดภัย ทา ให้มนุษย์แสดงบทบาทของตนเองได้ไมเ่ต็มที่ย่อมก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมตามมา
3.6 การเมืองการปกครอง การปกครองมีส่วนต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมต้อง อาศัยความหลากหลายทางความคิดและการปฏิบัติ การเมืองการปกครองที่ไม่เอื้อต่อสิ่งเหล่านี้ย่อมมีผลต่อ ปัญหาสิ่งแวดล้อมแนน่ อน
-46-
3.7 การนันทนาการเป็นการสร้างพลังให้กับมนุษย์ให้หายจากความเครียด ซึ่งมนุษย์มีการ นันทนาการที่ดีมักเป็นบุคคลที่มีความละเอียดอ่อนทางสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้แล้วจะมีผลต่อเศรษฐกิจและการ เปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมในมุมกว้างอีกดว้ ย
4. มิติทางเทคโนโลยี เป็นมิติที่มีบทบาทและความสาคัญต่อการใช้ทรัพยากรและอาจส่งผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อมอย่างมาก เนื่องจากมนุษย์มีความจาเป็นต้องนาทรัพยากรมาสนองความต้องการของตนเอง โดยนา เทคโนโลยีหลากหลายรูปแบบมาประกอบ ซึ่งการนาเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสม หรือไม่ถูกต้องตามหลักการมาใช้ ย่อมก่อให้เกิดผลเสียต่อทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม (เกษม จันทร์แกว้ .2543) จนมีคากล่าวว่า “มนุษย์เป็น ตัวการสาคัญในการทาลายธรรมชาติและสภาวะแวดล้อม โดยมีเทคโนโลยีเป็นตัวเร่ง” จึงมีความจาเป็นต้อง พิจารณาทิศทางของการพัฒนาเทคโนโลยีให้มีลักษณะที่เอื้อประโยชน์แก่กันทั้งฝ่ายอนุรักษ์และฝ่ายพัฒนา (win-win concept) เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนทางออกดังกล่าวได้แก่ การพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสม ซึ่งหมายถึงการนาวิธีการหรือเครื่องมือที่ซับซ้อนมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างเหมาะสมกับทรัพยากรภาพ แวดล้อมสภาพสังคมและเศรษฐกิจ วัฒนธรรมและการศึกษา ซึ่งเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหรือ เทคโนโลยีสิ่งแวดล้อมก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มีความสาคัญ อย่างยิ่ง
นิเวศเศรษฐกิจ (Ecological Efficiency หรือ Eco-Efficiency)
นิเวศเศรษฐกิจเป็นแนวคิดริเริ่มโดย World Business Council for Sustainable Development (WBCSD) ในปี ค.ศ.1992 เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอันเป็นเครื่องมือการจัดการให้ภาค ธุรกิจมีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น มีนวัตกรรมมากขึ้น และรับผิดชอบต่อทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งหลักการของแนวคิดด้านประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจได้รับการยอมรับอย่างเป็น ทางการในการประชุมสุดยอดด้านสิ่งแวดล้อม “Earth Summit” ของสหประชาชาติในปี ค.ศ.1992 การ ดาเนินงานของธุรกิจหรือองค์กรใดก็ตามที่มีประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ หมายถึง การมีศักยภาพในการ ผลิตและการบริการในราคาที่แข่งขันได้โดยสามารถสนองความต้องการของมนุษย์และนามาซึ่งคุณภาพชีวิต ใน ขณะเดียวกันก็สามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติตลอดอายุของผลิตภัณฑ์นั้นใน ระดับที่สอดคล้องกับความสามารถในการรองรับของระบบนิเวศ (carrying capacity) แนวคิดดา้ นนิเวศ เศรษฐกิจให้ความสาคัญเริ่มจากประเด็นของเศรษฐกิจก่อน โดยการดาเนินงานเพื่อเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจ จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม WBCSD ไดก้ าหนดแนวทางที่เป็นปัจจัยแห่ง ความสาเร็จของการดาเนินงานด้านนิเวศเศรษฐกิจไว้ 7 ประการ ดังนี้
1. ลดการใช้วัสดุในการผลิตและการบริการ
2. ลดการใช้พลังงานในการผลิตและการใช้บริการ 3. ลดการระบายสารพิษ
-47-
4. เสริมสร้างศักยภาพการนาวัสดุกลับมาใช้ใหม่
5. ใช้ประโยชน์สูงสุดด้วยความยั่งยืนจากทรัพยากรหมุนเวียน
6. เพิ่มอายุของผลิตภัณฑ์
7. เพิ่มระดับการให้บริการแก่ผลิตภัณฑ์และเสริมสร้างธุรกิจบริการ
แนวคิดเหล่านี้ช่วยเสรมิ สร้างความสาเร็จของหลักการ “การผลิตที่สะอาด” ซึ่งมงุ่ สู่การผลิตและการ บริโภคในรูปแบบที่ยั่งยืน
การผลิตที่สะอาด (Cleaner Production หรือ CP)
การผลิตที่สะอาดเป็นหลักการที่ใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนา มีชื่ออื่น ๆ ทมี่ ี ความหมายใกล้เคียงกันแล้วแต่ความนิยมของผู้ใช้ไดแ้ก่การป้องกันมลพิษ(PollutionPreventionหรือP2) การลดของเสียให้น้อยที่สุด (Waste Minimization) และเทคโนโลยีสะอาด (Clean Technology หรือ CT) การผลิตที่สะอาดเป็นแนวคิดริเริ่มโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Program-UNEP) ในปี ค.ศ. 1989 หมายถึงการประยุกต์ใช้กลยุทธ์การป้องกันแบบบูรณาการ อย่างต่อเนื่องในกระบวนการการผลิตผลิตภัณฑ์และการบริการเพื่อปูองกันหรือลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ลดความเสี่ยงของมนุษย์และเพิ่มประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจโดยครอบคลุมแนวคิดหลัก3ประการไดแ้ก่
1. กระบวนการผลิตที่สามารถอนุรักษ์วัตถุดิบและพลังงาน ขจัดวัตถุดิบที่มีสารพิษ ลดปริมาณและ ความเป็นพิษของกระบวนการระบายของเสีย
2. ผลิตภัณฑ์ที่สามารถลดผลกระทบทางลบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตลอดอายุของ การใช้งานตั้งแต่จากสภาพวัตถุดิบจนถึงขั้นหมดอายุการใช้งานที่ตอ้ งกาจัดต่อไป
3. ธุรกิจบริการที่รวมความห่วงใยในสิ่งแวดล้อมเข้าไปไว้ในการออกแบบและดาเนินการ การผลิตที่สะอาดเป็นวิธีที่สามารถส่งเสริมผลผลิตและการบริการให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นโดยใช้วัตถุดิบน้อยลง อันเป็นการประหยัดค่าใช้จา่ ยในการผลิตและลดภาระค่าใช้จา่ ยในการบาบัดของเสีย รวมทั้งยังเป็นการลด ผลกระทบดา้นสิ่งแวดล้อมเนื่องจากลดการใช้พลังงานวัตถุดิบและทรัพยากรธรรมชาติโดยผลผลิตที่ได้ไม่ น้อยลงหรือมากยิ่งขึ้นซึ่งจะส่งผลดีต่อการดาเนินธุรกิจ แนวคิดของการผลิตที่สะอาดให้ความสาคัญ เริ่มต้นจาก ประเด็นของสิ่งแวดล้อมก่อนโดยการดาเนินงานเพื่อเพิ่มประสิทธิผลด้านสิ่งแวดล้อม จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อ การเพิ่มผลผลิตในภาคเศรษฐกิจ คือมีความคุ่มคา่ ทางเศรษฐศาสตร์และมีความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมดว้ ย หลักการที่ว่าการเพิ่มประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจและการผลิตที่สะอาดจะสามารถปกป้องสิ่งแวดล้อมได้ใน ขณะเดียวกันก็จะช่วยลดค่าใช้จา่ ยในการผลิต ช่วยให้กระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ให้ผลกาไร มากกว่าและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมดว้ ย สาหรับภาคอุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อมของประเทศ การผลิตที่
สะอาดจะประสบความสาเร็จได้นั้นต้องการ การปรับเปลี่ยนทัศนคติสู่การจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างมีความ รับผิดชอบ การกาหนดนโยบายระดับชาติท่ีสามารถบังเกิดผลในทางปฏิบัติและการประเมินทางเลือกของ เทคโนโลยี (ศูนย์เครือข่ายการดาเนินงานด้านนิเวศเศรษฐกิจและการผลิตที่สะอาด ม.ป.ป.)
-48-
ปัญหาสิ่งแวดล้อมและมลพิษสิ่งแวดล้อม
ความหมายของปัญหาสิ่งแวดล้อม
1. ปัญหาที่เกิดขึ้นจาการใช้ทรัพยากรของมนุษย์อย่างไม่ประหยัดและขาดความรับผิดชอบก่อให้เกิด ปัญหามลพิษและปัญหาอื่น ๆ ซึ่งเป็นภาวการณ์ที่กระทบกระเทือนต่อคนจานวนมากซึ่งภาวการณ์ดังกล่าวไม่ เป็นที่พึงปรารถนาและควรมีการกระทาบางอย่างเพื่อแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น
2. ปัญหาเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติทั้งที่เป็นทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ ดิน แร่ธาตุ สัตว์ และพืช และปัญหาเสื่อมโทรมของคุณค่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวมนุษย์เช่น ดิน น้า อากาศ เป็นต้น รวมถึง ปัญหาความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศตามธรรมชาติ ตลอดจนปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางด้านสิ่งแวดล้อมทาง เศรษฐกิจและสังคมอันมีสาเหตุมาจากการกระทาของมนุษย์ ลักษณะปัญหาสิ่งแวดล้อมตามการให้นิยามของ สานักงานคณะกรรมการ สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ แบ่งเป็น
1. ปัญหาสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ได้แก่
– ภาวะมลพิษ
– ปัญหาความร่อยหรอของทรัพยากร
– ปัญหาการใช้ทรัพยากรไม่ถูกวิธี ขาดการอนุรักษ์
2. ปัญหาสิ่งแวดล้อมทางสังคม ได้แก่ – ปัญหาความยากจน
– ความขาดแคลนอาหาร
– ที่อยู่อาศัย – ความไม่รู้หนังสือ – ความเจ็บไข้ ฯลฯ
3.สาเหตุของปัญหาสิ่งแวดล้อม 3.1) ปัญหาประชากร
1) การเพิ่มจานวนประชากร
2) ขยายตัวทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี เทคโนโลยีที่ทาให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม ได้แก่
-49-
(1) ด้านการเกษตรการใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง
(2) ด้านอุตสาหกรรมเนื่องจากการใช้เครื่องจักรแทนคนก่อให้เกิด- ปัญหาว่างงาน – ขาด แคลนทรัพยากร
(3) ด้านคมนาคม ความสะดวกสบายในการคมนาคมทาให้เกิดการจราจรติดขัดจากมี ปริมาณการใช้มาก
(4) สารกัมมันตภาพรังสี ซึ่งนามาใช้ในการถนอมอาหาร การสงคราม
3.2) การขยายตัวของเมือง เกิดจากภาวะหรือปัจจัยทางสังคมที่ผลักดันให้คนส่วนใหญ่เกาะกลุ่ม กันเข้ามาอยู่ในเขตเมือง ภาวะดังกล่าวได้แก่
1) แรงดึง เป็นลักษณะที่พิจารณาได้จาก ความก้าวหน้าในการติดต่อสื่อสาร การศึกษา เศรษฐกิจ ความสะดวกสบาย รายได้ต่อหัวของคนในเขตเมืองที่มีสูงกว่า จึงเป็นแรงดึงดูดคนจากชนบทซึ่งมี โอกาสด้อยกว่า เข้ามาสู่เมืองมากขึ้น
2) แรงดัน เป็นลักษณะที่พิจารณาได้จากสภาพ ปัญหาในชนบท เช่น ความยากจน จากการ ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ต้องอาศัยสภาพภูมิอากาศ ปริมาณน้าฝน การขยายตัวทางเศรษฐกิจได้รับการ ส่งเสริมไม่เพียงพอ จึงเสมือนเป็นแรงผลักดันให้ออกจากชนบทเข้าสู่เมืองเพื่อแสวงหาโอกาสที่ดีกว่า
3.3) สภาพการใช้ที่ดินไม่เหมาะสม พบว่าการเพิ่มขึ้นของประชากรและสาเหตุการเกิดปัญหา สิ่งแวดล้อมอื่นได้ก่อให้เกิดสภาพการใช้ที่ดินไม่เหมาะสม เพราะขาดการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดิน ซึ่งบาง พื้นที่เหมาะแก่การเพาะปลูก แต่ถูกสภาพการเป็นเมืองเข้าก่อสร้างซ้อนทับ มีผลทาให้ต้องแสวงหาพื้นที่ทา การเกษตรใหม่ โดยบุกรุกพื้นที่ป่า
3.4) การใช้เทคโนโลยีไม่เหมาะสม ได้แก่การใช้สารเคมีในการเกษตรและอุตสาหกรรมรวมถึงการ ใช้เทคโนโลยีที่ไม่ถูกวิธี ย่อมส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้การใช้เทคโนโลยีทาให้สามารถทาลาย
ทรัพยากรได้เป็นจานวนมาก ทาให้ระบบนิเวศถูกทาลายอย่างรวดเร็ว การนาปะการังเก็บขึ้นมาทาเป็นสินค้าที่ ระลึก ทาให้สัตว์น้าไม่มีที่อยู่อาศัย คุณภาพดินเสื่อมจากสารเคมีที่ใช้ในการเกษตรและปุ๋ยเคมีในระยะเวลานาน อย่างต่อเนื่องhttp://rmupt-environment.blogspot.com/2009/08/blog-post_4816.html
สรุป
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ต่างกันที่สิ่งแวดล้อมนั้นรวมทุกสิ่ง ทุกอย่างที่ปรากฎอยู่รอบตัวเรา ส่วนทรัพยากรธรรมชาติเน้นสิ่งที่อานวยประโยชน์แก่มนุษย์มากกว่าสิ่งอื่น ประเภทของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติแบ่งตามลักษณะที่นามาใช้ได้ 2 ประเภท ใหญ่ ๆ คือ
-50-
1. ทรัพยากรธรรมชาติประเภทใช้แล้วไม่หมดสิ้น ได้แก่
1) ประเภทที่คงอยู่ตามสภาพเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลย เช่น พลังงาน จากดวงอาทิตย์ ลม อากาศ ฝุ่น ใช้เท่าไรก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไม่รู้จักหมด
2) ประเภทที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ เนื่องจากถูกใช้ในทางที่ผิด เช่น ที่ดิน น้า ลักษณะภูมิประเทศ ฯลฯ ถ้าใช้ไม่เป็นจะก่อให้เกิดปัญหาตามมา ได้แก่ การปลูกพืชชนิดเดียวกันซ้า ๆ ซาก ๆ ในที่เดิม ย่อมทาให้ ดินเสื่อมคุณภาพ ได้ผลผลิตน้อยลงถ้าต้องการให้ดินมีคุณภาพดีต้องใส่ปุ๋ยหรือปลูกพืชสลับและหมุนเวียน
2. ทรัพยากรธรรมชาติประเภทใช้แล้วหมดสิ้นไป ได้แก่
1) ประเภทที่ใช้แล้วหมดไป แต่สามารถรักษาให้คงสภาพเดิมไว้ได้ เช่น ป่าไม้ สัตว์ป่า ประชากรโลก ความอุดมสมบูรณ์ของดิน น้าเสียจากโรงงาน น้าในดิน ปลาบางชนิด ทัศนียภาพอันงดงาม ฯลฯ ซึ่งอาจทาให้ เกิดขึ้นใหม่ได้
2) ประเภทที่ไม่อาจทาให้มีใหม่ได้ เช่น คุณสมบัติธรรมชาติของดิน พร สวรรค์ของมนุษย์ สติปัญญา เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ชาติ ไม้พุ่ม ต้นไม้ใหญ่ ดอกไม้ป่า สัตว์บก สัตว์น้า ฯลฯ
3) ประเภทที่ไม่อาจรักษาไว้ได้ เมื่อใช้แล้วหมดไป แต่ยังสามารถนามายุบให้ กลับเป็นวัตถุเช่นเดิม แล้วนากลับมาประดิษฐ์ขึ้นใหม่ เช่น โลหะต่าง ๆ สังกะสี ทองแดง เงิน ทองคา ฯลฯ
4) ประเภทที่ใช้แล้วหมดสิ้นไปนากลับมาใช้อีกไม่ได้ เช่น ถ่านหิน น้ามันก๊าซ อโลหะส่วนใหญ่ ฯลฯ ถูกนามาใช้เพียงครั้งเดียวก็เผาไหม้หมดไป ไม่สามารถนามาใช้ใหม่ได้
ทรัพยากรธรรมชาติหลักที่สาคัญของโลก และของประเทศไทยได้แก่ ดิน ป่าไม้ สัตว์ป่า น้า แร่ธาตุ และประชากร(มนุษย)์
สิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมของมนุษย์ที่อยู่รอบ ๆ ตัว ทั้งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ซึ่งเกิดจาก การกระทา ของมนุษย์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
2. สิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม หรือสิ่งแวดล้อมประดิษฐ์ หรือมนุษย์เสริมสร้างกาหนดขึ้น สิ่งแวดล้อมธรรมชาติ จาแนกได้ 2 ชนิด คือ
1) สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ได้แก่ อากาศ ดิน ลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะ ภูมิอากาศ ทัศนียภาพ ต่างๆ ภูเขา ห้วย หนอง คลอง บึง ทะเลสาบ ทะเล มหาสมุทรและทรัพยากรธรรมชาติทุกชนิด
-51-
2) สิ่งแวดล้อมทางชีวภาพหรือชีวภูมิศาสตร์ ได้แก่ พืชพันธุ์ธรรมชาติต่าง ๆ สัตว์ป่า ป่าไม้ สิ่งมีชีวิต อื่นๆ ที่อยู่รอบตัวเราและมวลมนุษย์
สิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม หรือสิ่งแวดล้อมประดิษฐ์ หรือมนุษย์เสริมสร้างขึ้น ได้แก่ สิ่งแวดล้อมทาง สังคมที่มนุษย์เสริมสร้างขึ้นโดยใช้กลวิธีสมัยใหม่ ตามความเหมาะสมของสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ศาสนา และวัฒนธรรม เช่น เครื่องจักร เครื่องยนต์ รถยนต์ พัดลม โทรทัศน์ วิทยุ ฝนเทียม เขื่อน บ้านเรือน โบราณสถาน โบราณวัตถุอื่นๆ ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ค่านิยม และสุขภาพอนามัย
สิ่งแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่งเกิดจากสาเหตุ 2 ประการ คือ 1) มนุษย์
2) ธรรมชาติแวดล้อม มนุษย์ เป็นตัวการเปลี่ยนแปลงสังคมเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง มากกว่าสิ่ง อื่น เช่น ชอบจับปลาในฤดูวางไข่ ใช้เครื่องมือถี่เกินไปทาให้ปลาเล็ก ๆ ติดมาด้วย ลักลอบตัดไม้ทาลายป่า เพื่อ นามาสร้างที่อยู่อาศัย ส่งเป็นสินค้าหรือเพื่อใช้พื้นที่เพาะปลูกปล่อยของเสียจากโรงงานและไอเสียจากรถยนต์ ทาให้สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ (น้าเน่า อากาศเสีย)
ธรรมชาติแวดล้อม ส่วนใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ เช่น แม่น้าที่พัดพาตะกอนไปทับถมบริเวณ น้าท่วม และปากแม่น้าต้องใช้เวลานานจึงจะมีตะกอนมาก การกัดเซาะพังทลายของดินก็เช่นเดียวกัน ส่วนการ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนั้นเกิดจากแรงภายในโลก เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด อื่นๆ ได้แก่ อุทกภัยและ วาตภัย ไฟป่า เป็นต้น ซึ่งภัยธรรมชาติดังกล่าวจะไม่เกิดบ่อยครั้งนัก
-52-
คาถามท้ายบท
1. นักศึกษาจงอธิบาย ความหมายของ “ทรัพยากรธรรมชาติ”มาให้ละเอียด
2. กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม แบ่งประเภทของทรัพยากรธรรมชาติไว้กี่ประเภท นักศึกษาจง อธิบายว่าแต่ละประเภทเป็นอย่างไร
3. ให้นักศึกษาอธิบายป่าไม้ที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจสูง และยกตัวอย่างพันธุ์ไม้ มา 3 ชนิด
4. จงให้ความหมายของสิ่งแวดล้อม มาให้ละเอียด
5. สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น แตกต่างกันอย่างไรให้นักศึกษา
อธิบาย
6. ให้นักศึกษาอธิบายสมบัติทางสิ่งแวดล้อมมีอะไรบ้าง
7. การประเมินสถานภาพและศักยภาพมิติของสิ่งแวดล้อมมอี ะไรบ้าง จงอธิบาย
8. World Business Council for Sustainable Development (WBCSD) ได้กาหนดแนวทางที่เป็น
ปัจจัยแห่งความสาเร็จของการดาเนินงานด้านนิเวศเศรษฐกิจไว้กปี่ ระการอะไรบ้าง
9. การผลิตที่สะอาดเป็นหลักการที่ใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาลดความเสี่ยง
ของมนุษย์และเพิ่มประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจโดยครอบคลุมแนวคิดหลักอยู่กปี่ระการอะไรบ้าง 10.จงอธิบายองค์ประกอบเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร 11.จงอธิบายแนวทางในการปฏิบัติที่จะไปสู่การพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน 12.ลักษณะปัญหาสิ่งแวดล้อมตามการให้นิยามของ “สานักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ”
มีอะไรบ้าง จงอธิบายมาให้ละเอียด
-53-
บทที่ 5 เทคโนโลยีกับการเผยแพร่ศาสนาและวัฒนธรรม
ความหมายของเทคโนโลยี ศาสนาและวัฒนธรรม
1. ศาสนาคืออะไร
ความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหนือธรรมชาติ ในหลักอภิปรัชญาว่าทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้นมาดารงอยู่และจะ เป็นเช่นไรต่อไป มีหลักการ สถาบัน หรือประเพณี ที่เป็นที่เคารพโดยทั่วไป แล้วอาจกล่าวได้ว่า ศาสนาเป็นสิ่ง ที่ควบคุม และประสานความสัมพันธ์ของมนุษย์ ให้อยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข คือ ให้มีหลักการ ค่านิยม วัฒนธรรมร่วมกันและวิถีทางที่มนุษย์เลือกใช้ในการดารงชีวิต ให้สังคมเป็นหนึ่งเดียวกัน มีแนวทางไปในทิศทาง เดียวกัน ด้วยหลักจริยธรรม คุณธรรม ศีลธรรมที่เป็นบรรทัดฐานเดียวกัน มีความเชื่อว่าศาสนานั้นเกิดมาจาก ความต้องการเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ นับแต่อดีตมนุษย์จะสงสัยว่าสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ทาไม ต้องเกิดขึ้น จะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ เปลี่ยนแปลงแล้วจะเกิดผลอะไรต่อมาอีก จนนามาสู่การค้นหาแนวทาง ต่างๆเพื่อตอบปัญหาเหล่านี้ จนนามาเป็นความเชื่อและเลื่อมใส ตัวอย่างเช่นศาสนาพุทธ เกิดจากเจ้าชาย สิทธัตถะทรงเห็นความทุกข์ จึงทรงหาแนวทางให้หลุดพ้นจากความทุกข์ ด้วยวิธีการต่างๆ นาๆ จนทรงค้นพบ อริยสัจ 4 ด้วยวิธีที่ เป็นการฝึกจิตด้วยสติจนถึงซึ่งความรู้แจ้ง ในสรรพสิ่ง และความดับความทุกข์ ทรงตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดับสิ้นซึ่งกิเลส ทรงสอนให้มนุษย์ ให้ทาบุญ รักษาศีลและภาวนา เพื่อจะได้เป็น แนวทางในการพ้นทุกข์ของมหาชน อย่างไรก็ตาม ในการศึกษาในปัจจุบัน
2. วัฒนธรรมคืออะไร
รูปแบบของกิจกรรมมนุษย์และโครงสร้างเชิงสัญลักษณ์ที่ทาให้กิจกรรมนั้นเด่นชัดและมีความสาคัญ วิถีการดาเนินชีวิต ซึ่งเป็นพฤติกรรมและสิ่งที่คนในหมู่ผลิตสร้างขึ้น ด้วยการเรียนรู้จากกันและกัน และร่วมใช้ อยู่ในหมู่พวกของตน ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามยุคสมัย และ ความเหมาะสม วัฒนธรรมส่วนหนึ่งสามารถ แสดงออกผ่าน ดนตรี วรรณกรรม จิตรกรรม ประติมากรรม การละครและภาพยนตร์ แม้บางครั้งอาจมีผู้กล่าว ว่าวัฒนธรรมคือเรื่องที่ว่าด้วยการบริโภคและสินค้าบริโภค เช่น วัฒนธรรมระดับสูง วัฒนธรรมระดับต่า วัฒนธรรมพื้นบ้านหรือวัฒนธรรมนิยม เป็นต้น แต่นักมานุษยวิทยาโดยทั่วไปมักกล่าวถึงวัฒนธรรมว่า มิได้เป็น เพียงสินค้าบริโภค แต่หมายรวมถึงกระบวนการในการผลิตสินค้าและการให้ความหมายแก่สินค้านั้นๆ ด้วย ทั้ง ยังรวมไปถึงความสัมพันธ์ทางสังคมและแนวการปฏิบัติที่ทาให้วัตถุและกระบวนการผลิตหลอมรวมอยู่ด้วยกัน ในสายตาของนักมานุษยวิทยาจึงรวมไปถึงเทคโนโลยี ศิลปะ วิทยาศาสตร์รวมทั้งระบบศีลธรรม วัฒนธรรมใน ภูมิภาคต่าง ๆ อาจได้รับอิทธิพลจากการติดต่อกับภูมิภาคอื่น เช่น การเป็นอาณานิคม การค้าขาย การย้ายถิ่น
-54-
ฐาน การสื่อสารมวลชนและศาสนา อีกทั้งระบบความเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศาสนามีบทบาทในวัฒนธรรมใน ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติมาโดยตลอด
เทคโนโลยีกับการเผยแพร่ศาสนาและวัฒนธรรมเมื่อนามารวมกันย่อม การใช้เทคโนโลยีเพื่อทาให้เกิด การพัฒนาและเผยแพร่ในเรื่องศาสนาและวัฒนธรรม ซึ่งวัฒนธรรมและวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันโดยไม่ สามารถแยกออกจากกันได้ โดยวัฒนธรรมส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากความเชื่อในแต่ละศาสนา การใช้ เทคโนโลยีเป็นอีกเครื่องมือที่ช่วยให้การเผยแพร่ศาสนาและวัฒนธรรมออกไปได้ไกลขึ้นแพร่หลายขึ้นและเป็น การเผยแพร่ที่เป็นข้อมูลอันเป็นจริงไม่ได้ถูกแต่งเติมให้ผิดเพี้ยนจากจุดประสงค์ของผู้เผยแพร่ซึ่งในปัจจุบันมี การต่อยอดจากคาว่าเทคโนโลยีทาให้กลายเป็นเทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งได้รวบรวมเทคโนโลยีในการจัดการ ข้อมูลและกระบวนการในการส่งข้อมูลหรือที่เราเรียกว่าการสื่อสารเป็นองค์ความรู้ใหม่ที่ช่วยให้เทคโนโลยีใน การเผยแพร่เป็นระบบและมาตรฐานยิ่งขึ้นตัวอย่างการใช้เทคโนโลยีในการเผยแพร่ศาสนาและวัฒนธรรม เช่น การทาวีโอเผยแพร่พระธรรมคาสั่งสอนของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา การใช้เว็บไซต์เผยแผ่ประวัติของพระ เยซูคริสต์ในศาสนาคริสต์ และการทาสารคดีวิถีชีวิตและวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ในประเทศไทยและ เผยแพร่ออกทางช่องรายการในโทรทัศน์ เป็นต้น
เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
อ้างอิงจากบทความของ พระมหาบุญไทย ปุญญมโน (ป.ธ.๗) หัวหน้ากองกลาง มหาวิทยาลัยมหามกุฏ ราชวิทยาลัย ส่วนหนึ่งของเนื้อหากล่าวว่า หากสังคมพระพุทธศาสนามีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ อินเทอร์เน็ตอย่างกว้างขวางและมีกฎระเบียบที่ชัดเจน ก็จะทาให้มีการเผยแผ่พระพุทธศึกษาสามารถมีอยู่ใน ทุกที่ ทุกเวลา ทุกคนสามารถศึกษาพระพุทธศาสนาได้ทางอินเทอร์เน็ตในรูปแบบของ e-learning หรือการ เรียนแบบออนไลน์ m-Learning หรือ Mobile-Learning เป็นการเรียนผ่านโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น สามารถ ศึกษาได้ตลอดเวลาที่มีมือถือ และเข้าระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ นอกจากนั้นคณะสงฆ์สามารถถ่ายทอดสด การแสดงธรรม การประชุมองค์กรทางพระพุทธศาสนาไปทั่วโลก มีเว็บไซต์ทางพระพุทธศาสนาแพร่กระจาย มากยิ่งขึ้น มีองค์กรของคณะสงฆ์ไทยดูแลการใช้อินเทอร์เน็ต และมีระบบเครือข่ายของคณะสงฆ์ไทย และจะ เป็นสังคมยูบิควิตัส (Ubiquitous Society) คือสภาพแวดล้อมของคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้ได้ทุกหนทุกแห่ง และตลอดเวลา
ในศตวรรตที่ 21 การขยายตัวของอินเทอร์เน็ตทาให้สามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ได้ เพราะการ พัฒนาเทคโนโลยีโมบาย เช่น โทรศัพท์มือถือ ได้ทาให้โลกของเน็ตเวิร์กและคอมพิวเตอร์ ไม่จากัดอยู่เพียงแค่ที่ บ้านหรือที่ทางานเท่านั้น แต่สามารถใช้ได้ทุกแห่งและตลอดเวลา พระพุทธศาสนา จะกลายเป็นพุทธยูบิควิตัส (Buddhist Ubiquitous) คือมีการศึกษาค้นคว้าพระพุทธศาสนาได้ทุกหนทุกแห่งโดยผ่านระบบคอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ต ในอนาคตสังคมจะกลายเป็นสังคมที่ใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตได้ทุกแห่ง ไม่จากัดด้วย
-55-
เงื่อนไขของกาลเวลาหรือสถานที่ สอดคล้องกับพระธรรมคุณข้อหนึ่งในมหานามสูตร อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต ว่า “อกาลิโก” (องฺ ฉกฺก.22/281/318.) หมายถึง ไม่ประกอบด้วยกาล คือไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา บรรลุได้ทันที บรรลุเมื่อใดเห็น ผลได้ทันที เป็นจริงอยู่อย่างไรก็เป็นอย่างนั้นไม่จากัดด้วยกาล หากนามาใช้ในการศึกษาก็จะ กลายเป็นว่ามีการศึกษาค้นคว้าพระพุทธศาสนาโดยไม่ถูกจากัดด้วยกาลเวลาอีกต่อไป ในโลกอนาคตผู้ที่มี ความรู้ การเข้าถึงข้อมูลและเทคโนโลยีที่ทันสมัย จะทาให้มีโอกาสอยู่รอดในสังคมได้
เทคโนโลยีสารสนเทศ ได้ถูกนามาประยุกต์ในเกือบทุกด้าน เช่น ด้านการศึกษา ด้านบันเทิง ด้านการค้า ด้านอุตสาหกรรม ด้านเกษตรกรรม ด้านการสาธารณสุข และด้านสังคมและการเมือง จะเห็นได้ว่า เครื่องมือ เครื่องใช้ ตลอดจนขั้นตอนหรือกระบวนการในการทากิจกรรมยุคปัจจุบันล้วนแต่มีส่วนของเทคโนโลยี สารสนเทศ เข้ามาเกี่ยวข้องทั้งในทางตรงหรือทางอ้อมด้วยเกือบทั้งสิ้น
สาหรับด้านการศึกษา เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบาทสาคัญ นับตั้งแต่ ด้านการบริหารและการ จัดสรรทรัพยากร กล่าวคือ การนาเทคโนโลยีสารสนเทศใช้ในขั้นตอนของการสมัครเรียน การสอบวัดผล การ ลงทะเบียนเรียน การนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการผลิตสื่อการสอนที่เป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ทาให้ผู้เรียน สามารถเข้าไปหาความรู้เพิ่มเติมผ่านเว็บไซต์หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นหรือการนาเทคโนโลยีสารสนเทศ มา ช่วยออกแบบและพัฒนาระบบการเรียนการสอน การพัฒนาของเทคโนโลยีสารสนเทศในช่วงทศวรรษท่ีผ่านมา มีความรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วมาก ด้วยเป็นผลมาจากวิวัฒนาการของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี การสื่อสารโทรคมนาคม
ผลกระทบของการใชเทคโนโลยีสารสนเทศในแง่มุมต่างๆ
ในส่วนของผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศ ตามคากล่าว “สิ่งใดก็ตามมีคุณอนันต์ ย่อมมีโทษ มหันต์” เทคโนโลยีสารสนเทศก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าเทคโนโลยีสารสนเทศที่วิวัฒนาการก้าวหน้าต่อไปอย่างไม่ หยุดยั้ง มีแนวโน้มและศักยภาพ ที่จะเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น เช่น พัฒนาในด้านการทางานทางไกล (Tele-working) การธนาคารทางไกล (Tele-banking) การซื้อของทางไกล (Tele-shopping) การ รักษาพยาบาลทางไกล (Tele-healthcare) การบันเทิงทางไกล (Tele-entertainment) หรือการศึกษา ทางไกล (Tele-education) เพื่ออานวยความสะดวกให้แก่มนุษย์ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ในที่ใดบนโลกแต่ ขณะเดียวกันหากมีการพัฒนาหรือมีการนาเทคโนโลยีไปใช้อย่างไม่รอบคอบแล้ว ย่อมมีผลกระทบต่อการลด คุณภาพชีวิตลงได้เช่นกัน ซึ่งพัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้ก่อให้เกิดผลกระทบทั้งด้านบวกและลบ ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อเศรษฐกิจ โอกาสทางการแข่งขันทางการค้าในอดีต จะถูกจากัดด้วย เขตแดนการติดต่อ แต่ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศได้สร้างพื้นที่เสมือนขึ้น ทาให้สามารถเพิ่มพื้นที่การติดต่อและ แลกเปลี่ยนการค้าระหว่างกันได้ แต่หากมีผลกระทบกับการค้าของ ซีกโลกหนึ่ง ย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศ อื่นๆ ได้อย่างรวดเร็ว และสามารถเชื่อมโยงเป็นวิกฤติโลกได้ เช่น วิกฤติด้านพลังงาน ราคาน้ามัน ราคาวัตถุดิน
-56-
อื่นๆ ทาให้มีการผูกติดกับระบบการค้าของโลก ดังนั้นหากผู้ประกอบการได้ปรับตัวเข้าหาเทคโนโลยีอย่างเท่า ทัน ย่อมสร้างโอกาสในการดาเนินธุรกิจ แต่หากเพิกเฉย และมิได้พัฒนาทางด้านสารสนเทศ ย่อมเสียเปรียบใน การแข่งขันเช่นกัน
ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อการบริการภาครัฐ อาทิเช่น กรมสรรพากร ที่ได้ประยุกต์ใช้ ระบบสารสนเทศเพื่อการบริการภาครัฐ และก่อให้เกิดการยอมรับและความพึงพอใจของประชาชน ซึ่งในอดีต การชาระภาษีสร้างความยุ่งยากซับซ้อนและเสียเวลาแก่ผู้ชาระภาษี แต่ปัจจุบัน ด้วยประโยชน์จากเทคโนโลยี จึงช่วยให้ประชาชนสามารถยื่นแบบแสดงความจานงเสียภาษีได้จากทุกแห่ง ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต หรือระบบงานการขออนุญาตหนังสือเดินทางไปต่างประเทศ ในปัจจุบันจึงใช้เวลาไม่มาก ด้วยได้นาเทคโนโลยี สารสนเทศมาใช้ในงานตรวจสอบข้อมูลประชาชนจากฐานข้อมูล จึงทาให้งานสะดวกรวดเร็วมากขึ้น
นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ยังช่วยให้ หน่วยงานส่วนราชการ สามารถเผยแพร่ความรู้และ ข้อมูลข่าวสารให้แก่ประชาชนช่วยให้สามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้สะดวก รวดเร็ว และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง
ผลกระทบอีกด้านคือ สร้างปัญหาความไม่เสมอภาคในเรื่องของการรับข้อมูลข่าวสารได้ เช่น กระทรวง สาธารณสุขได้เผยแพร่ข้อมูลเรื่องโรคระบาดผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งคนที่อาศัยอยู่ในเมือง มีความสะดวก เรื่องระบบอินเทอร์เน็ต ย่อมสามารถรับทราบข่าวนี้ได้และมีการเตรียมตัวเพื่อป้องกันโรคระบาดเพื่อไม่ให้เกิด ขึ้นกับตน แต่คนที่อาศัยอยู่ในชนบท อาจไม่สามารถรับข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตได้ เนื่องจากอาจจะไม่มีอุปกรณ์ เทคโนโลยี และความรู้ในการติดต่อสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต ทาให้ไม่สามารถเตรียมตัวป้องกันและติดโรค ระบาดนี้ในที่สุด จะเห็นว่าจากตัวอย่างนี้ เป็นผลกระทบของอินเทอร์เน็ตในเรื่องของความเสมอภาคในการรับ ข้อมูลข่าวสาร
ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อคุณธรรมจริยธรรม ความเป็นจริงในวันนี้ประเทศไทยได้ชื่อว่า เป็นประเทศที่ยังมีการละเมิดลิขสิทธิ์ด้านทรัพย์สินทางปัญญา หรือมีปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลประเภทสื่อลามก รวมถึงปัญหาทางด้านจิตใจยุคใหม่ ที่เรียกว่า โรคติดอินเทอร์เน็ต ติดเกม จนเสียการเรียนของเยาวชน รวมถึง คดีอาชญากรรม การล่อลวง ล่วงละเมิดทางเพศ ปัญหาความแตกต่างทางวัฒนธรรม อันเป็นผลจากการเสพ เทคโนโลยีและข่าวจากต่างประเทศ ซึ่งมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน
อย่างไรก็ตาม ด้านประโยชน์กลับพบว่ามีเยาวชนจานวนมาก มีช่องทางนาเสนอสื่อสร้างสรรค์การเรียนรู้ ธรรมะผ่านสื่อรูปแบบต่างๆ ได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน สามารถสืบค้นหาข้อมูลความรู้ผ่าน ห้องสมุดได้ตลอดเวลา ดังนั้นหากผู้ผลิตและพัฒนาเทคโนโลยีขาดซึ่งความตระหนักและรับผิดชอบต่อสังคม แล้ว ย่อมส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงให้แก่ประเทศ
ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อการศึกษา สังคมโลกไร้พรมแดนในยุคปัจจุบัน สร้างสรรค์ให้ นักศึกษาสามารถเข้าถึงซึ่งแหล่งความรู้ได้อย่างง่ายดาย ระบบอินเทอร์เน็ตทาให้เสมือนหนึ่งมีห้องสมุดที่เปิด ให้บริการแก่ผู้งานตลอดเวลา และจากคุณสมบัติเด่นของเทคโนโลยีเว็บ คือการเชื่อมโยง (Link) ทาให้เสมือน หนึ่งห้องสมุดในโลกนี้เชื่อมต่อเข้าหากัน ผู้สนใจศึกษาค้นคว้าย่อมนามาซึ่งโอกาส และทาลายข้อจากัดการ
-57-
เดินทางแบบเดิมจนหมดสิ้น เราสามารถค้นหางานวิจัยและข้อมูลเอกสารวิชาการเพื่อสนับสนุนงานการศึกษา ผ่านระบบเครื่องมือค้นหา (Search Engine) โดยใช้เว็บ เชน่ Google แต่อีกมิติหนึ่งก็ได้ กลับสร้างความมัก ง่ายและขาดการกลั่นกลอง คัดลอกผลงานที่เรียกว่าสังคม Copy Paste หมายถึง การคัดลอกเนื้อหาจากเว็บ แล้วนามาตัดแปะในรายงานอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลาย โดยขาดการรวบรวม เรียบเรียง และสร้างสรรค์เนื้อความ ผ่านความเข้าใจ ซึ่งจุดนี้ย่อมส่งผลต่อกระบวนการทางความคิด ที่ไม่ได้ใช้ความคิดและเป็นการทาลายวิธี การศึกษาในอนาคตได้
ตัวอย่างการใช้เทคโนโลยีเพื่อเผยแพร่ศาสนาและวัฒนธรรม
1. วีซีดี เทคโนโลยีในการบันทึกภาพและเสียงเพื่อการเผยแพร่ศาสนา
ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดๆ ล้วนแต่ใช้เทคโนโลยีการบันทึกภาพและเสียงถ่ายทอดเรื่องราวของ คาสอน ประวัติพระศาสดาหรือบันทึกแนวทางการประพฤติปฏิบัติตามศาสนาของตนเอง เป็นต้น
ภาพที่ 5.1 แสดงวีซีดี เทคโนโลยีในการบันทึกภาพและเสียงเพื่อการเผยแพร่ศาสนา
-58-
2. ตัวอย่างการถ่ายทอดวัฒนธรรมผ่านละคร
การถ่ายทอดวัฒนธรรมผ่านละครของประเทศเกาหลีถือเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดซึ่งถือว่าเป็นการ ผสมผสานการใช้เทคโนโลยีการผลิตและถ่ายทาละครบวกกับข้อเท็จจริงด้านประวัติศาสตร์และการเผยแพร่ วัฒนธรรมการกินในเรื่องของอาหาร วิวัฒนาการ การแพทย์ และ วัฒนธรรมการเมืองการปกครองในอดีตของ ชนชาติเกาหลีผ่านละครแดจังกึม ที่มีผลกระทบในการเปิดตลาดละครของเกาหลีได้เป็นอย่างดี เนื่องจากแด จังกึมเป็นนางในที่ทาหน้าที่ปรุงอาหารถวายพระราชาและราชวงศ์ทาให้ผู้ชมสามารถเห็นกรรมวิธีปรุงอาหารใน ห้องเครื่อง (ห้องครัว) ที่ล้วนใช้วัตถุดิบคัดสรรเป็นอย่างดีตามแบบฉบับของเกาหลีโบราณและเห็นถึงความ ละเอียดประณีตในการเตรียมเครื่องปรุงต่างๆ ภายหลังจากที่แดจังกึมต้องออกจากวัง ทาให้ได้เรียนรู้วิชา ทางการแพทย์ ละครถ่ายทอดถึงวิธีการฝังเข็มรักษาโรคแบบเกาหลีโบราณซึ่งแพทย์จะต้องมีความรู้และมีความ เชี่ยวชาญสูงเพราะหากฝังเข็มผิดจุดผู้ป่วยอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เหมือนดั่งแดจังกึมที่ช่วงแรกๆยังไม่มี ความมั่นใจพอที่จะฝังเข็มจนเกือบจะทาให้คู่ซ้อมฝังเข็มแทบจะเอาชีวิตไม่รอดมาแล้ว
ภาพที่ 5.2 แสดงตัวอย่างการถ่ายทอดวัฒนธรรมผ่านละคร
-59-
3. ศาสนายุคสังคมออนไลน์
ภาพที่ 5.3 แสดงศาสนายุคสังคมออนไลน์
สื่อธรรมะในปัจจุบันก็มีความเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เท่าทันต่อยุคสมัยให้เข้าถึงคนหมู่มากได้ง่ายขึ้น ใกล้ตัว มากขึ้น โดยการนาเอาข้อดีของ Social Network มาใช้ในการสอนหลักธรรมในการใช้ชีวิต ทาให้เกิดความ นิยมในหมู่ผู้ใช้งาน ที่บางครั้งไม่มีเวลาที่จะไปวัด หรือสนทนาธรรมก็หันมาใช้บริการในรูปแบบของการใช้ บริการออนไลน์ ตัวอย่างเช่น พระนักคิดยุคใหม่ที่หลายๆคนรู้จักกันดี คือ พระมหาวุฒิชัย (ว.วชิรเมธี) ท่านเป็น พระนักวิชาการ นักคิดนักเขียนทางพุทธศาสนารุ่นใหม่ เป็นนักปฏิบัติธรรมและนักบรรยายธรรมที่ผลิตผลงาน ออกมาในรูปสื่อโทรทัศน์และหนังสือออกมาอย่างสํม่าเสมอในยุคปัจจุบันท่านเป็นผู้ก่อตั้งสถาบันวิมุตยาลัย เป็นคอลัมนิสต์ให้กับหนังสือพิมพ์และ นิตยสารหลายฉบับ เช่น เนชั่นสุดสัปดาห์ มติชนสดุ สัปดาห์ โพสต์ ทูเดย์ ได้รับรางวัลมากมาย เช่น รางวัล“ผู้มีผลงานด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาดีเด่น” ช่องทางบนโลกสังคม ออนไลน์ของท่าน มีทั้งเว็บไซต์ มีข้อมูลที่ครบครัน ทั้งบทความธรรมะดีๆ วีดีโอและคลิปเสียงบรรยายธรรม ลองเข้าไปฟังธรรมะบรรยายหรืออ่านหนังสือของท่านได้ทาง http://www.dhammatoday.com ส่วน ช่องทาง Facebook มีจานวน Fan page ในปัจจุบันอยู่ที่ 456,078 คน ไว้อัพเดตข่าวสารทางธรรมะ รวมถึง เอาไว้โพสท์พุทธวัจนะ คาสั่งสอนของท่านและครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ เช่น หลวงปู่ชา ท่านพุทธทาสภิกขุ http://www.facebook.com/vajiramedhi รวมถึง Twitter ที่ vajiramedhi การทาให้คนทั่วไปเข้าถึง ธรรมะได้สะดวกทุกช่องทาง เป็นอีกหนทางของการเผยแผ่ธรรมะตามแนวทางของท่าน ว.วชิเมธี สาหรับท่าน ว.วชิรเมธีแลว้นี่คือการรู้จักใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ใช้เผยแผ่ธรรมะอย่างไม่มีขีดจากัดเป็นเส้นทางธรรม
-60-
ของท่าน ว.วชิรเมธี ที่สามารถประยุกต์เข้ากับสังคมไทยในทุกช่วงของสถานการณ์ โดยนากลไกการตลาด การ เข้าใจ และรู้จักใช้เทคโนโลยีและสื่อต่างๆ มาช่วยเผยแผ่ธรรมะไปยังกลุ่มคนทั่วไปได้อย่างเห็นผล ทาให้ธรรมะ เป็นของใกล้ตัว เมื่อคนสนใจธรรมะมากขึ้นก็มีสถานที่ปฏิบัติธรรมไว้รองรับ เพื่อให้ธรรมะอินเทรนด์เข้ากับทุก ยุคสมัยของสังคมไทยพระพุทธศาสนาในปัจจุบันมีการปรับตัวในการเผยแพร่ศาสนา คาสอนต่างๆ ให้เข้ากับ สังคมยุคใหม่ ที่ผู้บริโภคแทบจะไม่มีเวลาที่จะก้าวเท้าเข้าวัด ทาบุญ จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีออนไลน์ในปัจจุบัน สามารถนามาปรับใช้ได้กับทุกเรื่องในชีวิตของคนเรา เพื่อให้ชีวิตง่ายขึ้น สะดวกขึ้น หรือสามารถรับข่าวสารได้ ง่ายขึ้น แม้แต่เรื่องที่เคยอยู่ไกลตัวอย่างธรรมะก็เข้ามาอยู่ใกล้ๆในชีวิตประจาวันของเราได้อย่างง่าย
ภาพที่ 5.4 แสดงสื่อธรรมะออนไลน์
4. การถ่ายทอดสดพิธีสาคัญทางพระพุทธศาสนา
พิธีฮัจญ์คือการแสดงออกถึงการอุทิศตัวขั้นสูงสุด สาหรับผู้นับถือศาสนาอิสลาม 1.2 พันล้านคน จุดมุ่งหมายและเสียงเรียกของพิธีนี้คงอยู่ยาวนานกว่าอาณาจักรและสงครามใด ๆ นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 ชาว มุสลิมจากทุกมุมโลกจะออกเดินทางครั้งยิ่งใหญ่สู่เมกกะตามรอยเท้าศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ อิบรอฮีมและ มุฮัมมัด แต่ ในทะเลทรายอันโหดร้าย ผู้แสวงบุญต้องใช้เวลาเป็นปีๆ กว่าจะถึงที่หมาย และบางคนก็ไม่มีโอกาสไปถึง
ภายในเวลาเพยี ง 5 วัน บรรดาผู้แสวงบุญจะต้องสวดและทาพิธีต่างๆ ไปตามหุบเขามินาให้เสร็จ… พวก เขาต้องชุมนุมกันในที่ราบอาราฟัต… ทาพิธีกรรมอันเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิเสธมารร้ายที่จามารัต…และห้อม ล้อมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของศาสนาอิสลาม นั่นคือกะอฺบะหฺ
-61-
ภาพที่ 5.5 แสดงถ่ายทอดสดพิธีสาคัญทางพระพุทธศาสนา พิธีพระราชพิธีมงคลจรดพนังคัลแรกนาขวัญ
ความมุ่งหมายอันเป็นมูลเหตุให้เกิดมีพระราชพิธีนี้ขึ้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ในพระราชนิพนธ์เรื่อง พระราชพิธีสิบสองเดือน ว่า “การแรกนาที่ต้องเป็น ธุระของผู้ซึ่งเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เป็นธรรมเนียมนิยมมีมาแต่โบราณ เช่น ในเมืองจีนสี่พันปีล่วงมาแล้วพระเจ้า แผ่นดินก็ทรงลงไถนาเองเป็นคราวแรก พระมเหสีเลี้ยงตัวไหม ส่วนจดหมายเรื่องราวอันใดในประเทศสยามที่มี ปรากฏอยู่ในการแรกนานี้ก็มีอยู่เสมอเป็นนิจไม่มีเวลาว่างเว้น ด้วยการซึ่งเป็นใหญ่ในแผ่นดินลงมือทาเองเช่นนี้ ก็เพื่อจะให้เป็นตัวอย่างแก่ราษฎร ชักนาให้มีใจหมั่นในการที่จะทานา เพราะเป็นสิ่งสาคัญที่จะได้อาศัยเลี้ยง ชีวิตทั่วหน้า เป็นต้นเหตุของความตั้งมั่น และความเจริญไพบูลย์แห่งพระนครทั้งปวง แต่การซึ่งมีพิธีเจือปน ต่างๆ ไม่เป็นแต่ลงมือไถนาเป็นตัวอย่างเหมือนอย่างชาวนาทั้งปวงลงมือไถนาของตนตามปกติก็ด้วยความ หวาดหวั่นต่ออันตราย คือ น้าฝนน้าท่า มากไปน้อยไปด้วงเพลี้ยและสัตว์ต่างๆ จะบังเกิดเป็นอันตรายไม่ให้ได้ ประโยชน์เต็มภาคภูมิและมีความปรารถนาที่จะให้ได้ประโยชน์เต็มภาคภูมิเป็นกาลังจึงต้องหาทางที่จะแก้ไข และทางที่จะอุดหนุนและที่จะเสี่ยงทายให้รู้ล่วงหน้าจะได้เป็นที่มั่นอกมั่นใจโดยอาศัยคาอธิษฐานเอาความสัตย์ เป็นที่ตั้งบ้าง ทาการซึ่งไม่มีโทษนับว่าเป็นการสวัสดิมงคลตามซึ่งมาในพระพุทธศาสนาบ้าง บูชาเซ่นสรวงตาม ที่มาทางไสยศาสตร์บ้างให้เป็นการช่วยแรงและเป็นที่มั่นใจตามความปรารถนาของมนุษย์ซึ่งคิดไม่มีที่สิ้นสุด”
-62-
ภาพที่ 5.6 แสดงพิธีพระราชพิธีมงคลจรดพนังคัลแรกนาขวัญ พิธีแต่งตั้งพระสันตะปาปา
ภาพที่ 5.7 แสดงพิธีแต่งตั้งพระสันตะปาปา
มุขนายกแห่งคริสตจักรกรุงโรม (Bishop of the Church of Rome) และผู้นาคริสตจักรโรมันคาทอลิก ทั่วโลกคริสตจักรนี้ถือว่าพระสันตะปาปาเป็นผู้สืบตาแหน่งจากนักบุญซีโมนเปโตรอัครทูตของพระเยซู สมเด็จ พระสันตะปาปาฟรานซิสเป็นพระสันตะปาปาพระองค์ปัจจุบันตามการประชุมเลือกตั้งพระสันตะปาปาในวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 2013 ตาแหน่งของพระสันตะปาปา ในภาษาอังกฤษเรียก ปาปาซี (Papacy) และเขตอานาจ ทางคริสตจักรของพระสันตะปาปาเรียก สันตะสานักตั้งอยู่ที่กรุงโรม โดยถือตามความเชื่อสืบมาว่า นักบุญเป โตรและนักบุญเปาโลอัครทูตได้พลีชีพเป็นมรณสักขีในศาสนาคริสต์ที่นี่ พระสันตะปาปายังทรงดารงตาแหน่ง ประมุขนครรัฐวาติกันด้วย ซึ่งเป็นรัฐอธิปไตยที่ตั้งอยู่ภายในกรุงโรมตาแหน่งพระสันตะปาปาถือเป็นตาแหน่งที่ เก่าแก่ที่สุดในโลกตาแหน่งหนึ่งและมีบทบาทสาคัญในประวัติศาสตร์โลก ในสมัยโบราณพระสันตะปาปามี
-63-
หน้าที่หลักในการเผยแผ่ศาสนาคริสต์และตัดสินข้อขัดแย้งด้านความเชื่อภายในคริสตจักร[4] ในสมัยกลางพระ สันตะปาปามีบทบาทสาคัญมากในทางโลกในยุโรปตะวันตกด้วย เช่น เป็นผู้ตัดสินความขัดแย้งระหว่างประมุข ของรัฐ รวมถึงสงครามหลายครั้ง ปัจจุบันนี้นอกจากจะทาหน้าที่ด้านเผยแผ่ศาสนาคริสต์แล้ว พระสันตะปาปา ยังปฏิบัติพระกรณียกิจด้านคริสต์ศาสนสัมพันธ์และศาสนสัมพันธ์ งานการกุศลและการปกป้องสิทธิมนุษยชน ด้วย
จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีการถ่ายทอดสดพิธีการสาคัญต่างๆ ในแต่ละศาสนาทาให้ผู้ที่เลื่อมใสในศาสนามี ความเชื่อในสิ่งที่ตนยึดมั่นและเห็นพ้องต้องกันและมีความต้องการจะเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมในศาสนาของ ตนดังที่มีการถ่ายทอดสด ถือเป็นเครื่องมือในการเผยแพร่ศาสนาอย่างหนึ่งที่สาคัญ
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกับพระพุทธศาสนา ICT and Buddhism
ปีพุทธศักราช 2555 รัฐบาลไทย ได้ประกาศให้เป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองพุทธชยันตี อย่างยิ่งใหญ่ตลอด ทั้งปี โดยเน้นหนักในด้านการปฏิบัติบูชา และการมีส่วนร่วมของประชาชน ตั้งแต่ระดับครอบครัว ไปจนถึง ระดับชาติ ให้ประชาชนได้ปฏิบัติตนตามวิถีชาวพุทธอย่างแท้จริง อันจะทาให้เกิดความมั่นคง แห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างยั่งยืน
“พุทธชยันตี” หมายถึง ชัยชนะของพระพุทธเจ้า ที่มีต่อหมู่มารและกิเลสทั้งปวงอย่างสิ้นเชิง เพราะ พระองค์ ทรงตรัสรู้ในวันวิสาขบูชา เมื่อ 2600 ปี ล่วงแล้ว ทาให้พระนามว่า “สัมมาสัมพุทธะ” ปรากฏขึ้นใน โลก เป็นจุดเริ่มต้นแห่งคาสอนของพระพุทธศาสนา อันเกิดจากปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ทาให้ พุทธศาสนิกชน ได้มีพระธรรมเป็นหลักแห่งการดาเนินชีวิต เฉพาะประเทศไทย มหาเถรสมาคม ได้มีมติให้ เรียกงานฉลองนี้ว่า “พุทธชยันตี” 2600 ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
พระพุทธศาสนาได้ดารงอยู่ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกมายาวนานถึง 2600 ปี จนถึงยุค ของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวได้เชื่อมโยงให้โลกมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน มวลมนุษยชาติสามารถเข้าถึงและรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว ในมติของพระพุทธศาสนานั้น เทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสารได้ส่งผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบต่อพระพุทธศาสนา ตัวอย่างของผลกระทบ ด้านบวก เช่น การเผยแพร่พระพุทธศาสนาได้อย่างรวดเร็ว กว้างขวางทั่วโลก ผู้คนสามารถเข้าถึงพระธรรม คา สอนผ่านทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้โดยสะดวก ทุกที ทุกเวลา ในขณะเดียวกันก็ส่งผลกระทบ ด้านลบ เช่น การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เผยแพร่คาสอนของพระพุทธศาสนาที่ไม่ถูกต้อง เหมาะสม การดูหมิ่นพระพุทธศาสนาโดยกลุ่มคนต่างศาสนา เป็นต้น
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “ICT ก้าวหน้า คนต้องพัฒนาปัญญาและ วินัย” ความสาคัญตอนหนึ่งว่า “…ในขอบเขตเวลาที่เราเรียกว่ายุคโลกาภิวัตน์นั้น ศาสนาถูกเหตุการณ์หรือ ความเป็นไปต่างๆ ในโลกนี้กระทบกระทั่งอย่างไร หรือว่าถูกผลกระทบอะไรบ้าง ศาสนาเป็นอย่างไร ศาสนาจะ
-64-
ปรับตัวอย่างไร จุดเน้นไปอยู่ที่ศาสนา แต่ในที่นี้เห็นว่าเราไม่ควรเน้นเฉพาะที่ตัวศาสนา จึงเปลี่ยนหัวข้อเป็น ‘ศาสนากับยุคโลกาภิวัตน์’ ให้ศาสนาเป็นฝ่ายหนึ่ง และยุคโลกาภิวัตน์เป็นอีกฝ่ายหนึ่ง โดยที่ทั้งสองฝ่ายมี ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และกระทาต่อกัน คือ มองได้ทั้งในแง่ที่ว่าศาสนาได้รับผลกระทบอย่างไรจากยุค โลกาภิวัตน์ และศาสนาจะส่งผลต่อยุคโลกาภิวัตน์อย่างไร ตลอดจนศาสนาจะช่วยมนุษย์ในยุคโลกาภิวัตน์ได้ อย่างไร
ความสาคัญของเทคโนโลยีนั้น ถ้าพูดอย่างชาวบ้านก็มักว่าเป็นเครื่องมือ หรือเป็นเครื่องทุ่นแรง ทุ่นเวลา แต่ควมจริงมิใช่แค่นั้น มีความหมายมากกว่านั้นอีก พูดอย่างภาษาชาวบ้านก็ว่า เทคโนโลยีเป็นฤทธิ์เดช หรือ เป็นปาฏิหาริย์ทางวัตถุ อานาจสาคัญของเทคโนโลยีอยู่ที่ไหน ก็อยู่ว่า เทคโนโลยีเป็นเครื่องขยายวิสัยแห่ง อินทรีย์ของมนุษย์ ขยายอย่างไร คือเทคโนโลยีทาให้มนุษย์สามารถทาสิ่งที่อินทรีย์ธรรมดาของมนุษย์ทาไม่ได้…
อย่างเวลานี้พระไตรปิฎกก็เอาเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว ลง CD-ROM ทาให้เราสามารถค้นคได้ ครบถ้วนและแม่นยาด้วย อย่างเช่น เราจะค้นพระไตรปิฎกที่มีจานวนถึง 22,000 หน้า โดยประมาณ ถ้าเราค้น คาว่า ‘สภา’ กว่าจะค้นครบอาจใช้เวลาเป็นเดือน แล้วก็ไม่แน่ว่าจะครบทุกตัว เพราะใช้ตาดูบางทีก็อาจจะผ่าน ไปได้โดยไม่เห็นเสียอีก ต้องดูทวนไปมาหลายรอบ แต่ถ้าเราใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพียงเวลาไม่กี่วินาทีก็ดูคา ว่า ‘สภา’ ได้ครบถ้วน ว่าอยู่หน้าไหนข้อไหนบ้าง ในข้อความว่าอย่างไรหรืออย่างในเวลาที่จะศึกษาพุทธ ศาสนา เวลานี้ก็มีบางท่านเอา Lord Buddha’s Philosophy ลงใน Internet ทาให้สามารถศึกษาไปได้ทั่ว โลกอย่างรวดเร็ว เป็นเรื่องของอิทธิฤทธิ์ของเทคโนโลยีที่จัดได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง โดยเป็นเครื่องมือ ขยายวิสัยแห่งอินทรีย์ของมนุษย์คนไทยเราน่าจะใช้ไอทีแบบหนามบ่งหนาม คือใช้มันให้เป็นประโยชน์แบบ ย้อนกลับในการศึกษาให้รู้เท่าทันอย่างจริงจัง ให้รู้เข้าใจสังคมที่พัฒนาแล้วว่า เขาเป็นอย่างไรทั้งด้านดีและด้าน ร้าย และกลั่นกรองเลือกเอาแต่ประโยชน์ ไม่ใช่มัวแต่ติดตามเฉพาะผลผลิตทางอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีที่ จะเอามาเสพบริโภคเท่านั้น เราต้องรู้เข้าใจสภาพสังคมของเขาด้วยว่ามีดีมีด้อยอย่างไร มีส่วนที่เป็นความเจริญ และความเสื่อมอย่างไร อย่างน้อยเราควรแยกได้ว่าด้านไหนควรเป็นอย่างเขา ด้านไหนไม่ควรเป็น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะทรงเป็นพุทธมามกะและอัครศาสนูปถัมภก ก็ได้ทรงตระหนักถึง ความสาคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา นับเนื่องแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จประภาสโรงงานคอมพิวเตอร์ใหญ่ของไอบีเอ็มที่ซิลิคอนวอลเล่ย์ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เมอื่ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2503 เพื่อจุดประกายให้วงการคอมพิวเตอร์ของประเทศไทยให้ทัดเทียมประเทศที่ เจริญแล้ว ทรงพระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ พระราชดาริและพระบรมราชวินิจฉัยในการออกแบบและ จัดทาโปรแกรมพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ (โปรแกรมนี้ว่า BUDSIR: Buddhist Scriptures Information Retrieval) รวมทั้งมีพระราชวิจารณ์ในการออกแบบโปรแกรมสาหรับสืบค้นข้อมูลดังกล่าว
-65-
คาถามท้ายบท
1. จงอธิบายความหมายของ ศาสนาและวัฒนธรรม คืออะไร
2. จงสรุปสาระสาคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
3. จงอธิบายผลกระทบของการใชเทคโนโลยีสารสนเทศในแง่มุมต่างๆ
4. จงยกตัวอย่างการใช้เทคโนโลยีเพื่อเผยแพร่ศาสนาและวัฒนธรรม มาอย่างน้อย 3 ชนิด พร้อมทั้ง
บอกประโยชน์ที่ได้รับของแต่ละประเภท
-66-
บทที่ 6 เทคโนโลยีกับการพัฒนาการศึกษา
ปัจจุบันโลกได้ก้าวเข้าสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ เทคโนโลยีหลายประเทศต่างพยายามปรับกลยุทธ์เพื่อ ยกระดับศักยภาพของสังคมให้พัฒนา จึงเป็นผลทาให้การศึกษาเริ่มเปลี่ยนแปลงไปทั้งนี้อาศัยสื่อที่ทันสมัย โดยเฉพาะเทคโนโลยีทางด้านโทรคมนาคมและการสื่อสาร สามารถเชื่อมโยงข้อมูล ข่าวสารได้กว้างขวางทั่ว โลกเข้าด้วยกัน ทาให้เกิดการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารในเวลาอันสั้น การศึกษาหาข้อมูลและการเรียนรู้สิ่ง ต่างๆ ง่ายมากเพียงปลายนิ้วสัมผัส โดยอาศัยการเชื่อมโยงผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet) จึงเกิดเป็น ชุมชนเครือข่ายการเรียนรู้ ข้อมูลข่าวสารจึงกลายเป็นกุญแจสาคัญที่มุ่งไปสู่ “การศึกษา” ที่ไร้พรหมแดน
แนวโน้มของเทคโนโลยีสารสนเทศ
ในต้นศตวรรษที่ 19 เป็นช่วงที่มีการพัฒนาการสื่อสารทางไกลที่เรียกว่าโทรคมนาคม พร้อมกันนั้นก็มี เทคโนโลยีการสื่อสารทางด้านการกระจายเสียง คือ มีเรื่องของวิทยุและโทรทัศน์เกิดขึ้น ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่ มนุษย์ได้มีเครื่องมือสื่อสารหลายรูปแบบหลายลักษณะแต่ว่าในด้านการศึกษาได้นาเอาเครื่องมือเหล่านี้มาใช้ เพื่อการศึกษามากน้อยเพียงใด ขณะที่การใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ซึ่งเกิดขึ้นในกลางศตวรรษที่ 15 ยังมีใช้กันอยู่ มากประมาณได้ว่าประเทศไทยยังอยู่ใน ช่วงที่ 4 ขณะที่พัฒนาการด้านการสื่อสารได้ก้าวเข้าไปสู่ช่วงที่ 5 ก็คือ ช่วงที่ได้มีการเอาเทคโนโลยีโทรคมนาคมกับคอมพิวเตอร์เข้ามาผสมผสานกันกับโทรศัพท์ โทรศัพท์ก็สามารถที่ จะสร้างเป็นเครือข่ายของข่าวสารที่สามารถจะมีภาพก็ได้และสามารถที่จะใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารที่ไม่ใช่เฉพาะ ระหว่างบุคคลต่อบุคคลแต่สามารถใช้สื่อสารระหว่างบุคคลกับมวลชนได้ จึงมีการนาเอาเทคโนโลยีที่มีอยู่ใน สังคมหรือกาลังจะมีในสังคมมาใช้ประโยชน์ทางการศึกษาอย่างเหมาะสมกับพัฒนาการทางการศึกษาในช่วง นั้นๆ และถ้าศึกษาถึงแนวโน้มทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ อย่างน้อยเห็นแนวโน้มได้ 3 ลักษณะคือ
แนวโน้มที่ 1 เทคโนโลยีสารสนเทศนั้นจะเป็นการสื่อสารมวลชนมากขึ้นทั้งๆ ที่สื่อหรือการสื่อสาร บางอย่างเริ่มต้นในฐานะเป็นสื่อระหว่างบุคคลตัวอย่าง เช่น เรื่องโทรศัพท์แต่ก่อนใช้เพื่อสื่อสารระหว่างบุคคลที่ ต้องการใช้โทรศัพท์โทรถึงกันแต่มาบัดนี้โทรศัพท์สามารถที่จะใช้เพื่อสื่อสารไปถึงคนจานวนมากได้โดยใช้ เทคโนโลยีอื่นๆประกอบ
แนวโน้มที่ 2 สภาพของสื่อที่ใช้เสียงในการสื่อสารขณะนี้เริ่มพัฒนาเป็นการสื่อสารด้วยภาพมากขึ้นและ เป็นการผสมระหว่างภาพกับเสียงแม้ปัจจุบันที่มีวิทยุโทรทัศน์เป็นทั้งภาพและเสียง ส่วนโทรศัพท์ แต่ก่อนเป็น แต่เรื่องเสียงตอนนี้โทรศัพท์ก็จะเป็นทั้งเสียงและภาพ ซึ่งสื่อทั้งหลายรวมทั้งคอมพิวเตอร์ก็เริ่มมาใช้งานใน ลักษณะที่นาเสนอเป็นภาพและเสียงมากขึ้น จากแนวโน้มในข้อนี้เห็นได้ว่าสื่อใดที่มีทั้งภาพและเสียงสื่อนั้นจะมี ประสิทธิภาพในการสื่อสารสูง
-67-
แนวโน้มที่ 3 สื่อประเภทต่างๆ มีราคาถูกลงโดยมีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงขึ้น คอมพิวเตอร์ วิทยุ โทรทัศน์หรือแม้แต่โทรศัพท์มีราคาแพง ปัจจุบันยิ่งพัฒนาไปมากเท่าไร ราคาก็ยิ่งถูกลงทาให้ มีการนาเอามาใช้ มากยิ่งขึ้น
แนวคิดการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษา
ถ้าย้อนกลับมาดูพัฒนาการทางการศึกษาของประเทศไทยจะเห็นได้ว่าอาศัยความก้าวหน้าทางด้านการ สื่อสารเป็นส่วนประกอบสาคัญในการพัฒนาการศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบโรงเรียนมาตลอดโดยเฉพาะ อย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาทางไกลตัวอย่างที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชได้ใช้ระบบนี้ในการ จัดการศึกษา ซึ่งพบว่าการจัดการศึกษาเกี่ยวข้องกับการพัฒนาทางด้านการสื่อสารทั้งสิ้น กล่าวคือสมัยแรกที่ กิจการไปรษณีย์เป็นที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางการสอนทางไกลก็จะไปเกี่ยวกับการบริการทางไปรษณีย์คือ การเอาสิ่งพิมพ์ในรูปของตาราส่งไปทางไปรษณีย์เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนที่บ้านต่อมาเมื่ อวิทยุเข้ามามีบทบาทใน การสื่อสาร มหาวิทยาลัยทางวิทยุก็เกิดขึ้นและใช้สื่อวิทยุซึ่งเป็นสื่อเสียงในการสอนและก็อาจมีสื่อสิ่งพิมพ์ ประกอบด้วยเมื่อโทรทัศน์เข้ามามีบทบาทในการสื่อสารมวลชนก็เกิดมีมหาวิทยาลัยที่สอนโดยใช้โทรทัศน์ ร่วมกับเอกสาร สิ่งพิมพ์มาถึงยุคปัจจุบันมีการพัฒนาการด้านการสื่อสารหลายๆ อย่างโดยมีความคิดว่าจะไม่ ขึ้นอยู่กับสื่อสารใด สื่อสารหนึ่งเท่านั้นเพราะจะทาให้ใช้ประโยชน์ไม่ได้เต็มที่ ต้องใช้การสื่อสารหลายๆ รูปแบบ ที่เรียกว่า “การใช้สื่อสารแบบประสม”
บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศต่อการศึกษา
เทคโนโลยีสารสนเทศมีแหล่งกาเนิดมาจากเทคโนโลยีที่ทาหน้าที่ผลิตประมวลและแพร่กระจาย สารสนเทศดังนั้นเทคโนโลยีสารสนเทศจึงเป็นเครื่องมือในการดาเนินงานสารสนเทศให้เป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพในทุกๆ ด้านตั้งแต่การผลิตการจัดเก็บการประมวลผลการค้นคิดและการส่งสารสนเทศซึ่งจะทาให้ สารสนเทศถึงมือผู้ใช้ตามที่ต้องการเทคโนโลยีสารสนเทศจึงมีบทบาทดังที่กัลยาอุดมวิทิตได้กล่าวถึงบทบาท ของสารสนเทศในด้านต่างๆ ดังนี้
1. ด้านการศึกษาเทคโนโลยีสารสนเทศช่วยแก้ปัญหาการกระจายการศึกษาให้เข้าถึงประชาชนได้อย่าง ทั่วถึงและมีประสิทธิภาพเท่าเทียมกันโดยเฉพาะประชาชนที่อยู่ห่างไกลสามารถรับรู้ข่าวสารและวิชาการเพื่อ พัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองให้ดีขึ้นด้วยการสื่อสารทางไกลผ่านดาวเทียม
2. ด้านสาธารณสุขเทคโนโลยีสารสนเทศถูกนามาใช้ในระบบการรักษาทางไกลหรือการแพทย์ทางไกล ผ่านดาวเทียมTelemedicineซึ่งแพทย์ที่อยู่ต่างสถานที่กันสามารถติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลคนไข้
-68-
แลกเปลี่ยนประสบการณ์และเป็นแหล่งวิทยาการทางด้านการแพทย์เพื่อให้ค้นคว้าได้และยังทาให้เกิดกิจกรรม บริการทางการแพทย์แบบใหม่ขึ้นได้
3. ด้านการเกษตรเทคโนโลยีสารสนเทศสามารถนามาใช้ในด้านการเกษตรได้โดยช่วยจัดระบบการผลิต การคาดการณ์ราคาหรือการพยากรณ์อากาศการรวบรวมข้อมูลต่างๆเพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถตัดสินใจ เกี่ยวกับการผลิตได้ดีขึ้นและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้
4. ด้านสิ่งแวดล้อมเทคโนโลยีสารสนเทศจะช่วยในการวางแผนบริหารและจัดการด้านสิ่งแวดล้อมโดย สารวจและเก็บข้อมูลฐานข้อมูลด้านทรัพยากรธรรมชาติและช่วยในการจัดระบบจราจรเพื่อลดมลภาวะได้
5. ด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศถูกนามาใช้ในกระบวนการผลิตสินค้าต่างๆโดยออกแบบ ผลิตภัณฑ์โดยใช้คอมพิวเตอร์หรือการใช้คอมพิวเตอร์เข้าควบคุมในกระบวนการผลิต
6.ด้านอื่นๆเทคโนโลยีสารสนเทศยังมีบทบาทในการติดต่อสื่อสารการจัดสร้างเครือข่ายโทรคมนาคม ต่างๆเช่นเครือข่ายโทรศัพท์ในประเทศระหว่างประเทศเครือข่ายสื่อสารข้อมูลด้วยดาวเทียมขนาดเล็ก
การนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ทางการศึกษา
1. การจัดหลักสูตรในการจัดข้อมูลหรือการมีระบบข้อมูลทีมีประสิทธิภาพของสถานศึกษานั้น ขึ้นอยู่กับ ลักษณะความต้องการและการเลือกสรรใช้ข้อมูลที่จาเป็นและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการจัดการศึกษาของ สถานศึกษาและควรจะครอบคลุมองค์ประกอบพื้นฐานของการจัดการศึกษา
การจัดหลักสูตร ได้แก่ ตัวหลักสูตร แผนการสอน คู่มือ การพัฒนาหลักสูตร การสารวจความต้องการ ของชุมชน การใช้ตาราเรียนของครูและนักเรียน โดยมุ่งเน้นถึงความยืดหยุ่นและความเหมาะสมที่เอื้อต่อการ เรียนรู้และตอบสนองความต้องการของผู้เรียนและท้องถิ่น โดยสอดคล้องกับเป้าหมายการศึกษาและเหมาะสม กับความต้องการของผู้เรียนเพียงใด
2. กระบวนการเรียนการสอนในการจัดข้อมูลหรือการมีระบบข้อมูลทีมีประสิทธิภาพของสถานศึกษา นั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะความต้องการและการเลือกสรรใช้ข้อมูลที่จาเป็นและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการจัด การศึกษาของสถานศึกษาและควรจะครอบคลุมองค์ประกอบพื้นฐานของการจัดการศึกษา
กระบวนการเรียนการสอน ได้แก่ ลักษณะของวิธีการสอน การมีส่วนรวมของนักเรียน ตารางสอน การ ใช้ตาราเรียน สื่อการสอน การประเมินผลการเรียนการสอนการรายงานผลการเรียน การสอนซ่อมเสริม โดยมี การจัดการเรียนการสอนที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพมีการสอนให้สอดคล้องกับหลักสูตรขั้นพื้นฐานจะ จัดการเรียนกาสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง นอกจากนั้นยังคานึงถึงการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นและสื่อมา ประยุกต์ใช้ ในการจัดการเรียนการสอน
-69-
3. การบริหารในการจัดข้อมูลหรือการมีระบบข้อมูลทีมีประสิทธิภาพของสถานศึกษานั้น ขึ้นอยู่กับ ลักษณะความต้องการ และการเลือกสรรใช้ข้อมูลที่จาเป็นและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการจัดการศึกษา ของสถานศึกษาและควรจะครอบคลุมองค์ประกอบพื้นฐานของการจัดการศึกษา
การบริหาร ได้แก่บริหารงานโรงเรียนด้านต่างๆ เช่น งานธุรการ ได้แก่ การบริหารบุคลากร งบประมาณ การวางแผนงาน งานวิชาการ ได้แก่ หลักสูตร การเรียน การสอน งานปกครอง ได้แก่ ตัวนักเรียน ซึ่งจาเป็นต้องเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นอย่างดีและบางอย่างต้องเป็นความลับ ข้อมูลเหล่านี้บางอย่างสามารถ แสดงได้เช่น จานวนครู นักเรียน ระบบงานธุรการ แผนงาน ประจาปี ฯลฯ เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นให้เกี่ยวข้อง ได้รับทราบ
4. การบริการ ในการจัดข้อมูลหรือการมีระบบข้อมูลทีมีประสิทธิภาพของสถานศึกษานั้น ขึ้นอยู่กับ ลักษณะความต้องการและการเลือกสรรใช้ข้อมูลที่จาเป็นและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการจัดการศึกษาของ สถานศึกษาและควรจะครอบคลุมองค์ประกอบพื้นฐานของการจัดการศึกษา
การบริการ คือ การให้บริการด้านต่างๆ ได้แก่ อาคารเรียน อาคารประกอบและสิ่งอานวยความสะดวก ที่มีอยู่ในโรงเรียน เช่น ห้องเรียน ห้องปฏิบัติการ วัสดุอุปกรณ์ การเรียนการสอน ห้องสมุด ตลอดถึงแหล่ง เรียนรู้ทั้งในและนอกสถานศึกษา เป็นต้น
การนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้จัดการศึกษา
เทคโนโลยีสารสนเทศที่นามาใช้สาหรับการสอนเป็นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่หลายอย่าง ทาให้การ เรียนการสอนด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัย ห้องเรียนสมัยใหม่มีอุปกรณ์วิดีโอโปรเจคเตอร์ (Video Projector) มี เครื่องคอมพิวเตอร์ มีระบบการอ่านข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์แบบต่างๆรูปแบบของสื่อการศึกษาที่นามาใช้ในการ เรียนการสอน ก็มีหลากหลาย ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการนามาใช้ เช่น มัลติมีเดีย อิเล็กทรอนิกส์บุ๊ค วิดีโอ เทเลคอนเฟอเรนซ์ ระบบวิดีโอออนดีมานด์ ไฮเปอร์เท็กซ์ คอมพิวเตอร์ และระบบอินเทอร์เน็ต เป็นต้น
-70-
ภาพที่ 6.1 แสดงการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้จัดการศึกษา 1. คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
เป็นการนาเอาเทคโนโลยีรวมกับการออกแบบโปรแกรมการสอนมาใช้ช่วยสอน ย่อมาจากคาใน ภาษาอังกฤษว่า Computer-Assisted Instruction หรือเรียกย่อๆ CAI การจัดโปรแกรมการสอนโดยใช้ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนในปัจจุบันมักอยู่ในรูปของสื่อประสม (Multimedia) หมายถึง นาเสนอได้ทั้งภาพ ข้อความ เสียง ภาพเคลื่อนไหว ฯลฯ โปรแกรมช่วยสอนนี้เหมาะกับการศึกษาด้วยตนเองและเปิดโอกาสให้ ผู้เรียนสามารถโต้ตอบกับบทเรียนได้ตลอดจนมีผลป้อนกลับเพื่อให้ผู้เรียนรู้บทเรียนได้อย่างถูกต้องและเข้าใจ ในเนื้อหาวิชาของบทเรียนนั้นๆ
ลักษณะคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจึงเป็นบทเรียนที่ช่วยการเรียนการสอนและมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วย จัดบทเรียนให้เป็นระบบและเหมาะสมกับนักเรียนแต่ละคน โดยมีลักษณะสาคัญๆ ดังนี้
1. เริ่มจากสิ่งที่รู้ไปสู่สิ่งที่ไม่รู้ จัดเนื้อหาเรียงไปตามลาดับจากง่ายไปสู่ยาก
2. การเพิ่มเนื้อหาให้กับผู้เรียนต้องค่อยๆ เพิ่มทีละน้อยและมีสาระใหม่ไม่มากนักนักเรียนสามารถ เรียนรู้ได้ด้วยตนเองอย่างเข้าใจ
3. แต่ละเนื้อหาต้องมีการแนะนาความรู้ใหม่เพียงอย่างเดียวไม่ให้ที่ละมากๆ จนทาให้ผู้เรียนสับสน
-71-
4. ในระหว่างเรียนต้องให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมกับบทเรียน เช่น มีคาถามมีการตอบ มีทาแบบฝึกหัด แบบทดสอบ ซึ่งทาให้ผู้เรียนสนใจอยู่กับการเรียนไม่น่าเบื่อหน่าย
5. การตอบคาถามที่ผิด ต้องมีคาแนะนาหรือทบทวนบทเรียนเก่าอีกครั้งหรือมีการเฉลย ซึ่งเป็นการ เพิ่ม เนื้อหาไปด้วย ถ้าเป็นคาตอบที่ถูกผู้เรียนได้รับคาชมเชยและได้เรียนบทเรียนต่อไปที่ก้าวหน้าขึ้น
6. ในการเสนอบทเรียนต้องมีการสรุปท้ายบทเรียนแต่ละบทเรียนช่วยให้เกิดการวัดผลได้ด้วยตนเอง 7. ทุกบทเรียนต้องมีการกาหนดวัตถุประสงค์ไว้ให้ชัดเจนซึ่งช่วยให้แบ่งเนื้อหาตามลาดับ
ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีประโยชน์หลายประการดังนี้
1. ทาให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนการสอนมากขึ้น
2. ทาให้นักเรียนสามารถเลือกเรียนได้หลายแบบตามความถนัดของแต่ละบุคคล
3. ทาให้ไม่เปลืองสมองในการท่องจาสิ่งที่ไม่ควรจะต้องจา ใช้สมองในการคิดวิเคราะห์และตัดสินใจ
แทน
4. ทาให้สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการเรียนการสอนได้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
5. ทาให้ผู้เรียนมีอิสรภาพในการเรียน ไม่ต้องคอยครู อาจารย์ ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกเวลาที่
ต้องการ
6. ทาให้ผู้เรียนสามารถสรุปหลักการ เนื้อหา สาระของบทเรียนแต่ละบทเรียน
ประเภทของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่นามาใช้ในปัจจุบันมีอยู่มากมายหลายรูปแบบนักวิชาการและนักการศึกษาทั้งใน ประเทศและต่างประเทศได้จัดแบ่งประเภทตามลักษณะการใช้ดังนี้
1. คอมพิวเตอร์ใช้เพื่อการสอน (Tutoring) เป็นโปรแกรมที่สร้างขึ้นในลักษณะของบทเรียนที่ ลอกเลียนแบบการสอนของครู กล่าวคือ มีบทนา มีคาบรรยายซึ่งประกอบด้วยทฤษฎี กฎเกณฑ์แนวคิดที่สอน หลังจากที่นักเรียนได้ศึกษาแล้วก็มีคาถามเพื่อใช้ในการตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนมีการป้อนกลับ ตลอดจนมีการเสริมแรงและสามารถให้นักเรียนย้อนกลับไปเรียนบทเรียนเดิมได้หรือข้ามบทเรียนที่ได้เรียนรู้ แล้วได้ นอกจากนี้ยังสามารถบันทึกการเรียนของนักเรียนไว้ได้เพื่อให้ครูนาข้อมูลการเรียนของแต่ละคนกลับไป แก้ไขนักเรียนบางคนได้
2. คอมพิวเตอร์ใช้เพื่อการฝึก (Drill and Practice) แบบฝึกส่วนใหญ่ใช้เพื่อเสริมทักษะเมื่อครูได้สอน บทเรียนบางอย่างไปแล้วจุดมุ่งหมายเพื่อฝึกหัดกับคอมพิวเตอร์เพื่อวัดระดับหรือ ให้ฝึกจนถึงระดับที่ยอมรับได้ บทเรียนประเภทนี้ จึงประกอบด้วยคาถามและคาตอบ การเตรียมคาถามต้องเตรียมไว้มากๆ ซึ่งผู้เรียนควรได้ สุ่มขึ้นมาฝึกเองได้สิ่งสาคัญของการฝึกคือต้องกระตุ้นให้นักเรียนอยากทาและตื่นเต้นกับการทาแบบฝึกหัดนั้น
-72-
ซึ่งอาจมีภาพเคลื่อนไหว คาพูดโต้ตอบ มีการแข่งขันเช่น จับเวลาหรือสร้างรูปแบบที่ท้าทายความสามารถใน การคิดและการแก้ปัญหา
3. คอมพิวเตอร์ใช้เพื่อสร้างสถานการณ์จาลอง (Simulation) โปรแกรมประเภทนี้ เป็นโปรแกรมที่ใช้ จาลองสถานการณ์ให้ใกล้เคียงกับสถานการณ์ในชีวิตจริงของนักเรียนโดยมีเหตุการณ์สมมติต่างๆอยู่ใน โปรแกรมและผู้เรียนสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงหรือจัดกระทาได้สามารถมีการโต้ตอบและมีวัตแปรหรือ ทางเลือกหลายๆ ทางการสร้างสถานการณ์จาลองขึ้นเพื่อให้เกิดการเรียนรู้เมื่อสถานการณ์จริงไม่สามารถทาได้ เช่น การเคลื่อนที่ของลูกปืน การเดินทางของแสงการหักเหของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือการทาปฏิกิริยาทางเคมี ที่อาจเกิดการระเบิดขึ้นหรือการเจริญเติบโตนี้ใช้เวลานานหลายวัน การใช้คอมพิวเตอร์สร้างสถานการณ์จาลอง จึงมีความจาเป็นอย่างมาก
4. คอมพิวเตอร์ใช้เพื่อเป็นเกมในการเรียนการสอน (Game) โปรแกรมประเภทนี้นับเป็นแบบพิเศษของ แบบจาลองสถานการณ์โดยมีการแข่งขันเป็นหลัก สามารถเล่นได้คนเดียวหรือหลายคน ก่อให้เกิดการแข่งขัน และร่วมมือกันก่อให้เกิดการเรียนรู้ได้มากโดยการเพิ่มคุณค่าทางการศึกษา จุดมุ่งหมาย เนื้อหาและ กระบวนการที่เหมาะสม
5. คอมพิวเตอร์ใช้เพื่อการทดสอบ (Testing) เป็นโปรแกรมที่ใช้รวมแบบทดสอบไว้และสุ่มข้อสอบตาม จานวนที่ต้องการโดยที่ข้อสอบเหล่านั้นผ่านการสร้างมาอย่างดีมีความเชื่อถือได้ในการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนโปรแกรมมีการตรวจข้อสอบให้คะแนน วิเคราะห์และประเมินผลให้ผู้สอบได้ทราบทันที
6. คอมพิวเตอร์ใช้เพื่อการไต่ถามข้อมูล (Inquiry) เป็นโปรแกรมที่ช่วยในการค้นหาข้อเท็จจริงหรือ ข่าวสารที่เป็นประโยชน์ในตัว คอมพิวเตอร์แบบนี้จะมีแหล่งเก็บข้อมูลที่เป็นประโยชน์ซึ่งสามารถแสดงได้ทันที เมื่อผู้เรียนต้องการด้วยระบบง่ายๆที่ผู้เรียนสามารถทาได้เพียงแต่กดหมายเลขหรือใส่รหัสซึ่งทาให้คอมพิวเตอร์ แสดงข้อมูลที่ต้องการไต่ถามได้ตามต้องการ
2. การเรียนการสอนโดยใช้เว็บเป็นหลัก
เป็นการจัดการเรียนที่มีสภาพการเรียนต่างไปจากรูปแบบเดิมการเรียนการสอนแบบนี้อาศัยศักยภาพ และความสามารถของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตซึ่งเป็นการนาเอาสื่อการเรียนการสอน เป็นเทคโนโลยีสูงสุดมาช่วย สนับสนุนการเรียนการสอนให้เกิดการเรียนรู้จากการสืบค้นข้อมูลและเชื่อมโยงเครือข่ายทาให้ผู้เรียนสามารถ เรียนได้ทุกสถานที่และทุกเวลาการจัดการเรียนการสอนลักษณะนี้มีชื่อเรียกหลายชื่อ ได้แก่ การเรียนการสอน ผ่านเว็บ (Web-based Instruction) การฝึกอบรมผ่านเว็บ (Web-based Training) การเรียนการสอนผ่าน เวิล์ดไวด์เว็บ (www-based Instruction) การฝึกอบรมผ่านเวิล์ดไวด์เว็บ (www-based Training) เป็นต้น
-73-
ความหมายของการเรียนการสอนโดยใช้เว็บเป็นหลัก
การเรียนการสอนโดยใช้เว็บเป็นหลักเป็นการประยุกต์ใช้ยุทธวิธีการสอนด้านพุทธพิสัย (Cognitive) ภายใต้สภาพแวดล้อมทางการเรียนที่ผู้เรียนเป็นผู้สร้างองค์ความรู้และการเรียนแบบร่วมมือกัน (Collaborative Learning) เนื่องจากการเรียนแบบนี้ผู้เรียนเป็นผู้ควบคุมการเรียนด้วยตนเองเน้นผู้เรียนเป็น สาคัญ (Child Center) และเรียนด้วย
การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น (Learner Interaction)
การเรียนการสอนโดยใช้เว็บเป็นหลักเป็นการจาลองสถานการณ์การเรียนการสอนในห้องเรียนในรูปของ สืบค้นองค์ความรู้จากเว็บหรืออาจเรียกว่า อีเลิร์นนิ่ง (e-Learning) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอีเอ็ดยูเคชั่น (e- Education) และเป็นส่วนหนึ่งของอีคอมเมิร์ช (e-Commerce)
ภาพที่ 6.2 แสดงระบบ e-Commerce, e-Education และ e-Learning
ประเภทของสื่อที่ใช้ในการเรียนการสอนโดยใช้เว็บเป็นหลัก
1. เวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web) ใช้สาหรับเป็นแหล่งความรู้ฐานและเป็นแหล่งความรู้ภายนอก เพื่อการสืบค้น
2. อีเมล์ (e-Mail) ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างอาจารย์หรือเพื่อนร่วมชั้นเรียนด้วยกันใช้ส่วนการบ้านหรือ งานที่ได้รับมอบหมาย
3. กระดานข่าว (web board) ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่าง ผู้เรียน อาจารย์และผู้เรียนเป็นกลุ่ม ใช้กาหนด ประเด็นหรือกระทู้ตามที่อาจารย์กาหนดหรือตามแต่นักเรียนกาหนดเพื่อช่วยกันอภิปรายตอบคาถามใน ประเด็นที่เป็นกระทู้นั้นๆ
-74-
4. แชท (Chat) ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างผู้เรียน อาจารย์และผู้เรียนโดยการสนทนาแบบเวลาจริง (Real time) โดยมีทั้งสนทนาด้วยตัวอักษรและสนทนาทางเสียง (Voice Chat) ลักษณะใช้คือใช้สนทนาระหว่าง ผู้เรียนและอาจารย์ในห้องเรียนหรือชั่วโมงเรียนเสมือนว่ากาลังเรียนอยู่ในห้องเรียนจริงๆ
5. ไอซีคิว (ICQ) ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างผู้เรียนอาจารย์และผู้เรียนโดยการสนทนาแบบเวลาจริงหรือ หลังจากนั้นแล้ว โดยเก็บข้อความไว้การสนทนาระหว่างผู้เรียนและอาจารย์ในห้องเรียนเสมือนว่ากาลังคุยกัน ในห้องเรียนจริงๆ และบางครั้งผู้เรียนก็ไม่จาเป็นต้องอยู่ในเวลานั้นๆ ไอซีคิวจะเก็บข้อความไว้ให้และยังทราบ ด้วยว่าในขณะนั้นผู้เรียนอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์หรือไม่
6. คอนเฟอเรนซ์ (Conference) ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างผู้เรียน อาจารย์และผู้เรียนแบบเวลาจริงโดยที่ ผู้เรียนและอาจารย์สามารถเห็นหน้ากันได้โดยผ่านทางกล้องโทรทัศน์ที่ติดอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งสองฝ่าย ใช้บรรยายให้ผู้เรียนกับที่อยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์เสมือนว่ากาลังเรียนอยู่ในห้องเรียนจริงๆ
7. การบ้านอิเล็กทรอนิกส์ (Home electronics) ใช้สาหรับติดต่อสื่อสารระหว่างผู้เรียนอาจารย์เป็น เสมือนสมุดประจาตัวนักเรียน โดยที่นักเรียนไม่ต้องถือสมุดการบ้านจริงๆและใช้ส่งงานตามที่อาจารย์กาหนด เช่นให้เรียนรายงานโดยที่อาจารย์สามารถเปิดดูการบ้านอิเล็กทรอนิกส์ของนักเรียนและเขียนบันทึกเพื่อตรวจ งานและให้คะแนนได้แต่นักเรียนจะเปิดดูไม่ได้
ข้อดีของการเรียนการสอนโดยใช้เว็บเป็นหลัก
1. ช่วยเพิ่มปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียนผู้เรียนกับผู้สอนและผู้เรียนกับแหล่งการเรียนผู้อื่นๆ
2. ช่วยลดรายจ่ายในสภาพการเรียนการสอนจริงที่มีอาคารพร้อมสิ่งอานวยความสะดวกอื่นๆ ซึ่งเสีย ค่าใช้จ่ายมาก มีการเตรียมวัสดุอุปกรณ์และบางครั้งอาจเสี่ยงอันตรายดังนั้นการเรียนการสอนโดยใช้เว็บเป็น หลักจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายได้
3. ทาข้อมูลให้ทันสมัยและเป็นปัจจุบันได้ง่ายและรวดเร็วจึงทาให้เนื้อหาวิชาที่ผู้เรียนได้รับถูกต้องอยู่ เสมอ
4. ข้อมูลต่างๆที่ใช้ในการเรียนการสอนสามารถอ้างอิงผ่านระบบการสืบค้นได้ทันที
ข้อจากัดของการเรียนการสอนโดยใช้เว็บเป็นหลัก
1. ค่าใช้จ่ายในเรื่องเครื่องคอมพิวเตอร์ การติดตั้ง ค่าเช่ากรณีอยู่ต่างจังหวัดมีราคาสูงมาก
2. ขาดผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบระบบการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
3. มีอุปสรรคในด้านภาษาเนื่องจากข้อมูลที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต ส่วนมากเป็นภาษาอังกฤษ
4. ประสิทธิภาพการเรียนทั้งหมดอยู่ที่ผู้เรียนเป็นสาคัญอาจารย์ผู้สอนไม่สามารถควบคุมการเรียนของ
ผู้เรียนได้
5. ความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลและสืบค้นยังช้าทาให้เกิดความน่าเบื่อหน่าย
-75-
6. ผู้ใช้ยังขาดทักษะการใช้คอมพิวเตอร์และเครือข่ายจึงทาให้ไม่ค่อยอยากใช้และไม่สนใจที่จะเรียนใน รูปแบบนี้
7. ไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมการเรียนการสอนของสังคมซึ่งเน้นการถ่ายทอดความรู้จากครูอาจารย์เป็น หลัก
8. ขาดการสนับสนุนและปฏิรูปการจัดการศึกษาจากผู้บริหารในทุกระดับซึ่งไม่เข้าใจในเทคโนโลยี สารสนเทศ
3.มัลติมีเดีย
เป็นเทคโนโลยีได้พัฒนาก้าวหน้าจนสามารถรองรับการแทนข้อมูลข่าวสารขนาดใหญ่ได้มากขึ้น สามารถ นาเสนอข่าวสารที่เข้าใจได้ง่ายขึ้นการผสมรูปแบบหลายสื่อจึงทาได้ง่าย เช่น การใช้ภาพที่เป็นสีแทนภาพขาว- ดา เพื่อทาให้เข้าใจดีขึ้น ภาพเคลื่อนไหวทาให้น่าตื่นเต้นเรียนรู้ได้ง่ายตลอดจนการมีเสียงเมื่อนามารวมเข้า ด้วยกันเป็นมัลติมีเดีย ซึ่งการผสมรูปแบบสื่อหลายอย่างทาให้การเรียนรู้สมบูรณ์ขึ้น ดังนั้น การใช้มัลติมีเดีย คือการใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกับโปรแกรมซอฟต์แวร์ในการสื่อความหมายโดยการผสมผสานสื่อหลายชนิด เช่น ข้อความ สีสัน ภาพกราฟิก ภาพเครื่องไหว เสียงและภาพพยนต์ วิดีทัศน์และผู้ใช้สามารถควบคุมสื่อให้เสนอ ของมาตามต้องการได้ ระบบนี้จะเรียกว่า “มัลติมีเดียปฏิสัมพันธ์” การปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้สามารถกระทาได้ โดยผ่านทางคีย์บอร์ด เมาส์ หรือตัวชี้เป็นต้น
คุณค่าของมัลติมีเดีย
มัลติมีเดียได้นามาใช้ในการฝึกอบรม การทหาร และอุตสาหกรรมและยังเป็นเครื่องมือที่สาคัญทาง การศึกษา ทั้งนี้เพราะว่าเทคโนโลยีมัลติมีเดียสามารถทีจะนาเสนอได้ทั้งเสียง ข้อความ ภาพเคลื่อนไหว ดนตรี กราฟิก ภาพถ่าย วัสดุตีพิมพ์ และภาพยนตร์วิดีทัศน์ และสามารถที่จะจาลองภาพการเรียนการสอน โดย ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้โดยตรง จุดเด่นของการใช้มัลติมีเดียเพื่อการศึกษามีดังนี้
1. ส่งเสริมการเรียนด้วยตนเองแบบเชิงรุกกับแบบสื่อนาเสนอการสอนแบบเชิงรับ
2. สามารถเป็นแบบจาลองการนาเสนอหรือตัวอย่างที่เป็นแบบฝึกและสอนที่ไม่มีแบบฝึก 3. มีภาพประกอบและมีปฏิสัมพันธ์
4. เป็นสื่อที่สามารถพัฒนาเพื่อช่วยการตัดสินใจและแก้ไขปัญหาอย่างมีศักยภาพ
5. ยอมให้ผู้ใช้ควบคุมได้ด้วยตนเอง และมีระบบหลายแนวทางในการเข้าถึงข้อมูล
6. สร้างแรงจูงใจและมีหลายรูปแบบการเรียน
7. จัดการด้านเวลาในการเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้เวลาในการเรียนน้อย
-76-
การใช้มัลติมีเดียเพื่อการเรียนการสอน
การใช้มัลติมีเดียก็เพื่อเพิ่มทางเลือกในการเรียนและสนองต่อรูปแบบของการเรียน ของนักเรียนที่ แตกต่างกัน การจาลองสภาพการณ์ของวิชาต่างๆ เป็นวิธีการเรียนรู้ที่นาให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงก่อน การลงมือปฏิบัติจริงโดยสามารถที่จะทบทวนขั้นตอนและกระบวนการได้เป็นอย่างดี นักเรียนอาจเรียนหรือฝึก ซ้าได้และใช้มัลติมีเดียในการฝึกภาษาต่างประเทศ โดยเน้นเรื่องของการออกเสียงและฝึกพูด
มัลติมีเดียสามารถเชื่อมทฤษฎีและการปฏิบัติเข้าด้วยกันคือ ให้โอกาสผู้ใช้บทเรียนได้ทดลองฝึกปฏิบัติ ในสิ่งที่ได้เรียนในห้องเรียน และช่วยเปลี่ยนผู้ใช้บทเรียนจากสภาพการเรียนรู้ในเชิงรับมาเป็นเชิงรุกในด้านของ ผู้สอนใช้ มัลติมีเดียในการนาเสนอการสอนใน ชั้นเรียนแทนการสอนโดยใช้เครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ ทั้งนี้ เนื่องจากมัลติมีเดียจะสามารถนาเสนอความรู้ได้หลายสื่อและเสมือนจริงได้มากกว่าการใช้สื่อประเภทแผ่นใส เพียงอย่างเดียว
องค์ประกอบของมัลติมีเดีย
ระบบมัลติมีเดียที่ใช้กับคอมพิวเตอร์เป็นระบบที่เน้นการโต้ตอบกับผู้เรียน กล่าวคือ เมื่อคอมพิวเตอร์ นาเสนอข้อมูลข่าวสาร ผู้ใช้สามารถโต้ตอบในลักษณะเวลาจริง (Real Time) การโต้ตอบจึงทาให้รูปแบบของ การใช้งานมีความเหมาะสมและตรงกับความต้องการของผู้ใช้ได้มากขึ้น ดังนั้นระบบมัลติมีเดียจึงเป็นระบบการ นาข้อมูลข่าวสารที่มีขนาดใหญ่มาใช้กับคอมพิวเตอร์ ซึ่งเน้นการใช้สื่อผสมหลายรูปแบบ ได้แก่ เสียง ภาพถ่าย ภาพกราฟิก ภาพเคลื่อนไหวและวิดีทัศน์ เป็นต้น มัลติมีเดียสามารถสร้างขึ้นจากโปรแกรมประยุกต์หลายๆ โปรแกรมแต่อย่างใดก็ตาม จะต้องประกอบด้วย 2 สื่อหรือมากกว่าตามองค์ประกอบดังนี้ คือ ข้อความ ภาพเคลื่อนไหว เสียงภาพนิ่ง การเชื่อมโยงแบบปฏิสัมพันธ์และภาพยนตร์วิดีทัศน์
ดังนั้น จึงอาจสรุปได้ว่า การที่มัลติมีเดียแทนข้อมูลข่าวสารได้มากและน่าสนใจ ตลาดของมัลติมีเดียจึง กว้างขวางและเป็นตลาดที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในวงการศึกษามัลติมีเดียมีความเหมาะสมสาหรับองค์ประกอบ การเรียนรู้เป็นอย่างยิ่งเพราะเป็นสื่อเพื่อการเรียนรู้โดยตอบรับประสาทสัมผัสได้มากกว่า มัลติมีเดียจึงเป็นสื่อ ทางการเรียนการสอนและการศึกษาที่มีขอบเขตกว้างขวาง เพิ่มทางเลือกในการเรียนและการสอน สามารถ สนองต่อรูปแบบของการเรียนของนักเรียนที่แตกต่างกันได้ สามารถจาลองสภาพการณ์ของวิชาต่างๆ เพื่อการ เรียนรู้ได้ นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงก่อนลงมือปฏิบัติจริง สามารถที่จะทบทวนขั้นตอนและกระบวนการ ได้เป็นอย่างดี จึงกล่าวได้ว่ามัลติมีเดียมีความเหมาะสมที่นามาใช้ทางการสอนและการศึกษา
4. ซีดีรอม
พัฒนาการอีกด้านหนึ่งคือการเก็บข้อมูลจานวนมากด้วยซีดีรอม ซีดีรอมหนึ่งแผ่นสามารถเก็บข้อมูล ตัวอักษรได้มากถึง 600 ล้านตัวอักษร ดังนั้น ซีดีรอมหนึ่งแผ่นสามารถเก็บข้อมูลหนังสือหรือเอกสารได้ มากกว่าหนังสือหนึ่งเล่มและที่สาคัญคือการใช้กับคอมพิวเตอร์ทาให้สามารถเรียกค้นหาข้อมูลภายในซีดีรอมได้
-77-
อย่างรวดเร็วโดยใช้ดัชนีสืบค้นหรือสารบัญเรื่อง ซีดีรอมจึงเป็นสื่อที่มีบทบาทต่อการศึกษาอย่างยิ่ง เพราะใน อนาคตหนังสือต่างๆ จะจัดเก็บอยู่ในรูปซีดีรอมและเรียกอ่านด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า อิเล็กทรอนิกส์ บุ๊ค ซีดีรอมมีข้อดี คือ สามารถจัดเก็บข้อมูลในรูปของมัลติมีเดียและเมื่อนาซีดีรอมหลายแผ่นใส่ไว้ในเครื่องอ่าน ชุดเดียวกัน ทาให้ซีดีรอมสามารถขยายการเก็บข้อมูลจานวนมากยิ่งขึ้นได้ปัจจุบันแนวโน้มด้านราคาของ ซีดีรอมมีแนวโน้มถูกลงเรื่องๆ จนแน่ใจว่าสื่อซีดีรอมจะเป็นสื่อที่นามาใช้แทนหนังสือที่ใช้กระดาษในอนาคต ทั้งนี้เชื่อว่าสื่อที่ใช้กระดาษจะมีแนวโน้มราคาสูงขึ้น
5. ระบบการเรียนการสอนทางไกล
การศึกษาเน้นระบบการกระจายการศึกษา การเรียนการสอนทางไกลเป็นช่องทางหนึ่งที่ใช้เพื่อกระจาย การศึกษา ระบบการกระจายการศึกษาที่ได้ผลในปัจจุบัน และเข้าถึงมวลชนจานวนมาก ย่อมต้องใช้เทคโนโลยี สารสนเทศเข้าช่วย
ในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะมีสถานีโทรทัศน์เพิ่มขึ้นอาจจะมากกว่า 100 ช่องในอนาคต และมีระบบ โทรทัศน์ที่กระจายสัญญาณโดยตรงผ่านความถี่วี VHF และ UHF ระบบ VSF ได้แก่สถานีโทรทัศน์ ช่อง 3 ช่อง 5 ช่อง 7 ช่อง 9 และช่อง 11 ส่วนระบบ UHF ได้แก่ ไอทีวี (ITV) และยังมี DTH : Direct to Home คือระบบ ที่กระจายสัญญาณโทรทัศน์จากดาวเทียมลงตรงยังบ้านที่อยู่อาศัย ทาให้ครอบคลุมพื้นที่การรับได้กว้างขวาง เพราะไม่ติดขัดสภาพทางภูมิประเทศที่มีภูเขาขวางกั้น ดังนั้นการใช้ระบบโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมจึงเป็นวิธีการ หนึ่งที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนทางไกลเพื่อกระจายโอกาสทางการศึกษา
การเรียนการสอนทางไกลโดยใช้ระบบโทรทัศน์ที่มีอยู่ในปัจจุบันมีข้อจากัดคือเป็นการสื่อสารทางเดียว (One-way) ทาให้ผู้เรียนได้รับข่าวสารข้อมูลเสียงด้านเดียวไม่สามารถซักถามปัญหาต่างๆ ได้จึงมีระบบ กระจายสัญญาณในรูปของสาย (Cable) โดยใช้เส้นใยแก้วนาแสงในการสื่อสารเหมือนสายโทรศัพท์ แต่มี ความเร็วในการสื่อสารข้อมูลได้มากกว่าสายโทรศัพท์ธรรมดา และส่งกระจายสัญญาณไปตามบ้านเรือนต่างๆ ก่อให้เกิดระบบวิดีโอเทเลคอนเฟอเรนซ์ (Video teleconference) ขึ้น ระบบดังกล่าวนี้เป็นระบบโต้ตอบสอง ทาง (Two-way) กล่าวคือทางฝ่ายผู้เรียนสามารถเห็นผู้สอนและผู้สอนก็เห็นผู้เรียนถึงแม้จะอยู่ห่างไกลกัน ทั้ง สองฝ่ายสามารถเจรจาตอบโต้กันเห็นภาพกันเสมือนนั่งอยู่ในห้องเดียวกัน ระบบวิดีโอเทเลคอนเฟอเรนซ์จึง เป็นระบบหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อการศึกษาทางไกลเมื่อระบบการศึกษาเน้นระบบการกระจายการศึกษา การ เรียนการสอนในห้องเรียนปกติและมีครูเป็นผู้สอนจากัดเวลาเรียนตายตัวและต้องเรียนในสถานที่ที่จัดไว้ให้ก็ อาจเปลี่ยน แปลงไปเป็นการจัดการศึกษาโดยใช้เทคโนโลยีเข้าไปมีส่วนช่วยในการเรียนรู้และเชื่อมโยงการสอน ของครูที่เก่าหรือเชี่ยวชาญไปสู่ผู้เรียนในสถานที่ต่างๆ ได้ทั่วถึงและรวดเร็ว ระบบการเรียนการสอนทางไกลจึง เกิดขึ้น ซึ่งสนองความต้องการของสังคม ปัจจุบันซึ่งเป็นสังคมข่าวสารการสอนทางไกลเป็นการเปิดโอกาสและ กระจายโอกาสทางการศึกษาไปสู่บุคคลกลุ่มต่างๆ อย่างทั่วถึงทาให้เกิดการศึกษาตลอดชีวิต
-78-
ความหมายของการเรียนการสอนทางไกล
การเรียนการสอนทางไกล หมายถึง การเรียนการสอนที่ผู้เรียนและผู้สอนอยู่ไกลกัน ใช้วิธีการถ่ายทอด เนื้อหาสาระและประสบการณ์โดยอาศัยสื่อประสมในหลายรูปแบบ ได้แก่ สื่อที่เป็นหนังสือ สื่อทางไปรษณีย์ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ วิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์ การประชุมทางไกลด้วยภาพและเสียง (Video Conference) อินเทอร์เน็ต เป็นต้น ช่วยให้ผู้เรียนที่อยู่ต่างถิ่นต่างที่กันสามารถศึกษาความรู้ได้
องค์ประกอบของระบบการเรียนการสอนทางไกล มีดังนี้
1. ผู้เรียนเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางที่มีอิสระในการกาหนดเวลา สถานที่และวิธีเรียน โดยผู้เรียนสามารถ
เรียนรู้จากแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ได้หลายรูปแบบ เช่น จากการสอนสดโดยผ่านการสื่อสารทางไกลและ เรียนผ่านระบบสารสนเทศทางอินเทอร์เน็ต เป็นต้น
2. ผู้สอนเน้นการสอนโดยใช้การสื่อสารทางไกลแบบ 2 ทางและอาศัยสื่อหลากหลายชนิดซึ่งช่วยให้ ผู้เรียนได้ด้วยตนเองหรือเรียนเสริมภายหลังได้
3. ระบบบริหารและการจัดการ จัดโครงสร้างอื่นๆ เพื่อเสริมการสอน เช่น การจัดศูนย์วิทยบริการ จัดระบบอาจารย์ที่ปรึกษาระบบการผลิตสื่อและจัดส่งสื่อให้ผู้เรียนโดยตรง เป็นต้น
4. การควบคุมคุณภาพ จัดทาอย่างเป็นระบบและดาเนินการต่อเนื่องสม่าเสมอ โดยเน้นการควบคุม คุณภาพในด้านขององค์ประกอบของการสอน เช่น ขั้นตอนการวางแผนงานกระบวนการเรียนการสอน วิธีการ ประเมินผลและการปรับปรุงกระบวนการ เป็นต้น
5. การติดต่อระหว่างผู้เรียน ผู้สอนและสถาบันการศึกษาเป็นการติดต่อแบบ 2 ทาง โดยใช้โทรทัศน์ โทรสาร ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
กระบวนการเรียนการสอน มีขั้นตอนสาคัญๆ 3 ขั้นตอนคือ
1. การเรียน-การสอน การเรียนทางไกลอาศัยครูและอุปกรณ์การสอนสามารถใช้สอนนักเรียนได้
มากกว่า 1 ห้องเรียนและได้หลายสถานที่ ซึ่งจะเหมาะกับวิชาที่นักเรียนหลายๆ แห่งต้องเรียนเหมือนๆ กัน เช่น วิชาพื้นฐาน ซึ่งจะทาให้ไม่ต้องจ้างครูและซื้ออุปกรณ์สาหรับการสอนในวิชาเดียวกันของแต่ละแห่ง การ สอนนักเรียนจานวนมากๆ ในหลายสถานที่ครูสามารถเลือกให้นักเรียนถามคาถามได้ เนื่องจากมีอุปกรณ์ช่วย ในการโต้ตอบ เช่น ไมโครโฟน กล้องโทรทัศน์หรือกล้องวิดีโอ และจอภาพเป็นต้น
2. การถาม – ตอบ ขั้นตอนที่สาคัญอย่างหนึ่ง คือ การใช้คาถามเพื่อให้เกิดการโต้ตอบหรือมีปฏิสัมพันธ์ สื่อทใี่ ช้อาจเป็นโทรศัพท์ กล้องโทรทัศน์หรือกล้องวิดีโอ ในระบบการสอนทางไกลแบบวีดิโอคอนเฟอเรนซ์หรือ โทรสารหรือไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นการถามตอบภายหลัง
-79-
3. การประเมินผล รูปแบบการประเมินผลการเรียนการสอนทางไกลนั้นผู้เรียนสามารถส่งการบ้าน และ ทาแบบทดสอบโดยใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์หรืออาจเป็นรูปแบบการประเมินผลในห้องเรียนปกติ (ในห้อง สอบที่จัดไว้) เพื่อผสมผสานกันไปกับการเรียนทางไกล
ดังนั้น การนาเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการสอนทางไกลจะประสบผลมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่า ผู้นามาใช้เข้าใจแนวคิดหลักการตลอดจนมีการวางแผนและเตรียมการไว้เป็นอย่างดี โดยคานึงถึงการสร้าง ปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนให้มากจะทาให้การเรียนการสอนน่าสนใจยิ่งขึ้น การใช้สื่อและอุปกรณ์การ สื่อสารอย่างหลากหลายทาให้เกิดสภาวะยืดหยุ่นของ การจัด ซึ่งเหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบันโดย ทั้งหมดทาให้บรรลุเป้าหมายที่สาคัญ คือความสามารถในการกระจายโอกาสทางการศึกษาและยกระดับ คุณภาพของการศึกษาจึงกลาย เป็นทางลัดที่เอื้อต่อการเรียนหลายประเภทและไปสู่การพัฒนาคุณภาพ การศึกษา
6. วิดีโอเทเลคอนเฟอเรนซ์
วิดีโอเทเลคอนเฟอเรนซ์หมายถึง การประชุมทางจอภาพโดยใช้เทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัยเป็นการ ประชุมร่วมกันระหว่างบุคคลหรือคณะบุคคลที่อยู่ต่างสถานที่และห่างไกลคนละซีกโลก ด้วยสื่อทางด้าน มัลติมีเดียที่ให้ทั้งภาพเคลื่อนไหว ภาพนิ่ง เสียงและข้อมูลตัวอักษรในการประชุมเวลาเดียวกันและเป็นการ สื่อสาร 2 ทาง จึงทาให้ดูเหมือนว่าได้เข้าร่วมประชุมร่วมกันตามปกติ
ด้านการศึกษาวิดีโอเทเลคอนเฟอเรนซ์ ทาให้ผู้เรียนและผู้สอนสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ผ่านทาง จอภาพ โทรทัศน์และเสียง นักเรียนในห้องเรียนที่อยู่ห่างไกลสามารถเห็นภาพและเสียงของครู สามารถเห็นอา กับกิริยาของ ผู้สอน เห็นการเคลื่อนไหวและสีหน้าของครูในขณะเรียนคุณภาพของภาพและเสียงขึ้นอยู่กับ ความเร็วของช่องทางการสื่อสารที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างสองฝั่งที่มีการประชุมกัน ได้แก่ จอโทรทัศน์ หรือ จอคอมพิวเตอร์ ลาโพง ไมโครโฟน กล้อง อุปกรณ์เข้ารหัสและถอดรหัสผ่านเครือข่ายการสื่อสารความเร็วสูง แบบไอเอสดีเอ็น (ISDN)
องค์ประกอบพื้นฐานของวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
1. เครือข่ายโทรคมนาคม มีหน้าที่เชื่อมสัญญาณจากผู้ร่วมประชุมแต่ละฝ่ายเข้าด้วยกันเพื่อการประชุม 2. อุปกรณ์เชื่อมต่อ (Terminal) เป็นอุปกรณ์ด้านทางและปลายทาง ทาหน้าที่รับและถ่ายทอดภาพและ
เสียงได้แก่ จอโทรทัศน์ เครื่องฉายภาพนิ่ง กล้องโทรทัศน์หรือวิดีโอ ไมโครโฟน เป็นต้น
-80-
ภาพที่ 6.3 แสดงอุปกรณ์เชื่อมต่อ (Terminal) ของระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์
อุปกรณ์เชื่อมต่อที่สาคัญของระบบวิดีโอเทเลเฟอเรนซ์ประกอบด้วย
1. กล้องโทรทัศน์ เป็นกล้องโทรทัศน์ที่ใช้ในการถ่ายภาพมีระบบเซอร์โวเพื่อควบคุมในระยะไกลให้กล้อง
สามารถปรับมุมเงย มุมก้มกวาดทางซ้ายหรือทางขวา ซูมภาพ เป็นต้นกล้องโทรทัศน์ที่ใช้จะสามารถควบคุมได้ จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งในระยะไกลได้
2. จอภาพโทรทัศน์หรือจอมอนิเตอร์ เป็นจอภาพที่สามารถใช้ได้ทั้งกับระบบ PAL หรือ NTSC ภาพที่ ปรากฏมีระบบรวมสัญญาณเพื่อแบ่งจอภาพออกเป็นจอเล็กๆเพื่อดูปลายทางของแต่ละด้านหรือดูภาพของ ตนเองระบบจอภาพอาจขยายเป็นจอใหญ่ขนาดหลายร้อยนิ้วได้ เช่นการใช้เครื่องฉายภาพโปรเจคเตอร์แทน จอภาพโทรทัศน์ เป็นต้น
3. เครื่องขยายเสียงมิกเซอร์และไมโครโฟน เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ขยายเสียงทั้งที่ต้นทางและปลายทางทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ร่วมประชุมหรือผู้เรียนในห้องทางไกลและด้านทางได้ยินเสียงชัดเจนสาหรับมิกเซอร์ใช้เพื่อรวม สัญญาณเสียงจากเครื่องเล่นวิดีทัศน์จากคอมพิวเตอร์และจากไมโครโฟน
4. คอมพิวเตอร์ เครื่องเล่นวิดีทัศน์และกล้องเอกสาร เป็นอุปกรณ์เชื่อมต่อเพื่ออานวยความสะดวกใน การใช้สื่อต่างๆประกอบการประชุมหรือสอนทางไกล เช่น การใช้ Power Point นาเสนอ ข้อความ ภาพหรือ ใช้กล้องเอกสารเพื่อส่งข้อความในรูปเอกสารหรือนาเสนอข้อมูลในหนังสือหรือตาราส่วนเครื่องเล่นวิดีทัศน์ใช้ เพื่อนารายการวิดีทัศน์ไปให้ผู้ชมที่อยู่ต้นทางและปลายทางเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้สื่อมากยิ่งขึ้น
5. แป้นควบคุมเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สาหรับควบคุมระบบ เช่น ควบคุมการปรับมุมกล้องที่ปลายทางหรือที่ ต้นทาง การเลือกช่องสัญญาณการปรับระดับเสียง การปิดเสียง การปรับภาพและสลับภาพการปรับมุมกล้อง และขนาดของภาพที่ถ่ายด้วยกล้องโทรทัศน์รวมถึงการใช้โทรเพื่อเชื่อมต่อการสื่อสารระหว่างกัน เป็นต้น
-81-
6. อุปกรณ์ประกอบอื่นๆ ได้แก่ ลาโพง เครื่องโทรสาร เครื่องโทรทัศน์ทั้งที่ต้นทางและปลายทาง เพื่อ การสื่อสารด้วยช่องทางอื่นๆ เพิ่มขึ้น
7. อุปกรณ์เข้ารหัสและถอดรหัส ในการใช้ระบบวิดีโอเทเลคอนเฟอเรนซ์มีความจาเป็นที่ต้องใช้ตัว เข้ารหัสและถอดรหัสจานวน 2 ชุดเพื่อแปลงสัญญาณอนาล็อกเป็นสัญญาณดิจิทัลและถอดรหัสกลับมาเป็น สัญญาณอนาล็อกเพื่อออกทางจอภาพโทรทัศน์และเครื่องขยายเสียงเพื่อให้ได้การสื่อสารที่เหมือนกับต้นทาง มากที่สุด
7. ระบบวิดีโอออนดีมานด์ (Video on Demand) ระบบวิดีโอออนดีมานด์เป็นระบบใหม่ที่กาลังได้รับความนิยมนามาใช้ในหลายประเทศ เช่นญี่ปุ่นและ
สหรัฐอเมริกาโดยอาศัยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ความ เร็วสูงทาให้ผู้ชมตามบ้านเรือนต่างๆสามารถเลือกรายการ วิดีทัศน์ที่ตนเองต้องการชมได้โดยเลือกตามรายการ (Menu) และเลือกชมได้ตลอดเวลา
วิดีโอออนดีมานด์ (Video on Demand) เป็นระบบที่มีศูนย์กลางการเก็บข้อมูลวิดีทัศน์ไว้จานวนมาก โดยจัดเก็บในรูปแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ (Video Server) เมื่อผู้ใช้ต้องการเลือกชมรายการใดก็เลือกได้จาก ฐานข้อมูลที่ต้องการระบบวิดีโอออนดีมานด์ จึงเป็นระบบที่จะนามาใช้ในเรื่องการเรียนการสอนทางไกลได้โดย ไม่มีข้อจากัดด้านเวลาผู้เรียนสามารถเลือกเรียนในสิ่งที่ตนเองต้องการเรียนหรือสนใจได้
ภาพที่ 6.4 แสดงการเชื่อมต่อระบบวิดีโอออนดีมานด์
องค์ประกอบของระบบวีดีโอออนดีมานด์ ได้แก่ วีดีโอเซอร์ฟเวอร์ (Video Server) เครื่องข่ายการ สื่อสารแบบเอทีเอม (ATM) และวิดีโอไครแอนท์ (Video Client)
วิดีโอเซอร์ฟเวอร์ เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงมีที่เก็บข้อมูลที่มีความจุสูงมากและมี ความเร็วในการอ่านข้อมูลสูงเพื่อที่จะเก็บข้อมูลวิดีโอสนองต่อความต้องการโดยผ่านทางเครือข่ายเอทีเอ็มของ ผู้ใช้ภายในเซอร์ฟเวอร์ยังเป็นที่บรรจุเอ็นโค้ดเดอร์รีลไทมเพื่อสาหรับการ แอ็กเซสไปสู่รายการต่างๆ โดยปกติ แล้วข้อมูลวิดีโอ มีขนาดใหญ่และต้องการส่งข้อมูลด้วยความ เร็วสูงเมื่อใช้เทคโนโลยีบีบอัดข้อมูลแบบเอ็มเพ็ก (Mpeg) ทาให้การส่งข้อมูลได้เร็วขึ้นและข้อมูล ภาพยนตร์ไม่ใหญ่มากเกินไป ขนาดของข้อมูลเป็นตัวกาหนด
-82-
คุณภาพ เช่น ส่งข้อมูลขนาด 1-5 เม็กกะบิตต่อวินาที ใช้มาตรฐาน MPEG-1 สาหรับคุณภาพระดับวิดีทัศน์ ระบบวีเฮชเอส (VHS) และ 6-8 เม็กกะบิตต่อวินาที (6-8 Mbps) สาหรับคุณภาพ MPEG-2 หรือระดับ ดีวีดี (DVD) เครื่องวิดีโอเซอร์เวอร์ต้องมี ประสิทธิภาพเพียงพอที่จะรองรับและแจกจ่ายข้อมูลวิดีโอเหล่านั้นไปยัง ผู้ใช้บริการ
เครื่องขายการสื่อสารแบบเอทีเอม (ATM: Asynchronous Transfer Mode) เป็นสถาปัตยกรรมที่มี การส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูง โดยข้อมูลรายการต่างๆ จะสร้างขึ้นมาในวิดีโอเซอร์ฟเวอร์แล้วแปลงให้เป็น เอทีเอ็ม โหมดจากนั้นก็จะส่งข้อมูลผ่านแอ็กเซสเน็ตเวอร์กโดยอาศัยเอทีเอ็มเซลล์ไปยังผู้ใช้บริการ
วิดีโอไครแอนท์ (Video Client) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถแปลง ข้อมูลที่ได้รับจากวิดีโอเซอร์ฟเวอร์ให้เป็นสัญญาณ แสดงผลขึ้นบนจอคอมพิวเตอร์หรือจอโทรทัศน์ได้
ภาพที่ 6.5 แสดงอุปกรณ์ส่วนผู้ใช้ปลายทาง (End-user equipment)
8. ไฮเปอร์เท็กซ์
ปัจจุบันได้มีการกล่าวถึงระบบไฮเปอร์เท็กซ์กันมากแม้แต่ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตก็มีการประยุกต์ใช้ ไฮเปอร์เท็กซ์จนมีโปรโตคอลพิเศษที่ใช้กัน คือ World Wide Web หรือเรียกว่า WWW. โดยผู้ใช้สามารถ เรียกใช้โปรโตคอล http เพื่อเชื่อมโยงเข้าสู่ระบบไฮเปอร์เท็กซ์ ซึ่งเป็นฐานข้อมูลในอินเทอร์เน็ต
ไฮเปอร์เท็กซ์ในปัจจุบันเป็นแบบมัลติมีเดียเพราะสามารถสร้างเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ที่เก็บได้ทั้ง ภาพ เสียง และตัวอักษร มีระบบการเรียกค้นที่มีประสิทธิภาพโดยใช้โครงสร้างดัชนีแบบลาดับชั้นภูมิ โดยทั่วไป ไฮเปอร์เท็กซ์จะเป็นฐานข้อมูลที่มีดัชนีสืบค้นแบบเดินหน้า ถอยหลังและบันทึกร่องรอยของการสืบค้นไว้ โปรแกรมที่ใช้ในการสร้างไฮเปอร์เท็กซ์มีเป็นจานวนมากส่วนโปรแกรมที่มีชื่อเสียงได้แก่ HTML,Composers, FrontPage, Macromedia Dreamweaver
-83-
ส่วนประกอบของไฮเปอร์เท็กซ์ มีส่วนประกอบที่สาคัญ 3 ส่วน ได้แก่
1. พอยท์ (Point) หมายถึง คาวลีหรือประโยคที่ใช้เป็นจุดเชื่อมโยงไปยังข้อมูลขยายความหมาย
บางครั้งอาจเรียกว่าสมอเชื่อมโยงเพื่อให้สามารถเชื่อมโยงไปสู่ข้อมูลที่เพิ่มขึ้น ขยายความมากขึ้น หรือมี รายละเอียดเพิ่มขึ้น
2. โน้ต (Node) หมายถึง กลุ่มของข้อมูลที่เป็นชุดเดียวกันและสัมพันธ์กันหรือเป็นเรื่องเดียวกัน ขนาด ของข้อมูลในกลุ่มอาจมีปริมาณมากหรือน้อยก็ได้
ภาพที่ 6.6 แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง Point to และ Node to
3. ลิงค์ (Link) หมายถึง การเชื่อมโยงซึ่งมีตัวชี้และตัวเชื่อมโยงข้อมูลเป็นสิ่งกาหนด การเชื่อมโยง ไฮเปอร์เท็กซ์เข้าด้วยกัน ลิงค์จะเป็นตัวบอกให้โปรแกรมนาโนดมาเสนอแก่ผู้อ่านหรือเชื่อมโยงไปยังโนดอื่นๆ ตัวชี้ในที่นี้อาจเป็นเคอร์เซอร์รูปนิ้วมือและการคลิกเมาส์ ซึ่งจะเป็นตัวนาไป สู่ข้อมูลส่วนขยายความต้องการ
นอกจากนี้ลิงค์ยังแบ่งออกได้เป็นแบบหนึ่งจุดต่อหลายจุด (One to Many) หรือแบบหลายจุดต่อหนึ่ง จุด (Many to One) หลักการของการเชื่อมโยงที่สาคัญจะต้องมีตัวชี้ (Index) หรือจุดอ้างอิง (Reference) เป็นหลักเพื่อเชื่อมโยงไปยังข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
ประโยชน์ของไฮเปอร์เท็กซ์ที่ใช้ทางการศึกษา มีข้อได้เปรียบกว่าการใช้เอกสารหรือสิ่งพิมพ์อยู่หลายด้าน ได้แก่
1. รูปแบบการนาเสนอและการสืบค้นน่าสนใจ ชวนติดตาม
2. การนาเสนอสามารถนาเสนอได้ทั้งวิดีทัศน์ กราฟิก ภาพเคลื่อนไหวและเสียง
3. สามารถเชื่อมโยงไปยังเอกสารอื่นๆ ภายนอกได้
4. ผู้ใช้สามารถสืบท่องไปยังเนื้อหาที่สนใจและต้องการได้ด้วยตนเอง
5. มีความเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ สามารถเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงเนื้อหาง่าย
6. ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลรายละเอียดได้อย่างรวดเร็ว
7. สามารถใช้ร่วมกับโปรแกรมประยุกต์อื่นๆ เพื่อการนาเสนอได้ง่าย ทาให้เกิดกิจกรรมการใช้งาน
หลากหลายขึ้น
-84-
8. สามารถประยุกต์ใช้กับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนหรือบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยฝึกอบรมได้ 9. เกิดความคงทนในการเรียนรู้มากกว่าการใช้เอกสารที่อยู่ในรูปสิ่งพิมพ์
10. ส่งเสริมการเรียนรู้รายบุคคลได้เป็นอย่างดี
9. อินเทอร์เน็ต (Internet)
เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีรากฐานความเป็นมา โดยการสนับสนุนของกระทรวงกลาโหมของ สหรัฐอเมริกาที่มีความประสงค์เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพ จึงสนับสนุนทุนวิจัยให้มหาวิทยาลัยชั้น นาในสหรัฐอเมริกา ทาการวิจัยเชื่อมโยง เครือข่ายขึ้นและให้ชื่อว่า APRANET ต่อมาเครือข่ายนี้ได้ขยายตัว อย่างรวดเร็วมีคนนิยมใช้กันมากยิ่งขึ้นจึงใช้ชื่อเครือข่ายใหม่ว่าอินเทอร์เน็ต เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเชื่อมโยงกัน ระหว่างมหาวิทยาลัยกับมหาวิทยาลัยและขยายตัวรวดเร็วออกไปสู่หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐบาลและเอกชน ในหลายประเทศ ประเทศไทยได้เชื่อมโยงเครือข่ายนี้โดยมีมหาวิทยาลัยกว่า 24 แห่งต่อผ่านช่องทางสื่อสารเข้า สู่อินเทอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ตมีประโยชน์ต่อการศึกษามากทาให้มหาวิทยาลัยต่างๆ ตื่นตัวต่อการใช้ ทั้งนี้เพราะว่าใน ระบบเครือข่ายมีข้อมูลข่าวสารที่ต้องการมากมาย จึงมีอัตราการขยายตัวของผู้ใช้สูงและครอบคลุมทุกแห่งทั่ว โลก จึงทาให้อินเทอร์เน็ตมีบทบาทต่อการศึกษาดังนี้
1. การใช้เป็นระบบสื่อสารส่วนบุคคล บนอินเทอร์เน็ตมีอิเล็กทรอนิกส์เมล์หรือเรียกย่อๆ ว่า อีเมล์ (e- Mail) เป็นระบบที่ทาให้การสื่อสารระหว่างกันเกิดขึ้นได้ง่าย แต่ละบุคคลจะมีตู้จดหมายเป็นของตัวเองสามารถ ส่งข้อความถึงกันผ่านในระบบนี้ โดยส่งไปยังตู้จดหมายของกันและกันนอกจากนี้ยังสามารถประยุกต์ไปใช้ ทางการศึกษาได้ เช่นการแจ้งผลสอบผ่านทางอีเมล์ การส่งการบ้าน การโต้ตอบบทเรียนต่างๆ ระหว่างอาจารย์ กับนักศึกษา
2. ระบบข่าวสารบนอินเทอร์เน็ตมีลักษณะเหมือนกระดานข่าวที่เชื่อมโยง ถึงกันทั่วโลก ทุกคน สามารถเปิดกระดานข่าวที่ตนเองสนใจ หรือสามารถส่งข่าวสารผ่านกลุ่มข่าวบนกระดานนี้เพื่อโต้ตอบข่าวสาร กันได้ เช่น กลุ่มสนใจงานเกษตรก็สามารถมีกระดานข่าวของตนเองไว้สาหรับอภิปรายปัญหากันได้
3. การใช้เพื่อสืบค้นข้อมูลข่าวสารต่างๆ บนอินเทอร์เน็ตมีแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงกัน และ ติดต่อกับห้องสมุดทั่วโลกทาให้การค้นหาข้อมูลข่าวสารต่างๆ ทาได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพหมายถึง สามารถค้นหาและได้มาซึ่งข้อมูลโดยใช้เวลาอันสั้น โดยเฉพาะบนอินเทอร์เน็ตจะมีคาหลัก (Index) ไว้ให้ สาหรับการสืบค้นที่รวดเร็ว
4. ฐานข้อมูลเครือข่ายใยแมงมุม (World Wide Web) เป็นฐานข้อมูลแบบเอกสาร (Hypertext) และ แบบมีรูปภาพ (Hypermedia) จนมาปัจจุบัน ฐานข้อมูลเหล่านี้ได้พัฒนาขึ้นจนเป็นแบบมัลติมีเดีย (Multimedia) ซ่ึงมีทั้งข้อความ รูปภาพ วิดีทัศน์และเสียง ผู้ใช้เครือข่ายนี้สามารถสืบค้นกันได้จากที่ต่างๆ ทั่วโลก
-85-
5. การพูดคุยแบบโต้ตอบหรือคุยเป็นกลุ่ม บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสามารถเชื่อมต่อกันและพูดคุยกันได้ ด้วยเวลาจริง ผู้พูดสามารถพิมพ์ข้อความโต้ตอบกันได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดบนเครือข่าย เช่น ฝ่ายหนึ่งอาจอยู่ ต่างประเทศอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ในที่ห่างไกลก็พูดคุยกันได้และสามารถพูดคุยกันเป็นกลุ่มได้
6. การส่งถ่ายข้อมูลระหว่างกันแบบ FTP (Files Transfer Protocol) คือสามารถที่จะโอนย้ายถ่ายเท ข้อมูลระหว่างกันเป็นจานวนมากๆ ได้ โดยส่งผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งทาให้สะดวกต่อการรับ-ส่ง ข้อมูลข่าวสาร ซึ่งกันและกันโดยไม่ต้องเดินทางและข่าวสารถึงผู้รับได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
7. การใช้ทรัพยากรที่ห่างไกลกัน ผู้เรียนอาจเรียนอยู่ที่บ้านและเรียกใช้ข้อมูลที่เป็นทรัพยากรการเรียนรู้ ของมหาวิทยาลัยได้ และยังสามารถขอใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ในต่างมาวิทยาลัยได้ เช่น มหาวิทยาลัยหนึ่งมี เครื่องคอมพิวเตอร์แบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์และผู้อยู่อีกมหาวิทยาลัยหนึ่งก็ขอใช้ได้ ทาให้มีการใช้ทรัพยากรที่ เป็นซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ได้อย่างมีประโยชน์และคุ้มค่าอย่างยิ่ง
ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าประโยชน์ของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตต่อการศึกษายังมีอีกมาก มหาวิทยาลัยเกือบทุก แห่ง จึงเร่งที่จะมีโครงการสร้างเครือข่ายความเร็วสูงขึ้นในมหาวิทยาลัยเพื่อให้ทรัพยากรภายในและผู้ใช้ เชื่อมโยงถึงกันได้ นอกจากนั้นยังสามารถต่อเชื่อมเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตได้
ความล้มเหลวในการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้เพื่อการศึกษา มีปัจจัยหลายประการ คือ
1. ขาดความเข้าใจและความสมเหตุสมผลในการใช้ เช่น หน่วยงานจัดซื้อคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพ
สูงเกินกว่างานที่จาเป็นมาใช้หรือซื้อเครื่องใหม่มาแทนเครื่องเดิม แม้ว่าเครื่องเดิมยังใช้งานได้ แต่ซื้อด้วยเหตุผล คือต้องการเครื่องที่ทันสมัย ดังนั้น การมีคอมพิวเตอร์ใช้ควรพิจารณาให้เหมาะสมกับการใช้งานทั้งจานวนและ ประสิทธิภาพ
2. ขาดความรู้ในการใช้งาน เช่น บุคลากรในสถานศึกษาขาดความรู้ในการใช้งาน ไม่กล้าใช้ สถานศึกษา ควรพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ในการใช้งานให้สอดคล้องกับความต้องการและความจาเป็นเพื่อประโยชน์ต่อ การศึกษา
3. ขาดการบารุงรักษา เช่น ไม่บารุงรักษาให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้หรือไม่ได้ตั้งงบ ประมาณบารุงรักษา จึงควรตรวจสภาพเครื่องให้พร้อมใช้งานตลอดเวลาเพื่อความคุ้มทุน
4. ขาดการพัฒนารูปแบบการใช้งานให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง เช่น การพัฒนาฐาน ข้อมูล การทา ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ได้เหมาะสมกับสภาพการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตามต้องพิจารณาถึงความคุ้มทุนต่อ การพัฒนา
5. ขาดการยอมรับจากผู้บริหารหรือผู้ร่วมงาน เช่น เมื่อหน่วยงานนาเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อสาร มาใช้ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงนั้นเพราะกลัวตกงาน
-86-
สรุป
การเติบโตของเทคโนโลยีสารสนเทศมีลักษณะเป็นแบบก้าวหน้า เช่น มีการพัฒนาทุกๆ สามปีและ พัฒนาการทางความเร็วของคอมพิวเตอร์จะเพิ่มขึ้นได้ประมาณสองเท่าเมื่อเป็นเช่นนี้ความก้าวหน้าทาง เทคโนโลยีสารสนเทศจึงมีแนวโน้มที่จะก้าวไปได้อีกมาก ความฝันหรือจินตนาการต่างๆ ที่คิดไว้จะเป็นจริงใน อนาคต พัฒนาการเหล่านี้ย่อมมีบทบาทที่สาคัญต่อการ ศึกษาอย่างมาก องค์กรที่ทาหน้าที่ในการวางแผน การศึกษาของชาติจะต้องให้ความสาคัญกับการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้อย่างเต็มที่การนาเอาเทคโนโลยีสารสนเทศ มาใช้ ให้เกิดประโยชน์ต่อมวลมนุษย์จึงเป็นเรื่องสาคัญ อย่างไรก็ตามการลงทุนทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศมี ราคาแพง จึงจาเป็นต้องเลือกสรรให้เหมาะสมกับการใช้ประโยชน์ผู้ที่เกี่ยวข้องจึงต้องมีการศึกษาและวางแผน ให้เหมาะสมเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและอย่าคิดว่าเทคโนโลยีสารสนเทศนี้เป็นเพียงเครื่อง ประดับเท่านั้น
คาถามท้ายบท
1. เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึงอะไร ประกอบด้วยเทคโนโลยีใดบ้าง พร้อมยกตัวอย่าง 2. เทคโนโลยีสารสนเทศมีความสาคัญอย่างไรบ้าง
3. เทคโนโลยีสารสนเทศมีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่และสังคมอย่างไรบ้าง
4. ในชีวิตประจาวันของนักศึกษาๆ ได้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอะไรบ้าง
5. จงบอกประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศมาอย่างน้อย 5 ข้อ
ความเป็นมาของเทคโนโลยีการสื่อสาร
-87-
บทที่ 7 เทคโนโลยีกับการสื่อสาร
ในปัจจุบันนี้เราสามารถติดต่อสื่อสารกับคนทั่วโลกได้สะดวกมาก แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ การสื่อสารได้มี วิวัฒนาการมาหลายยุคหลายสมัย วิวัฒนาการของการสื่อสารตั้งแต่ยุคแรกของมนุษย์ดังนี้ เชื่อกันว่าการสื่อสาร ระยะไกลของมนุษย์ในยุคแรกๆน่าจะเป็นการการตีเกราะ เคาะไม้ การส่งเสียงต่อเป็นทอดๆ และการส่ง สัญญาณควัน การสื่อสารถือเป็นสิ่งสาคัญต่อการดารงชีวิตอยู่ของมนุษย์โลก โดยเฉพาะในปัจจุบันซึ่งเป็นยุค ของโลกไร้พรมแดน (Globalization) หากมีการติดต่อสื่อสารที่สะดวก รวดเร็ว ย่อมทาให้การพัฒนา ประเทศชาติในทุกๆ ด้าน เจรญิ ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการติดต่อสื่อสารต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามา เกี่ยวข้องมากมาย ดังนั้นผู้ที่ประสบผลสาเร็จในการประกอบธุรกิจจึงควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ วิวัฒนาการเทคโนโลยีของการสื่อสารพอสมควรซึ่งในเบื้องต้นแสดงความเป็นมาของวิวัฒนาของการสื่อสารใน อดีต ต่อมาเมื่อมนุษย์รู้จักวิธีการเขียนหนังสือก็มีการคิดวิธีการสื่อสารกัน แบบใหม่โดยการฝากข้อความไปกับ นกพิราบ หรือการส่งข้อความไปกับม้าเร็วเป็นต้น
การสื่อสารถือเป็นส่วนสาคัญในการติดต่อข่าวสารถึงกัน การพัฒนาทางด้านการสื่อสารขึ้นมาเพื่ออานวย ความสะดวกในการส่งข่าวสารมากขึ้น ติดต่อสื่อสารได้ไกลมากขึ้น สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์สนใจในจุดเริ่มต้นของ การสื่อสารคือตั้งความมุ่งหมายที่จะกระจายข่าวสารจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดอื่นๆ ที่อยู่ไกลได้อย่างรวดเร็ว และ แผ่กว้างออก การสื่อสารด้วยสัญญาณไฟฟ้าเป็นการสื่อสารที่สามารถพัฒนาได้อย่างกว้างขวาง มี นักวิทยาศาสตร์หลายต่อหลายคนได้คิดค้นพัฒนาระบบสื่อสารด้วยสัญญาณไฟฟ้าต่อเนื่องเรื่อยมาจาอดีตจนถึง ปัจจุบัน กล่าวได้สรุปดังนี้
พ.ศ. 2375 แซมมวลมอร์ส (Samuel F.B. Morse) ได้ประดิษฐ์โทรเลขขึ้นมา โดยใช้จุด (Dots) และขีด (Dashes) เป็นรหัสในการส่งข่าวสาร จนถึงวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2386 แซมมวลมอร์สได้รับอนุญาตจากรัฐสภา อเมริกา ให้ติดตั้งเสาโทรเลขระหว่างวอชิงตันกับบัลติมอร์เพื่อใช้ในการส่งข่าวสาร และในวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2387 ได้ทาการส่งโทรเลขเป็นข้อความประวัติศาสตร์ว่า “What hath God wrought” (อะไรต่าง ๆ เป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้น) จากวอชิงตันไปบัลติมอร์เป็นการเปิดทาการสื่อสารและขยายเครือเพิ่มขึ้นมากมาย
พ.ศ. 2419 อเล็กซานเดอร์ เกรแฮมเบลล์ (Alexander Graham Bell) และผู้ช่วยของเขา โทมัส เอ วัตสัน (Thomas A. Watson) ได้ประดิษฐ์โทรศัพท์ขึ้นมาเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2419 ขณะที่เบลล์อยู่ใน บ้านและวัตสันอยู่บนเตียงนอนอีกห้องหนึ่งพร้อมหูฟังอันหนึ่ง เบลได้ทาถ้วยบรรจุน้ากรดสาหรับใส่แบตเตอรี่
-88-
หกรดเสื้อ เบลล์ได้ใช้คาพูดประวัติศาสตร์ว่า “ Mr. Watson come here I want you” (คุณวัตสันโปรดมา ที่นี่ผมต้องการคุณ) จากเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ทาให้วัตสันได้ยินเสียงพูดของเบลล์อย่างชัเจน โทรศัพท์ที่ เบลล์ประดิษฐ์ขึ้นในการทดลองครั้งนี้ยังไม่เหมาะสมในการใช้งานจริง จนกระทั่งปี พ.ศ. 2420 บริษัทเวสเทริน ยูเนียน (Western Union Company) ได้ให้บริการโทรศัพท์คู่สายแรกระหว่างซัมเมอร์วิลลีกับบอสตัน และได้ มีการเปิดชุมสายโทรศัพท์ขึ้นบริการเป็นครั้งแรกที่นิวฮาเวน หลังจากนั้นโทรศัพท์ก็แพร่หลายขึ้นอย่างรวดเร็ว
การสื่อสารด้วยคลื่นวิทยุมีนักวิทยาศาสตร์ 3 ท่านไดชื่อว่าเป็นผู้เริ่มต้น ได้ชื่อว่าเป็นผู้เริ่มต้นในการ สื่อสารด้วยคลื่นวิทยุคือ เจนส์ ซี แมกเวลล์ (James C. Maxwell) ในปี พ.ศ. 2407 ได้นาเอาทฤษฎีและ สมมติฐานของไมเคิล ฟาราเดย์ (Michael Faraday) โจเซฟ เฮนรี่ (Joseph Henry) และ ฮาน คริสเตียน เออสเตด (Hans Cristian Oersted) มารวมกันเข้าเป็นพื้นฐานเบื้องต้นของหลักการวิทยุ และยังพบการ แพร่กระจายคลื่นของแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งสามารถเดินทางไปในอากาศและสุญญากาศได้ความเร็วแสงคือ 3 x 108 เมตรต่อวินาที ไฮน์ริช เฮิรตซ์ (Heinrich Hertz) ในปี พ.ศ. 2423 ได้นาเอาทฤษฎีของแมกเวลล์มาทาการ ทดลองโดยการสร้างคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากวงจรออสซิลเลอเตอร์ ที่ประกอบด้วยตัวเก็บประจุ (C) และตัว เหนี่ยวนา (L) เพื่อทาการรับและส่งคลื่นวิทยุเฮิรตซ์และสามารถวัดความยาวคลื่น (l) และความถี่องคลื่น (¦) ที่ กาเนิดขึ้นมา ทาให้นามาคานวณความเร็ว (V) ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
กูกลิเอลโม มาโคนี (Guglielmo Marconi) ในปีพ.ศ. 2438 ได้ประดิษฐ์ระบบสื่อสารแบบโทรเลขไร้สาย ชุดแรกขึ้นมาสามารถส่งข่าวสารได้ไกลถึงประมาณ 3.2 กม. ต่อมาปี พ.ศ. 2442 ได้มีการส่งวิทยุโทรเลขข้าม ช่องแคบอังกฤษเป็นครั้งแรกไปยังอาณานิคม และในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ.2444 มาโคนีได้ส่งรหัสมอร์สโดย ใช้คลื่นวิทยุเป็นตัวพาสัญญาณไป ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกจากคอร์นเวลล์ประเทศอังกฤษไปยังเซนต์จอห์น ประเทศสหรัสอเมริกา ประสบความสาเร็จเป็นครั้งแรก
ปี พ.ศ. 2448 เซอร์ แอมโบรส เฟรมมิง (Sir Ambrose Fleming) ได้สร้างหลอดอิเล็กตรอนไดโอด สาเร็จ สามารถใช้จับคลื่นวิทยุความถี่สูงได้
ปี พ. ศ. 2450 ลี เดอ ฟอเรส (Lee De Forest) ได้ประดิษฐ์หลอดสุญญากาศ (Vacuum Tube) ชนิด หลอดไทรโอด (Triode) ขึ้นมา สามารถใช้ขยายสัญญาณคลื่นวิทยุและคลื่นเสียงได้ใช้ในการส่งสัญญาณ คลื่นวิทยุโทรเลข
ปี พ.ศ. 2460 ในประเทศสหรัสอเมริกา ได้มีกลุ่มบุคคลวิทยุสมัครเล่นทดลองเปลี่ยนสัญญาณสื่อสาร จากจุดและขีด มาใช้เป็นสัญญาณเสียงพูดผ่านสายอากาศไป และประดิษฐ์เครื่องรับเพื่อช่วยในการกระจาย เสียงให้ดังมากขึ้น
-89-
วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2463 ได้เปิดการสื่อสารทางไกลในทางการค้า โดยใช้การสื่อสารทางวิทยุระหว่าง สหรัสอเมริกากับต่างประเทศข่าวชิ้นแรกทสี่่งข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นการส่งสารระหว่างนิวยอร์ คกับลอนดอน ปลายปี พ.ศ. 2463 บริการทางด้านสื่อสารมีขึ้นในอังกฤษ ฝรั่งเศส นอร์เวย์ ฮาวาย ญี่ปุ่น และ เยอรมัน
ปี พ.ศ. 2446 มีการเปิดสถานีวิทยุกระจายเสียงหลายสถานี เช่น WSZ, KYW, WGY แล WEAF เป็นต้น ให้บริการขา่ วสารต่าง ๆ มีการโฆษณาสินค้า มีการออกอากาศการแข่งขันกีฬาและมีการหาเสียงเลือกตั้ง ของสหรัสอเมริกา
ปี พ.ศ. 2468 ได้มีการวิจัยทางด้านโทรทัศน์ในห้องทดลอง ต่อมาปี พ.ศ. 2471 สถานี W2 X BS ใน นิวยอร์ค ให้บริษัท RCA จัดตั้งเครื่องส่งโทรทัศน์ โดยใช้ไอโอโนสโคป (Iconoscope) เป็นกล้องโทรทัศน์และ ปรับปรุงแก้ไขเป็นกล้องแบบใช้ไคนสโคป (Kinescope) ต่อมาปี พ.ศ. 2474 สถานีโทรทัศน์ไดถูกตั้งขึ้นที่ ตึกเอ็มไพร์สเตท โดยสถานี RCA – NBC ทาการทดลองส่งเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนกรกฎาคม
ปี พ.ศ. 2475 สถานี RCA ทาการส่งโทรทัศน์ด้วยขนาดเส้นภาพ 120 เส้น ส่งออกอากาศโดยใช้ คลื่นวิทยุ มีการทดลองส่งภาพออกอากาศแบบใหม่ด้วยวิธีอัตโนมัติปี พ.ศ. 2497 FCC ได้อนุญาตการส่ง โทรทัศน์แบบการค้า มีสถานี NBC ในกรุงนิวยอร์ค ส่งออกอากาศเป็นสถานีแรก ต่อมาเดือนตุลาคม พ.ศ. 2489 บริษัท RCA แสดงระบบต่าง ๆ ทางอิเล็กทรอนิกส์ของโทรทัศน์สี มีการปรับปรุงแก้ไขระบบโทรทัศน์สี เรื่อยมา จนกระทั่งถึง พ.ศ. 2492 บริษัท RCA สามารถปรับปรุงระบบการทางานของโทรทัศน์สีให้สอดคล้อง กับโทรทัศน์ขาวดา โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงเครื่องโทรทัศน์ขาวดา เครื่องรับโทรทัศน์ขาวดาสามารถรับรายการ ของโทรทัศน์สีได้
ปี พ.ศ. 2497 บริษัทโซนี่ได้เสนอเครื่องรับวิทยุแบบทรานซิสเตอร์เครื่องแรกออกมาให้คนรู้จัก และเป็น ที่นิยมแพร่หลายเรื่อยมา
ปี พ.ศ. 2500 รัสเซียส่งดาวเทียมดวงแรกชื่อสุตนิก (Sutnik) ขึ้นสู่อวกาศ หลังจากนั้นก็มีดาวเทียมถูก ส่งขึ้นสู่อากาศอีกจานวนมากเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ลักษณะของดาวเทียม
ปี พ.ศ. 2503 บริษัท AT & T ติดตั้งระบบชุมสายโทรทัศน์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นครั้งแรกและพัฒนา ระบบสื่อสารเป็นระบบโครงข่ายบริการสื่อสารร่วมแบบดิจิตอลหรือ ISDN (Integrated Service Digital Network)
ปี พ.ศ. 2512 เริ่มมีการพัฒนาอินเตอร์เนตใช้ในการสื่อสารข้อมูลต่างๆ
-90-
ปี พ.ศ. 2524 บริษัท ฮาเยส (Hayes) ได้เสนอโมเด็ม (Modem) ความเร็ว 300 บิตต่อวินาที (Kbps) ออกสู่ตลาด ส่วนบริษัท IBM ได้เสนอเครื่องคอมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และมีการเริ่มให้บริการ โทรศัพท์เคลื่อนที่เซลลูลาร์ในสวีเดน
ปี พ.ศ. 2535 มีการกาเนิดเวิลด์ ไวด์ เวป หรือ WWW. (Word Wide Web) ใช้เชื่อมโยงอินเทอร์เนต ทั่วโลก
ปี พ.ศ. 2539 บริษัทร็อกเวลล์ (Rockwell) เสนอโมเด็มความเร็ว 56 กิโลบิตต่อวินาที (kbps) ออกสู่ ตลาด
ปี พ.ศ. 2544 เริ่มให้บริการระบบโทรคมนาคมเคลื่อนที่ยุคที่ 3 หรือ 3 G (3rd Generation) เพื่อให้ สถานีเคลื่อนที่ใด ๆ มีมาตรฐานเดียวกันสามารถใช้ได้ทั่วโลก มีความต้องการที่จะให้มีการรับส่งข้อมูลที่เร็วขึ้น เพียงพอกับการใช้งานมัลติมีเดีย (Multimedia) โดยคุณภาพทัดเทียมกับระบบโทรคมนาคมมีสาย
ความหมายการสื่อสาร
การสื่อสาร หมายถึง การนาสื่อหรือข้อความของฝ่ายหนึ่งส่งให้อีกฝ่ายหนึ่ง ประกอบด้วยผู้ส่งข่าวสาร หรือแหล่งกาเนิดข่าวสาร ช่องทางการส่งข้อมูล ซึ่งเป็นสื่อกลางหรือตัวกลางอาจเป็นสายสัญญาณ และหน่วย รับข้อมูลหรือผู้รับสาร คาว่าเทคโนโลยี ไม่ได้หมายถึงแต่เพียงคอมพิวเตอร์เท่านั้นเพราะเทคโนโลยีที่เราพบ เห็นยังมีอีกหลายอย่าง เช่น เทคโนโลยีด้านการสื่อสารและโทรคมนาคมเทคโนโลยีเครือข่าย เทคโนโลยี สาหรับการผลิต การจัดการในงานธุรกิจและงานอุตสาหกรรม เป็นต้น
เทคโนโลยีสารสนเทศกับการสื่อสาร
1. เทคโนโลยีสารสนเทศ มาจากภาษาอังกฤษว่า Information Technology และมีผู้นิยมเรียกทับ ศัพท์ย่อว่า IT ซึ่งสุชาดา กีรนันท์ (2541: 23) ให้ความหมายว่า หมายถึง เทคโนโลยีทุกด้านที่เข้ามาร่วมใน กระบวนการจัดเก็บ สร้าง และสื่อสารสนเทศ (วาสนา สุขกระสานติ 2541: 6-1) กล่าวถึงความหมายของ เทคโนโลยีสารสนเทศว่า หมายถึงกระบวนการต่างๆ และระบบงานที่ช่วยให้ได้สารสนเทศตามที่ต้องการ ลูคัส (Lucas, Jr. 1997: 7) กล่าวว่า เทคโนโลยีสารสนเทศจะอ้างถึงเทคโนโลยีทุกชนิดที่ประยุกต์เพื่อใช้ในการ ประมวลผลจัดเก็บ และส่งผ่านสารนิเทศต่างๆ ให้อยู่ในรูปของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีสารสนเทศเป็น เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีหลักสองสาขา คือ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสื่อสาร โทรคมนาคม โดยทั่วไปหมายถึง เทคโนโลยีที่ใช้สาหรับการสร้าง การจัดการ การประมวลผลข้อมูลให้เป็น ข้อสนเทศ การเก็บบันทึกข้อมูลเป็นฐานข้อมูล และส่งผ่านสารสนเทศจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ตลอดจน เทคโนโลยีทั้งหลายที่เกี่ยวเนื่องกบการแสดงสารสนเทศโดยใช้ระบบดิจิตอล (ชุนเทียม ทินกฤต, 2540)
-91-
1.1 ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
ยังมีการสับสนอยู่มากระหว่างคาว่า ระบบสารสนเทศ (Information System) กับ เทคโนโลยี สารสนเทศ (Information Technology) ความจริงทั้งสองคาคือสิ่งเดียวกันแต่แตกต่างกันที่เทคโนโลยี ใน ส่วนแรก หมายถึงระบบที่มีการนาข้อมูลดิบไปประมวลผลให้อยู่ในรูปสารสนเทศที่พร้อมใช้งาน เช่น การอ่าน ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์แล้วไปเล่าต่อให้อีกคนหนึ่งฟัง ก็ถือได้ว่าเป็นระบบสารสนเทศอย่างหนึ่งแล้ว เพราะมี การอ่านข้อมูลดิบจากแหล่งข่าวสารแล้วมีการประมวลผลในสมองบันทึกจดจาและมีการแจกจ่ายไปยังบุคคล อื่น แต่ในกรณีเดียวกันนี้ถ้ามีเทคโนโลยีเข้าช่วย เช่น ทาการป้อนข้อความในข่าวนั้นด้วยเครื่องสแกนเนอร์แล้ว บันทึกเป็นไฟล์ภาพ ทาการส่งผ่าน Email ไปยังบุคคลที่ต้องการ ทั้งสองวิธีการนี้มีวัตถุประสงค์เดียวกันคือ ต้องการเผยแพร่ข่าวสารไปยังบุคคลอื่นแต่ใช้วิธีการที่ต่างกันวิธีหลังนี้เองที่เรียกกันว่า “เทคโนโลยีสารสนเทศ” กล่าวคือมีการใช้เครื่องมืออุปกรณ์ที่ช่วยเหลือในการนาเข้าข้อมูล จัดเก็บ บันทึก ประมวลผล แจกจ่าย ส่งผ่าน ข้อมูล ด้วยความรวดเร็วถูกต้อง แม่นยาและได้ข้อมูลครบถ้วนกว่าวิธีการแรก
1.2 องค์ประกอบของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ 1.2.1 เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถจดจาข้อมูลต่างๆ และปฏิบัติตามคาสั่งที่บอก เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทางานอย่างใดอย่างหนึ่งได้ คอมพิวเตอร์นั้นประกอบด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ต่อเชื่อมกันเรียกว่า ฮาร์ดแวร์ (Hardware) และอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์นี้จะต้องทางานร่วมกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือที่เรียกกันว่า ซอฟต์แวร์ (Software) (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สาขาวิชาวิทาศาสตร์และเทคโนโลยี 2546: 4)
นาเข้าข้อมูล ประมวลผล แสดงผลข้อมูล
ข้อมูล
ภาพท่ี 7.1 แสดงกระบวนการจัดการระบบสารสนเทศ
-92-
1.2.2 เทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม
ใช้ในการติดต่อสื่อสารรับ/ส่งข้อมูลจากที่ไกลๆ เป็นการส่งของข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์หรือเครื่องมือ ที่อยู่ห่างไกลกัน ซึ่งจะช่วยให้การเผยแพร่ข้อมูลหรือสารสนเทศไปยังผู้ใช้ในแหล่งต่างๆ เป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง ครบถ้วน และทันการณ์ ซึ่งรูปแบบของข้อมูลที่รับ/ส่งอาจเป็นตัวเลข (Numeric Data) ตัวอักษร (Text) ภาพ (Image) และเสียง (Voice) เทคโนโลยีที่ใช้ในการสื่อสารหรือเผยแพร่สารสนเทศ ได้แก่ เทคโนโลยีที่ใช้ในระบบโทรคมนาคมทั้งชนิดมีสายและไร้สาย เช่น ระบบโทรศัพท์, โมเด็ม, แฟกซ์, โทรเลข, วิทยุกระจายเสียง, วิทยุโทรทัศน์ เคเบิ้ลใยแก้วนาแสง คลื่นไมโครเวฟ และดาวเทียม เป็นต้น สาหรับกลไกหลัก ของการสื่อสารโทรคมนาคมมีองค์ประกอบพื้นฐาน 3 ส่วน ได้แก่ ต้นแหล่งของข้อความ (Source/Sender), สื่อกลางสาหรับการรับ/ส่งข้อความ (Medium), และส่วนรับข้อความ (Sink/Decoder) ดังแผนภาพต่อไปนี้
ภาพที่ 7.2 แสดงกลไกหลักของการสื่อสารโทรคมนาคม
นอกจากนี้ เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถจาแนกตามลักษณะการใช้งานได้เป็น 6 รูปแบบ ดังนี้ต่อไปนี้ 1. เทคโนโลยีที่ใช้ในการเก็บข้อมูล เช่น ดาวเทียมถ่ายภาพทางอากาศ, กล้องดิจิทัล, กล้องถ่ายวีดี
ทัศน์, เครื่องเอกซเรย์ ฯลฯ
2. เทคโนโลยีที่ใช้ในการบันทึกข้อมูล จะเป็นสื่อบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เช่น เทปแม่เหล็ก จานแม่เหล็ก,
จานแสงหรือจานเลเซอร์, บัตรเอทีเอ็ม ฯลฯ
3. เทคโนโลยีที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูล ได้แก่ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดแวร์ และ
ซอฟต์แวร์
4. เทคโนโลยีที่ใช้ในการแสดงผลข้อมูล เช่น เครื่องพิมพ์, จอภาพ, พลอตเตอร์ ฯลฯ
5. เทคโนโลยีที่ใช้ในการจัดทาสาเนาเอกสาร เช่น เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องถ่ายไมโครฟิล์ม
6. เทคโนโลยีสาหรับถ่ายทอดหรือสื่อสารข้อมูล ได้แก่ ระบบโทรคมนาคมต่าง ๆ เช่น โทรทัศน์,
วิทยุกระจายเสียง, โทรเลข, และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั้งระยะใกล้และไกล
ลักษณะของข้อมูลหรือสารสนเทศที่ส่งผ่านระบบคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร เช่น ระบบโทรศัพท์ จะมี ลักษณะของสัญญาณเป็นคลื่นแบบต่อเนื่องที่เราเรียกว่า “สัญญาณอนาลอก” แต่ในระบบคอมพิวเตอร์จะ แตกต่างไป เพราะระบบคอมพิวเตอร์ใช้ระบบสัญญาณไฟฟ้าสูงต่าสลับกัน เป็นสัญญาณที่ไม่ต่อเนื่อง เรียกว่า
-93-
“สัญญาณดิจิตอล” ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นจะส่งผ่านสายโทรศัพท์ เมื่อเราต้องการส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เครื่อง หนึ่งไปยังเครื่องอื่นๆ ผ่านระบบโทรศัพท์ ก็ต้องอาศัยอุปกรณ์ช่วยแปลงสัญญาณเสมอ
2. ระบบเครือข่ายไร้สาย (Wireless LAN Technology)
เครือข่ายไร้สาย หมายถึง ระบบการสื่อสารข้อมูลที่มีความยืดหยุ่นในการติดตั้ง หรือขยายเครือข่าย โดยการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการถ่ายโอนข้อมูลผ่านอากาศแทนการใช้สายสัญญาณสะดวกต่อการใช้งาน และการเข้าถึงข้อมูล (Wireless LAN Association 2006)
ระบบเครือข่ายไร้สาย (WLAN= Wireless Local Area Network) คือ ระบบการสื่อสารข้อมูลที่นามา ใช้ทดแทน หรือเพิ่มต่อกับระบบเครือข่ายแลนใช้สายแบบดั้งเดิมโดยใช้การส่งคลื่นความถี่วิทยุในย่านวิทยุ RF และคลื่นอินฟราเรดในการรับและส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องผ่านทางอากาศ ทะลุกาแพง เพดาน หรือสิ่งก่อสร้างอื่นๆ โดยปราศจากความต้องการของการเดินสาย ระบบเครือข่ายไร้สายเกิดขึ้นครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1971 บนเกาะฮาวาย โดยโครงการของนักศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาวาย ที่ชื่อว่า “ALOHNET” ขณะนั้นลักษณะการส่งข้อมูลเป็นแบบ Bi-directional ส่งไป-กลับง่ายๆ ผานคลื่นวิทยุ สอื่ สารกันระหว่าง คอมพิวเตอร์ 7 เครื่อง ซง่ึ ตง้ั อยบู่ นเกาะ 4 เกาะโดยรอบ และมีศูนย์กลางการเชื่อมต่ออยู่ที่เกาะๆ หนึ่ง ที่ชื่อว่า Oahu
เทคโนโลยีระบบเครือข่ายไร้สายได้นาเข้ามาใช้งานในประเทศไทยครั้งแรกประมาณต้นปี พ.ศ. 2544 ในขณะนั้นเสียงตอบรับจากผู้ใช้งานยังค่อนข้างน้อย เนื่องจากอปุ กรณ์ไร้สายมีราคาแพงจนกระทั่งปัจจุบัน ระบบเครือข่ายไร้สายเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเนื่องจากราคาอุปกรณ์ถูกลงมากประกอบกับทางบริษัทผู้ผลิต อุปกรณ์เครือข่ายได้ปลุกกระแสการใช้งานระบบเครือข่ายไร้สายอีกครั้ง โดยการหยิบยกจุดเด่นของเทคโนโลยี ที่ไม่ต้องพึ่งพาสายสัญญาณสาหรับสื่อสารข้อมูลเป็นจุดขาย กล่าวคือผู้ใช้งานสามารถเชื่อมโยงเข้าระบบ เครือข่ายจากพื้นที่ใดก็ได้ที่อยู่ในรัศมีของสัญญาณ และระบบสามารถแก้ปัญหาเรื่องการติดตั้งสายสัญญาณใน พื้นที่ที่ทาได้ลาบาก เทคโนโลยีระบบเครือข่ายไร้สายได้สร้างภาพลักษณ์ ใหม่ของการใช้งาน ระบบเครือข่ายซึ่ง ผู้ใช้ไม่จาเป็นต้องนั่งทางานอยู่กับที่ แต่สามารถเคลื่อนย้ายไปทางานยังที่ต่างๆ ได้ตามใจต้องการ เช่น สวนหย่อม สนามหญ้าหน้าบ้านหรือริมสนาม เป็นต้น
2.1 ประเภทของระบบเครือข่ายไร้สาย
2.1.1 Peer-to-peer (Ad hoc mode) ระบบแลนไร้สายแบบ Peer to Peer หรือ ระบบแลน เสมอภาค คือ คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบต่างมีศักดิ์ศรีเท่ากัน ทางานของตนเองได้และขอใช้บริการจาก เครื่องอื่นได้
-94-
ภาพที่ 7.3 แสดงระบบเครือข่ายไร้สายแบบ Peer-to-peer
2.1.2 Client/server (Infrastructure mode) เป็นระบบที่มีการติดตั้ง Access Point ที่เครื่อง คอมพิวเตอร์ลูกข่ายสามารถติดต่อระหว่างกัน และสามารถติดต่อไปที่ server เพื่อแลกเปลี่ยนและค้น หา ข้อมูลได้
ภาพที่ 7.4 แสดงระบบเครือข่ายไร้สายแบบ Client/server
ภาพที่ 7.5 แสดงระบบเครือข่ายไร้สายแบบ Multiple access points and roaming
-95-
2.1.3 Multiple access points and roaming ใช้ในกรณีที่สถานที่กว้างมากๆ เช่น คลังสินค้า บริเวณภายในมหาวิทยาลัย โดยีการเพิ่มจุดการติดตั้ง Access Point ให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้การรับส่งสัญญาณ ในบริเวณของเครือข่ายขนาดใหญ่เป็นไปอย่างครอบคลุมทั่วถึง
2.1.4 Use of an Extension Point กรณีที่โครงสร้างของสถานที่ติดตั้งเครือข่ายแบบไร้สายมี ปัญหา เพื่อเป็นการแก้ปัญหาผู้ออกแบบระบบอาจจะใช้ Extension Points ที่มีคุณสมบัติเหมือนกับ Access Point แต่ไม่ ต้องผูกติดไว้กับเครือข่ายไร้สาย เป็นส่วนที่ใช้เพิ่มเติมในการรับส่งสัญญาณ
ภาพที่ 7.6 แสดงระบบเครือข่ายไร้สายแบบ Use of an Extension Point
2.1.5 Use of Directional Antennas ระบบแลนไร้สายแบบนี้เป็นแบบใช้เสาอากาศในการ รับส่งสัญญาณระหว่างอาคารที่อยู่ห่างกัน โดยการติดตั้งเสาอากาศที่แต่ละอาคารเพื่อส่งและรับสัญญาณ ระหว่างกัน ดังแสดงให้ เห็นถึงการทางานของระบบในภาพที่ 8
2.2 มาตรฐานของเครือข่ายไร้สาย มาตรฐานของเครือไร้สายที่เป็นที่เป็นที่รู้จัก ได้แก่
2.2.1 IEEE 802.11a เป็นมาตรฐานที่ได้รับการตีพิมพ์และเผยแพร่เมื่อปี พ.ศ. 2542 เป็นยานความ ถี่ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้งานโดยทั่วไปในประเทศไทย เนื่องจากสงวนไว้สาหรับกิจการทางด้านดาวเทียม ข้อเสียของผลิตภัณฑ์มาตรฐาน IEEE 802.11a ก็คือมีรัศมีการใช้งานในระยะสั้นและมีราคาแพง ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ไร้สายมาตรฐาน IEEE 802.11a จึงได้รับความนิยมน้อย
2.2.2 IEEE 802.11b เป็นมาตรฐานที่ถูกตีพิมพ์และเผยแพร่ออกมาพร้อมกับมาตรฐาน IEEE 802.11aเมื่อปีพ.ศ.2542ซึ่งเป็นทํี่รจูักกันดีและได้รับความนิยมในการใช้งานกันอย่างแพร่หลายมากที่สุด ข้อดีของมาตรฐาน IEEE 802.11b คือ สนับสนุนการใช้งานเป็นบริเวณกว้างกว่ามาตรฐาน IEEE 802.11a ผลิตภัณฑ์มาตรฐาน IEEE 802.11b เป็นที่รู้จักในเครื่องหมายการค้า Wi-Fi
-96-
2.2.3 IEEE 802.11g เป็นมาตรฐานที่นิยมใช้งานกันมากในปัจจุบันและได้เข้ามาทดแทนผลิตภัณฑ์ ที่รองรับมาตรฐาน IEEE 802.11b เนื่องจากสนับสนุนอัตราความเร็วของการรับส่งข้อมูลในระดับ 54 เมกะบิต ต่อวินาทีและให้รัศมีการทางานที่มากกว่า IEEE 802.11a พร้อมความสามารถในการใช้งานร่วมกันกับ มาตรฐาน IEEE 802.11b ได้ (Backward Compatible)
3. อินเทอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ต มาจากคาเต็มว่า International Network หรือเขียนแบบย่อว่า Internet หมายความว่า เครือข่ายนานาชาติหรือเครือข่ายสากล คือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ทั่วโลกเข้าด้วยกัน โดยเป็นระบบเครือข่ายของเครือข่าย (Network of Networks) ในปัจจุบันมีเครื่อง คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงกันอยู่มากกว่า 60 ล้านเครื่อง มาเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข่าวสารกัน การที่ คอมพิวเตอร์ที่แตกต่างกันหลายชนิดจานวนมากมายทั่วโลก เชื่อมโยงกันได้ จะต้องใช้เกณฑ์ที่ใช้ในการ เชื่อมต่อหรือโพรโทคอล (Protocol) เดียวกัน จึงจะเข้าใจกันได้ และเกณฑ์วิธีที่นามาใช้กับการเชื่อมโยงต่อ อินเทอร์เน็ตในปัจจุบันมีชื่อเรียกว่า ทีซีพี/ไอพี (TCP/IP)
อินเทอร์เน็ตถูกนาไปใช้งานในด้านต่างๆ มากมาย ทั้งในด้านสื่อสาร เช่น ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีเมล์ (Electronic Mail หรือ E-mail) การสนทนาผ่านระบบคอมพิวเตอร์หรือห้องคุย (Chat Room) ดา้ น แหล่งความํรแูละความบันเทิงด้านการซื้อขายสินค้าและบริการหรือเราเรียกว่าการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-commerce) นับวันอินเทอร์เน็ตจะยิ่งเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจาวันของเรามากขึ้น การที่มีระบบ อินเทอร์เน็ตช่วยให้นิสิตสามารถเคลื่อนย้ายข้อมูลจากส่วนต่างๆ ของโลก โดยไม่จากัดระยะทางได้รวดเร็ว ยิ่งขึ้น การส่งข้อมูลสามารถทาได้หลายรูปแบบคือภาพ เสียง ข้อความต่างๆ ระบบอินเทอร์เน็ตอาศัย เทคโนโลยี โทรคมนาคมเป็นตัวเชื่อมต่อเครือข่าย
ในประเทศไทยอินเทอร์เน็ตได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทุกสาขาวิชาชีพ มีสมาชิกใช้งานในระบบ เชื่อมไปถึงสถานศึกษาต่างๆ ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค ตลอดถึงประชาชนทั่วไปด้วย นอกจากนี้ทางรัฐบาล ได้ผลักดันให้มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตเชื่อมโยงไปถึงระดับองค์กรบริหารส่วนตาบล (อ บ ต) ที่เราเรียกว่า เครือข่ายอินเทอร์เน็ตตาบล ใช้ในการเผยแพร่ผลงานและผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นในท้องถิ่นเพื่อออกจาหน่ายทาง อินเทอร์เน็ตด้วย
การให้บริการอินเทอร์เน็ตมีหลายรูปแบบและมีการเปลี่ยนแปลงและเกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลา สามารถ สรุปที่มีการใช้ประโยชน์มากที่สุด ดังต่อไปนี้
-97-
3.1 การให้บริการเวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web หรือ www) เป็นบริการระบบข่าวสารที่มีข้อมูลอยู่ ทุกแห่งในโลก ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ เหลานั้นสามารถอยู่ในหลายรูปแบบแตกต่างกัน เช่น เอกสาร รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว และเสียง เป็นต้น ข้อมูลเหลานี้สามารถเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ สามารถสืบค้นได้ง่าย
3.2 การให้บริการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail หรือ e-mail) เป็นบริการรับ-ส่งจดหมาย อิเล็กทรอนิกส์หรืออีเมล์ ซึ่งจดหมายเหลานี้จะถูกส่งผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไปถึงผู้รับ ไม่ว่าอยู่ที่ใดในโลก อย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่วินาที จดหมายที่ส่งจะเป็นข้อมูล เอกสาร รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว และเสียง
3.3 การแลกเปลี่ยนข่าวสารแบบกลุ่ม (Usenet Newsgroup) เป็นบริการที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร และแสดงความคิดเห็นร่วมกันระหว่างผู้สนใจในเรื่องเดียวกัน สามารถอภิปรายโต้ตอบกันได้ มีการจัด หัวข้อให้แสดงความคิดเห็นเป็นกลุ่ม ๆ เช่น กลุ่มผู้สนใจด้าน สิ่งแวดล้อม กลุ่มผู้สนใจด้านคอมพิวเตอร์ กลุ่ม ผู้สนใจด้านการเมือง และอื่นๆ ทุกคนจากทั่วโลกสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างกว้างขวาง
3.4 การซื้อขายสินค้าและบริการ (Electronic Commerce หรือ e-Commerce) ขึ้นเพื่ออานวยความ สะดวกในการซื้อขายทางอินเทอร์เน็ต เป็นธุรกิจที่นิยมมากในปัจจุบัน สามารถให้การบริการได้ตลอด 24 ชั่วโมงผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสามารถสืบค้นหาของที่ตนต้องการซอ้ื ตรวจสอบราคารวมถึงรายละเอียดและการ สั่งซื้อได้โดยตรงจากที่บ้านหรือสานักงาน
3.5 การบริการการโอนถ่ายข้อมูล (File Transfer Protocol หรือ FTP) เป็นบริการโอนถ่ายข้อมูลบน เครือข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างแหล่งข้อมูลที่มีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ ทั่วโลก นาลงมาเก็บในเครื่อง คอมพิวเตอร์ของนิสิตนักศึกษา ทาให้สามารถนาข้อมูลหรือโปรแกรมที่ต้องการจากเครือข่ายมาใช้งานได้ ดังได้กล่าวมาแล้วว่า เวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web หรือ www) เป็นบริการหนึ่งของอินเทอร์เน็ต ใช้ใน การให้บริการข้อมูลในรูปแบบต่างๆ ได้ โดยมีการติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทาหน้าที่ให้บริการข้อมูล เราจะ เรียกว่าเครื่องบริการเว็บ (Web Server) เพื่อให้บริการข้อมูลแก่ ผู้ต้องการรูปแบบของข้อมูลจะถูกนาเสนอ ผ่านโปรแกรมค้นดู ที่เรียกว่า เบราว์เซอร์ (Browser) หรือเว็บเบราว์เซอร์ (Web Browser) แสดงเป็น หน้ากระดาษอิเล็กทรอนิกส์ ที่เรียกว่า เว็บเพจ (Web Page) ข้อมูลที่อยู่ในเว็บเพจสามารถเชื่อมโยงกับข้อมูล อื่นด้วยวิธีเชื่อมโยงหลายมิติ (Hyperlink) หน้าแรกของเว็บเพจ เรียกว่า โฮมเพจ (Home Page)
4. เทคโนโลยี 3G
3G หมายถึงรุ่นที่ 3 ของเทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่ (เซลลูลาร์) รุ่นที่ 3 นี้ ตามชื่อที่เรียกตามหลังสอง รุ่นก่อนหน้านี้ เทคโนโลยี 1 จี เริ่มต้นในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ประมาณปี พ.ศ.2523 ด้วยเครือข่ายโทรศัพท์ เซลลูลาร์แอมป์ (AMPS ย่อจาก Advanced Mobile Phone) ที่รองรับเสียงแบบอนาลอกบนแถบความถี่ 800 เมกกะเฮิร์ซ เหมือนกับการกระจายเสียงวิทยุทั่วไป
-98-
เทคโนโลยี 2 จี เกิดขึ้นในทศวรรษ 1990 ประมาณปี พ.ศ.2533 ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือใช้เทคโนโลยีรองรับ เสียงในระบบดิจิตอล ซึ่งมีสองเทคโนโลยี 1) เทคโนโลยี ซีดีเอ็มเอ (CDMA ย่อจาก Code Division Multiple Access) ที่สามารถเรียกได๎มากถึง 64 สายต่อช่องบนแถบความถี่ 800 เมกกะเฮิร์ซ มีการใช้ในสหรัฐและแบบ ที่ฮัท์ชใช้อยู่ในประเทศไทย 2) เทคโนโลยีจีเอสเอ็ม (GSM ย่อจาก Global System for Mobile) ซึ่งสามารถ เรียกได้ 8 สายต่อช่องสัญญาณ บนแถบความถี่ 800 ถึง 1800 เมกกะเฮิร์ซ
The International Telecommunications Union (ITU) กาหนด มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่3จี คือ IMT-2000 เพื่ออานวยการเติบโต เพิ่มแถบความกว้างความถี่ และสนับสนุนโปรแกรมประยุกต์หลากหลาย ตัวอย่าง GSM สามารถไม่เพียงเสียง แต่รวมถึงข้อมูลสวิตช์วงจรที่อัตราความเร็วสูงถึง 14.4 Kbps แต่ สนับสนุนการประยุกต์มัลติมีเดีย 3จีต้องส่งมอบข้อมูลสวิตช์แพคเกจด้วยประสิทธิภาพดี ที่ความเร็วสูงกว่า อย่างไรก็ตาม ในช่วงยกระดับจาก 2 จี เป็น 3 จี ผู้ให้บริการโทรศัพท์ได้ปฏิรูปเครือข่าย พร้อมกับแผน “ปฏิวัติ” เครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ใหม่ ซึ่งได้นาไปสู่ก่อตั้ง 3GPP (3rd Generation Partnership Project) และ 3GPP2 (3rd Generation Partnership Project 2)
3rd Generation Partnership Project (3GPP) ก่อตั้งในปี 1998 เพื่อพัฒนาเครือข่าย 3 จี จาก GSM เทคโนโลยีที่พัฒนาคือ 1) General Packet Radio Service (GPRS) เสนอความเร็วสูงถึง 114 กิโลบิตต่อ วินาที 2) Enhanced Data Rates for Global Evolution (EDGE) เสนอความเร็วสูงถึง 384 กิโลบิตต่อวินาที 3) UMTS Wideband CDMA (WCDMA) เสนอความเร็วรับข้อมูลสูงถึง 1.92 เมกกะบิตต่อวินาที 4) High Speed Downlink Packet Access (HSDPA) เพิ่มความเร็วรับข้อมูลสูงถึง 14 เมกกะบิตต่อวินาที 5) LTE Evolved UMTS Terrestrial Radio Access (E-UTRA) มีเป้าหมายที่ 100 เมกกะบิตต่อวินาที
GPRS มีให้ในปี 2543 ตามด้วย EDGE ในปี 2546 เทคโนโลยีนี้บางครั้งเรียกว่า 2.5 จี เพราะไม่ได้เสนออัตรา ข้อมูลหลายเมกะบิต (multi-megabit) EDGE ได้รับการแทนที่โดย HSDPA (และหุ้นส่วนอัพลิงค์ HSUPA) ตามรายงานของ 3GPP กล่าวว่า HSDPA มี 166 เครือข่ายใน 75 ประเทศเมื่อสิ้นปี 2550 LTE E-UTRA ซง่ึ เป็นขั้นไปของ GSM จะสามารถนามาใช้ได้ในปี 2551
องค์กรที่สอง 3rd Generation Partnership Project 2 (3GPP2) ได้รับการก่อตั้งเพื่อช่วยผู้ให้บริการ โทรศัพท์อเมริกาเหนือและเอเซียในการปรับแปลง CDMA2000 ไปสู่ 3 จี เทคโนโลยีที่ 3GPP2 พัฒนาคือ 1) One Times Radio Transmission Technology (1xRTT) เสนอความเร็วสูงถึง 144 กิโลบิตต่อวินาที 2) Evolution – Data Optimized (EV-DO) เพิ่มความเร็วรับข้อมูลสูงถึง 2.4 เมกกะบิตต่อวินาที 3) EV-DO Rev. A เพิ่มความเร็วรับข้อมูลสูงถึง 3.1 เมกกะบิตต่อวินาที และลดซ่อนเร้นอยู่ภายใน 4) EV-DO Rev. B สามารถใช้ 2 ถึง 5 ช่อง แต่ละการรับข้อมูลสูงถึง 4.9 เมกกะบิตต่อวินาที 5) Ultra Mobile Broadband (UMB) ต้ังเป้าหมายให้ถึง 288 เมกกะบิตต่อวินาทีในการรับข้อมูล
-99-
1xRTT มีให้ในปี 2545 ตามด้วย EV-DO Rev. 0 เชิงพาณิชย์ในปี 2547 อีกครั้ง 1xRTT ได้รับการอ้าง เป็น“2.5จ”ี เพราะสิ่งนี้รองรับขั้นการปรับแปลงไปสู่EV-DOมาตรฐานEV-DOได้รับการขยายสองเท่าซง่ึ Revision A ออกมาใช้ในปี 2549 และกาลังถูกแทนที่โดยผลิตภัณฑ์ที่ใช้ Revision B ที่เพิ่มอัตราข้อมูลโย30 การส่งผ่านหลายช่อง UMB ที่เป็นเทคโนโลยีต่อไปของ 3GPP2 อาจจะไม่แพร่หลาย เพราะโอเปอร์เรเตอร์ CDMA กาลังวางแผนปฏิรูป LTE แทน
ตามความจริง LTE และ UMB มักจะได้รับการเรียกว่า เทคโนโลยี 4จี (fourth generation) เพราะเพิ่ม ความเร็วดาวน์ลิงค์ตามลาดับของขนาดป้ายนี้คือมาก่อนกาหนดเล็กน้อยเพราะการสร้าง“4จ”ี ยังไม่เป็น มาตรฐาน ITU กาลังพิจารณาคู่แข่ง สาหรับการสรุปในมาตรฐาน 4G IMT-Advanced รวมถึง LTE, UMB และ WiMAX II เปูาหมายของ 4จี รวมถึง อัตราข้อมูลอย่างน้อย 100 Mbps การส่งผ่าน OFDMA การส่งมอบ แพคเกจสวิตช์ของเสียง ข้อมูล และมัลติมีเดียต่อเนื่องบนฐาน IP
5. เทคโนโลยี 4G
Alwin Toffler นักอนาคตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงกล่าวว่า “อนาคตมักจะมาเร็วเสมอ” การสื่อสารไร้สายก็ เป็นตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน โดยขณะที่ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G กาลังขยายไปทั่วโลก แต่ก็ยังช้ากว่า แผนที่วางไว้ประมาณสองปี และขณะนี้กลุ่มของเทคโนโลยีสื่อสารเคลื่อนที่ใหม่ ที่กาลังถาโถมเข้ามาอย่าง หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ 4G
สิ่งที่นาสนใจที่จะพัฒนาเทคโนโลยี 4G ก็เป็นผลมาจากจุดอ่อนของระบบ 3G นั่นเอง โดยที่ ผู้ประกอบการธุรกิจโทรคมนาคมทั่วโลกได้ลงทุนเป็นจานวนเงินสูงถึงหนึ่งแสนล้าน ดอลลา เพื่อซื้อใบอนุญาต ใช้สิทธิในการประกอบการโทรคมนาคมเครือข่าย 3G เพียงเพื่อให้ได้เทคโนโลยีที่สามารถสื่อสารแบบมัลติมีเดีย แบบเคลื่อนที่ได้ แต่การนามาใช้จริงกลับกลายเป็นทาได้ยากกว่าที่คาดไว้ และยังมีการลงทุนทางด้านเครือข่าย และการบารุงรักษาเครือข่ายที่สูง จึงสร้างความไม่มั่นใจให้กับผู้ประกอบกิจการที่กาลังจะพัฒนาระบบจาก 2.5G สู่ 3G
โดยสรุปแล้วแรงจูงใจในการพัฒนาเทคโนโลยี 4G มีดังนี้ คือ
ความสามารถในการทางานของ 3G อาจจะไม่เพียงพอที่จะสนองตอบความต้องการของ แอพพลิเคชั่นสูงๆ อย่างเช่น มัลติมีเดีย, วิดีโอแบบภาพเคลื่อนไหวที่เต็มรูปแบบ (Full-motion video) หรือ การประชุมทางโทรศัพท์แบบไร้สาย (Wireless teleconferencing) ทาให้เกิดความต้องการเทคโนโลยี เครือข่ายที่จะมาช่วยเพิ่มขีดความสามารถของ 3G โดยจะต้องเป็นเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่มากด้วย
-100-
มาตรฐานที่ซับซ้อนของ 3G ทาให้ยากในการเชื่อมโยงและทางานร่วมกันระหว่างเครือข่าย แต่เราต้องการใช้ งานแบบเคลื่อนที่และพกพาไปได้ทั่วโลก นักวิจัยต้องการให้รูปแบบการส่งคลื่นทางเทคนิคมีประสิทธิภาพมาก ขึ้นเพื่อ เพิ่มขีดความสามารถในการส่งข้อมูลที่เร็วกว่า 10 Mbps ซึ่งไม่สามารถทาได้ในโครงสร้างของ 3G ระบบ 4G เป็นระบบเครือข่ายแบบ IP digital packet ทาให้สามารถส่ง Voice และ Data ผ่านเครือข่าย อินเทอร์เน็ตด้วยราคาการให้บริการที่ถูกมากและมีรูปแบบที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
การพัฒนาระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุค 4G ได้มีการพัฒนาโดยเน้นเรื่องการรักษาความปลอดภัย โดยการ นาไบโอแมทริกซ์มาผสมผสาน ทาให้สามารถซื้อขายกันได้โดยผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือ Mobile Internet และยังสามารถหักบัญชีเงินในธนาคาร เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสาหรับสินค้าหรือบริการได้ทันที ระบบไบโอแมทริกซ์ จึงเข้ามามีบทบาทอย่างมากในธุรกิจในอนาคตอันใกล้ ซึ่งจะเห็นอย่างชัดเจนในยุคโทรศัพท์เคลื่อนที่ 4G นั่นคือ ในธุรกิจ Mobile Commerce นั่นเอง
ซอฟแวร์ที่เกี่ยวกับสื่อมัลติมีเดีย นับเป็นกลุ่มซอฟแวร์ที่จะถูกนามาใช้ร่วมกับระบบ 4G โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งที่ความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลถูกพัฒนาให้สูงกว่า 100 เมกะบิตต่อวินาที ตัวอย่างเช่น คุณอาจดาวน์โหลด ไฟล์วิดีโอมาไว้ในรถยนต์ ก่อนออกเดินทางไกล เพื่อว่าจะได้มีหนังดีๆ รวมทั้งข้อมูลการท่องเที่ยวไว้ดูบ้างใน ระหว่างเดินทาง นั่นคือธุรกิจ Software house และ ธุรกิจเกี่ยวกับการสร้าง Content ในระดับ SME ที่มี ความคิดสร้างสรรค์ ก็จะมีโอกาสในธุรกิจสื่อมัลติมีเดียบนอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่เป็นอย่างมากลองนึกภาพ การที่คุณสามารถใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อซื้อน้าอัดลมจากตู้ขายอัตโนมัติ ใช้โทรศัพท์เครื่องเดียวกันสั่งซื้อ อัลบั้มเพลงลาสุดและดาวน์โหลลงเครื่องเล่น MP3 ได้โดยตรง หรือการที่นักท่องเที่ยวสามารถใช้คอมพิวเตอร์ พกพาเพื่อหาจองโรงแรมที่ใกล้ที่สุดและราคาเหมาะสมที่สุดขณะที่นั่งรถแท็กซี่ โทรศัพท์เคลื่อนที่ในยุค 4G จะ มีความสามารถและสมรรถนะสูงมาก ในระดับที่สามารถชมภาพวิดีโอกันแบบสดๆได้ พร้อมคุณภาพระดับ DVD ตามการเปิดเผยของซัมซุงฯ เพื่อให้บรรลุผลสาเร็จ ทางซัมซุงฯได้เพิ่มบุคลากรในแผนก อาแอนดี ส่วนที่ เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบ 4G แล้ว มีการคาดหวังถึงความสะดวกสบายและประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับ เมื่อบริการ m-Commerce บนระบบ 4G จะเป็นที่ยอมรับและแพร่หลาย ทาให้เกิดแนวคิดมากมายในการทา M-Commerce เข้ามาใช้ในชีวิตประจาวันเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์สูงสุด เช่นแนวคิดเกี่ยวกับการ กระจายข้อมูลออกไปในระยะใกล้ โดยมีเป้าหมายคือผู้บริโภคที่อยู่ในบริเวณนั้นๆ ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณเดินผ่าน ร้านขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ คุณอาจจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ชิ้นใหม่ๆ ที่มีจาหน่ายในร้าน และคุณก็ สามารถที่จะตรวจสอบราคาสินค้า เปรียบเทียบราคากับร้านอื่นๆ เพื่อให้ได้ราคาที่ถูกที่สุด หรือเมื่อคุณนั่ง รถไฟฟ้าผ่านสถานที่ท่องเที่ยวโทรศัพท์เคลื่อนที่4G ของคุณก็จะได้รับแผนที่อิเล็กทรอนิกส์ของบริเวณนั้นบน จอของคุณ อีกทั้งข้อความโฆษณาของโรงแรมหรือที่พักที่อยู่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวนั้นๆ เป็นต้น
ขณะนี้ประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี จับมือกันแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีหวังสร้างมาตรฐานร่วม 4G แห่ง เอเชีย โดยชูคุณสมบัติเด่น รับส่งข้อมูล 100 เมกะบิตต่อวินาที พร้อมเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง โดย อาศัยเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตโปรโตคอล เวอร์ชั่น 6 หรือ “ไอพีวี6” (IPv 6) ที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้พัฒนาขึ้นเป็น
รายแรกและมีแผนที่จะผลักดันให้กลายเป็นมาตรฐานระดับโลก จะเห็นได้ว่าตอนนี้เหล่าผู้ประกอบการ โทรศัพท์เคลื่อนที่ และนักพัฒนาเริ่มตื่นตัวกับเทคโนโลยีใหม่กันแล้ว และดูเหมือนการแข่งขันที่เกิดขึ้นจะ รุนแรงกว่า 3G มาก จนทาให้การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่ครั้งนี้ อาจจะไม่ใช่การ เปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปอีกแล้ว แต่นาจะเป็นลักษณะการเคลื่อนไหวแบบก้าวกระโดด จนธุรกิจ สื่อสารโทรคมนาคมอาจปรับตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลง
คาถามท้ายบท
1. คาว่าสารสนเทศ มีความหมายว่าอย่างไร?
2. คาว่าเทคโนโลยีสารสนเทศ มีความหมายว่าอย่างไร?
3. องค์ประกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศมีอะไรบ้าง?
4. ประโยชน์ที่ได้รับจากการนาเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในองค์กร มีอะไรบ้าง 5. โปรแกรมระบบปฏิบัติการมี อย่างน้อยกี่โปรแกรมอะไรบ้าง
6. ประโยชน์เทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อสิ่งแวดล้อม มีอะไรบ้าง?
-101-
-102-
บทที่ 8 เทคโนโลยีกับการพัฒนาอุตสาหกรรม
การพัฒนาอตสาหกรรมเป็นการใช้ความรู้ ทักษะการบริหารจัดการ รวมทั้งประสบการณ์ทางด้าน
วิทยาศาสตร์และด้านวิศวกรรมศาสตร์ เพื่อการคิดค้น การประดิษฐ์ การพัฒนา การผลิตสินค้า การบริการ กระบวนการผลิต และการจัดการองค์กรในรูปแบบใหม่ ซึ่งโลกในปัจจุบันนี้หากองค์กรใดไม่สามารถพัฒนาและ เปลี่ยนแปลงตนเองด้วยการพัฒนานวัตกรรมและอตสาหกรรมอย่างต่อเนื่องแล้วก็ย่อมที่จะประสบความสาเร็จ ในระยะยาวได้ยากและไม่สามารถก้าวขึ้นไปสู่การเป็นผู้นาของธุรกิจได้ ดังนั้น การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในระดับประเทศอย่างมีประสิทธิภาพและทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว จะช่วย ขับเคลื่อนให้ประเทศก้าวไปสู่เศรษฐกิจสังคมฐานความรู้ (knowledge-based society) และเพิ่มขีด ความสามารถในการแข่งขันระดับโลกได้อย่างยั่งยืน ศักยภาพของภาคอุตสาหกรรมในการสร้างสรรค์ธุรกิจ นวัตกรรม การที่จะขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมให้มีความสามารถในการสร้างสรรค์ธุรกิจนวัตกรรม จาเป็นต้อง อาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและโดยเฉพาะภาคเอกชนที่ต้องมีการกาหนด ทิศทางและกลยุทธ์ที่ชัดเจน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมภายในองค์กร ดังเช่นสภาอุตสาหกรรมแห่ง ประเทศไทย ซึ่งเกิดจากการรวมกลุ่มของภาคเอกชนเพื่อทาหน้าที่เป็นตัวแทนภาคเอกชนในการสะท้อนปัญหา ข้อเสนอแนะ ข้อคิดเห็นเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมต่างๆ ต่อภาครัฐ และประสานความร่วมมือกับหน่วยงาน ภาครัฐเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการกระจายการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้าสู่ ภาคอุตสาหกรรมทั่วประเทศอย่างเป็นระบบเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออานวยให้กับภาคอุตสาหกรรมทั่ว
ประเทศ ในการสร้างสรรค์ธุรกิจนวัตกรรม
ความหมายของอุตสาหกรรม
อุตสาหกรรม (Industry) เป็นคาจากัดความที่หมายถึงกิจกรรมที่ใช้ทุนและแรงงาน เพื่อที่จะผลิตสิ่งของ หรือจัดให้มีบริการ ในปัจจุบันอุตสาหกรรมถือเป็นกิจกรรมที่จาเป็นต่อมนุษย์อย่างยิ่ง ด้วยว่ามนุษย์ต้องพึ่งพา การผลิตสิ่งที่จาเป็นต่อชีวิตประจาวันหรือเรียกรวมว่าปัจจัยสี่ โดยสิ่งที่สามารถผลิตปัจจัยสี่ให้ดี มีคุณภาพและ ไม่ก่ออันตราย หรือก่ออันตรายให้กับร่างกายและทรัพย์สินน้อยที่สุดคือการผลิตจากระบบอุตสาหกรรมที่ได้ มาตรฐาน และนอกจากนี้อุตสาหกรรมยังถือว่าเป็นพื้นฐานของเทคโนโลยีด้านอื่นๆอีกด้วย
-103-
ลักษณะของกิจการอุตสาหกรรม
การดาเนินธุรกิจในปัจจุบันมีหลายรูปแบบ ได้แก่ กิจการซื้อสินค้ามาเพื่อจาหน่าย กิจการให้บริการ และ กิจการผลิตสินค้าเพื่อจาหน่าย ธุรกิจเหล่านี้มีวัตถุประสงค์ในการดาเนินงานเดียวกันคือมุ่งหวังกาไรสูงสุด กิจการอุตสาหกรรมนับเป็นกิจการในรูปแบบของกิจการที่ผลิตสินค้าเพื่อจาหน่าย ซึ่งมีข้อแตกต่างจากกิจการ ในรูปแบบอื่นอย่างเห็นได้ชัดเจน กิจการค้าโดยทั่วไปที่ดาเนินธุรกิจในปัจจุบัน สามารถแบ่งตามรูปแบบธุรกิจ เป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. ธุรกิจให้บริการ (Service Business) หมายถึง ธุรกิจหรือกิจการที่มีการดาเนินกิจกรรมเกี่ยวกับการ บริการ เช่น ธุรกิจซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า ธุรกิจเสริมสวย ธุรกิจรับซักรีด ธุรกิจขนส่งสินค้า เป็นต้น รายได้ของ ธุรกิจประเภทนี้คือ รายได้จากการให้บริการ ส่วนค่าใช้จ่ายคือ ต้นทุนเกี่ยวกับ การให้บริการ และค่าใช้จ่ายใน การดาเนินงาน
ภาพที่ 8.1 แสดงธุรกิจการให้บริการ ประเภท “ร้านเสรมิ ความงาม”
ที่มา : http://www.thai.cri.cn/321/2010/08/31/228s179053.html
2. ธุรกิจเกี่ยวกับสินค้า หมายถึง ธุรกิจที่ดาเนินกิจกรรมการจาหน่ายสินค้า ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ 2.1 กิจการซื้อขายสินค้า (Merchandising Business) หมายถึง ธุรกิจหรือกิจการที่ซื้อสินค้า
สาเร็จรูปมาจาหน่ายให้กับลูกค้า เช่น ธุรกิจโชว์รูมขายรถยนต์ ธุรกิจร้านโชห่วย ธุรกิจขายเคร่ืองเขียน เป็นต้น รายได้ของธุรกิจประเภทน้ี คือ รายได้จากการจาหน่ายสินค้า ส่วนค่าใช้จ่ายคือ ต้นทุนในการซ้ือสินค้ามา จาหน่ายและค่าใช้จ่ายในการดาเนินงาน
-104-
ภาพที่ 8.2 แสดงกิจการซื้อขายสินค้า ประเภท “ร้านขายเสื้อผ้า” ที่มา : สุพรรณี จันทะเกิด (2551 : 3)
2.2 กิจการอุตสาหกรรม (Manufacturing Business) หมายถึง ธุรกิจหรือกิจการที่ผลิตสินค้าเพื่อ จาหน่ายเอง เช่น โรงงานผลิตผลไม้กระป๋อง โรงงานผลิตน้าแข็ง โรงงานผลิตรถยนต์ เป็นต้น รายได้ของธุรกิจ ประเภทนี้คือ รายได้จากการจาหน่ายสินค้า ส่วนค่าใช้จ่ายคือ ต้นทุนสาหรับการผลิตสินค้า ได้แก่ วัตถุดิบ ค่าแรงงาน และค่าใช้จ่ายในการผลิต รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดาเนินงาน
ภาพที่8.3แสดงกิจการอุตสาหกรรมประเภท“โรงงานตดัเย็บเสื้อผ้า”
ที่มา : http://www.groups.google.co.th/group/rocnews/browse_thread/…
-105-
จากรูปแบบของธุรกิจดังกล่าวข้างต้น สามารถสรุปลักษณะของกิจการอุตสาหกรรมได้ 2 ประการ ได้แก่
1. ลักษณะของการประกอบการ
กิจการอุตสาหกรรมเป็นกิจการที่ผลิตสินค้าเพื่อจาหน่าย โดยการผลิตเริ่มตั้งแต่การซื้อวัตถุดิบ เข้ามาเพื่อทาการผลิตหรือแปรสภาพให้เป็นสินค้าสาเร็จรูปพร้อมจาหน่าย ซึ่งในกระบวนการผลิตนั้นจะต้องมี ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ได้แก่ ค่าแรงงานสาหรับคนงานที่ทาการผลิตสินค้า และค่าใช้จ่าย ในการผลิตที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าน้า ค่าไฟฟ้า ค่าเช่าโรงงาน เป็นต้น
กิจการอุตสาหกรรมสามารถดาเนินกิจการในหลายรูปแบบ เช่น กิจการเจ้าของคนเดียว ห้าง หุ้นส่วน หรือบริษัทจากัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม สินค้าที่ผลิตอาจทาการผลิตเพื่อจาหน่ายให้กับ ผู้บริโภคหรือพ่อค้าส่ง เช่น เสื้อผ้าสาเร็จรูป กระเป๋า รถยนต์ เป็นต้น หรืออาจผลิตขึ้นเพื่อจาหน่ายให้แก่ กิจการอุตสาหกรรมอื่น ๆ เพื่อนาไปแปรรูปให้เป็นผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่ขึ้นมาอีกก็ได้ เช่น โรงงานผลิตไม้แปรรูป จะผลิตสินค้าสาเร็จรูปคือ ไม้แปรรูป ส่งให้กับโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ เพื่อนาไปเป็นวัตถุดิบสาหรับการผลิต เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น
2. การบันทึกบัญชี
หลักการบันทึกบัญชีสาหรับกิจการอุตสาหกรรมนั้นมีหลักปฏิบัติเช่นเดียวกับกิจการ ซื้อขาย สินค้า จะแตกต่างกันในส่วนของกิจการอุตสาหกรรมจะต้องคานวณหาต้นทุนของการผลิตสินค้าในแต่ละครั้ง เพื่อกาหนดราคาขาย ดังนั้นจึงมีบัญชีเกี่ยวกับต้นทุนผลิต แทนบัญชีซื้อสินค้าของกิจการซื้อขายสินค้า
ประเภทของอุตสาหกรรม
อุตสาหกรรมสามารถจาแนกได้เป็นหลายขนาดและหลายประเภท ขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. การจาแนกประเภทอุตสาหกรรมตามขนาด
การจาแนกประเภทอุตสาหกรรมตามขนาดสามารถจาแนกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่
1.1 อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ (Large Scale Industry) หมายถึง อุตสาหกรรมที่มี การใช้เงินลงทุน เป็นจานวนมาก มีทรัพย์สินถาวรตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไปและมีแรงงานที่มีความรู้ ความสามารถเป็นจานวน มาก อุตสาหกรรมประเภทนี่จะมีเครื่องจักรที่ทันสมัย และมี เทคโนโลยีในระดับสูง มีขั้นตอนในการดาเนินงาน หลายขั้นตอน เช่น อุตสาหกรรมถลุงเหล็กกล้า อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ โดยในประเทศไทยนั้นได้รับการ คาดหมายว่าจะให้เป็นเมืองที่มีการ ผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย (Detroit of Asia) อุตสาหกรรมผลิต เครื่องจักรกล เป็นต้น
-106-
1.2 อุตสาหกรรมขนาดกลาง (Medium Scale Industry) หมายถึง อุตสาหกรรมที่ มีแรงงานตั้งแต่ 20 คนถึง 50 คนและมีทรัพย์สินถาวรตั้งแต่ 10 – 100 ล้านบาท มีเครื่องจักรและ อุปกรณ์ที่ทันสมัย เช่น โรงงานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมทอผ้าและปั่นด้ายเป็นต้น
1.3 อุตสาหกรรมขนาดย่อม (Small Scale Industry) หมายถึง อุตสาหกรรมที่มี แรงงานและจ้าง งานไม่เกิน 50 คน และมีทรัพย์สินถาวรต่ากว่า 10 ล้านบาท เช่น อุตสาหกรรม น้าตาลทราย โรงงานโลหะ โรงกลึง โรงเชื่อมเป็นต้น
2. การจาแนกประเภทของอุตสาหกรรมตามวิธีการดาเนินงาน
การจาแนกประเภทของอุตสาหกรรมตามวิธีการดาเนินงาน สามารถจาแนกได้เป็น 4 ประเภทดังต่อไปนี้ 2.1 อุตสาหกรรมสกัดจากธรรมชาติหรืออุตสาหกรรมเชิงสกัด (Extractive Industry) หมายถึง การ
สกัดเอาทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ประโยชน์และให้มูลค่าของทรัพยากร ชนิดนั้นเพิ่มสูงขึ้น เช่น การสกัดน้ามัน จากปาล์มน้ามัน การหมักอ้อยและมันสาปะหลังเพื่อนามาผลิตเป็นเอธานอลใช้ในการผลิตก๊าซโซฮอล์ การประมง การป่าไม้เป็นต้น ซึ่งอุตสาหกรรม ประเภทนี้จัดเป็นอุตสาหกรรมขั้นปฐมภูมิ
2.2 อุตสาหกรรมการผลิต (Manufacturing Industry) หมายถึง การนาเอา วัตถุดิบจาก อุตสาหกรรมเชิงสกัดมาผลิตเพื่อให้เป็นผลิตภัณฑ์ เช่น การนาสินแร่เหล็กมาใช้ใน การก่อสร้าง การผลิต กระดาษ การทอผ้าเป็นต้น
2.3 อุตสาหกรรมการขนส่ง (Transporting Industry) หมายถึง การดาเนินการ เพื่อเป็นการนา ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการผลิตส่งไปยังผู้บริโภค เช่น การรถไฟ การเดินเรือ การ เดินอากาศเป็นตน้
2.4 อุตสาหกรรมการบริการ (Service Industry) หมายถึง การประกอบธุรกิจ ด้านการให้บริการ หรืออานวยความสะดวก เช่น อุตสาหกรรมการโรงแรม การท่องเที่ยวและ ระบบสาธารณูปโภค
(Infrastructure) ต่างๆ เป็นต้น
3. การจาแนกประเภทของอุตสาหกรรมตามลักษณะวัสดุที่นามาใช้ผลิต
ประเภทของอุตสาหกรรมตามลักษณะวัสดุที่นามาใช้ผลิต สามารถจาแนกได้แก่
3.1 อุตสาหกรรมขั้นปฐมภูมิ (Primary Industry) หมายถึง อุตสาหกรรมที่นาเอาทรัพยากร
ธรรมชาติหรือผลผลิตทางการเกษตร การประมง ป่าไม้ เลี้ยงสัตว์ ที่ได้มาโดยตรงมา ทาเป็นผลิตภัณฑ์ที่จะ นาไปใช้ประโยชน์ต่อไป เช่น การทาเหมืองแร่ การย่อยหิน การแปรรูปไม้ เป็นต้น
3.2 อุตสาหกรรมขั้นทุติยภูมิ (Secondary Industry) หมายถึง อุตสาหกรรมที่ นาเอาผลผลิตจาก อุตสาหกรรมขั้นปฐมภูมิมาเป็นวัตถุดิบเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ต่อไป เช่น การนาสินแร่เหล็กมาทาเครื่อง จักรกล การนาเอธานอลจากการหมักอ้อยไปผสมกับน้ามัน เบนซินเพื่อทาก๊าซโซฮอล์ การกลั่นน้ามันตามจุด เดือดไฮโดรคาร์บอน เพื่อให้ได้น้ามันประเภทต่างๆ เป็นต้น
-107-
3.3อุตสาหกรรมขั้นตติยภูมิ(TertiaryIndustry)หมายถึงอุตสาหกรรมที่นาเอาผลผลติของ อุตสาหกรรมในขั้นทุติยภูมิมาให้บริการ เช่น อุตสาหกรรมขนส่งอุตสาหกรรมเหล็กกล้า เป็นต้น
4. การจาแนกประเภทอุตสาหกรรมตามลักษณะผลิตภัณฑ์สาเร็จรูป จาแนกเป็น การจาแนกประเภทอุตสาหกรรมตามลักษณะผลิตภัณฑ์สาเร็จรูป จาแนกเป็น
4.1 อุตสาหกรรมหนัก (Heavy Industry) หมายถึง อุตสาหกรรมที่ทาการผลิต ผลิตภัณฑ์ที่มี น้าหนักมากและใช้ทุน แรงงานและวัตถุดิบเป็นจานวนมาก
4.2 อุตสาหกรรมเบา (Light Industry) หมายถึง อุตสาหกรรมที่ทาการผลิต ผลิตภัณฑ์ที่มีน้าหนัก เบา ใช้ทุน แรงงาน และวัตถุดิบน้อยกว่าอุตสาหกรรมหนัก เช่น อุตสาหกรรมทอผ้า อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
5. การจาแนกอุตสาหกรรมตามลักษณะการประกอบการ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือ
5.1 อุตสาหกรรมครัวเรือน คือ อุตสาหกรรมการผลิตง่ายๆ เล็กๆ มักทากันในครอบครัวหรือหมู่บ้าน
ไม่ใช้แรงงาน ทุนและปัจจัยมาก แต่มักจะได้กาไรต่า อุตสาหกรรมจาพวกนี้มีตัวอย่างเช่น หัตถกรรมจักสาน เซรามิก ถ้วยโถโอชามต่างๆ รวมไปถึงสินค้าประเภทอาหารบรรจุถุงหรือหีบห่อที่มียี่ห้อบางชนิด เป็นต้นด้วย และสินค้าOTOP (หนึ่งตาบลหนึ่งผลิตภัณฑ์) บางชนิดเองก็ถือเป็นอุตสาหกรรมครัวเรือนด้วย
5.2 อุตสาหกรรมโรงงาน คืออุตสาหกรรมที่ผลิตในโรงงาน สินค้ามักมีมาตรฐานเดียวกัน ไม่แตกต่าง กันมากนัก พบมากในเขตเมืองหรือเขตที่มีความเจริญต่างๆ สินค้าพวกนี้มักเป็นสิ่งอุปโภคบริโภคและสินค้า ฟุ่มเฟือยต่างๆ เช่น กระดาษทิชชู บะหมี่กึ่งสาเร็จรูป อาหารกระป๋อง เครื่องนุ่งห่ม สุรา บุหรี่ เป็นต้น และ สินค้าบางประเภทมีการโฆษณาส่งเสริมการขายด้วย
เทคโนโลยีกับการพัฒนาอุตสาหกรรม
เทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรม หมายถึง การนาเทคโนโลยีไปใช้ประยุกต์กับงานด้านต่างๆ ใน อุตสาหกรรม รวมถึงการบริหารจัดการ การควบคุมคุณภาพ การวางผังโรงงาน และเป็นการนาเทคโนโลยีมาใช้ ในการผลิต ทาให้ประสิทธิภาพในการผลิตเพิ่มขึ้น ประหยัดแรงงาน ลดต้นทุนและรักษาสภาพแวดล้อม เทคโนโลยีที่มีบทบาทในการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศไทย เช่น คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ การ สื่อสาร เทคโนโลยีชีวภาพและพันธุกรรม วิศวกรรม เทคโนโลยีเลเซอร์ การสื่อสาร การแพทย์ เทคโนโลยี พลังงาน เทคโนโลยีวัสดุศาสตร์ เช่น พลาสติก แก้ว วัสดุก่อสร้าง โลหะ โดยขอบเขตของเทคโนโลยีที่ใช่ในการ พัฒนาอุตสาหกรรม แบ่งออกเป็น 3 ประเด็นสาคัญ ดังนี้
-108-
1. เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือ เครื่องจักร 2. เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต
3. เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการจัดการบุคลากร
1. เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือ เครื่องจักร
ในปัจจุบันเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือ เครื่องจักร เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรม ได้เจริญรุดหน้าไป อย่างต่อเนื่อง มีการใช้ระบบควบคุมอัตโนมัติ ยานยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงเพื่อควบคุมการทา งานของเครื่องจักร ตัวอย่างของเทคโนโลยีเหล่านี้ ได้แก่
CNC (Computerized Numerical Control System)
คือ เครื่องจักรกลที่ใช้ผลิต หรือขึ้นรูปชิ้นงานที่มีมาตรฐานสูง ผ่านระบบการโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ ช่วยควบคุมการทางานของเครื่องซีเอ็นซี ในขั้นตอนต่างๆ อย่างอัตโนมัติ แทนการใช้แรงงานคนควบคุมเครื่อง ระบบ CNC เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ เพื่อเปลี่ยนแปลงและควบคุมสภาพ การทางานของเครื่องจักรกลพื้นฐาน จากเดิมซึ่งใช้แรงงานคนในการทางานร่วมกับเครื่องจักร ให้เครื่องจักรเห ลานี้สามารถทางานได้โดยอัตโนมัติด้วยตัวเอง นอกจากนี้ ระบบ CNC ยังช่วยเพิ่มความสามารถให้เครื่องจักร พื้นฐานเหลานี้สามารถทางานลักษณะซับซ้อนได้ด้วยความรวดเร็วและแม่นยาในระดับที่พ้นความสามารถใน การรับรู้ของมนุษย์โดยทั่วไปหลายสิบเท่าตัว
การควบคุมเครื่องซีเอ็นซี แบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนคือ
1. การควบคุมการเคลื่อนที่ไปยังตาแหน่งที่ต้องการ (Movement) 2. การควบคุมความเร็วของการเคลื่อนที่ (Speed) 121
เครื่องจักรกลซีเอ็นซี (CNC) จะทางานได้นั้น ระบบควบคุมของเครื่องจะต้องได้รับคาสั่งเป็นภาษาที่ ระบบควบคุมเข้าใจได้เสียก่อนว่าจะให้เครื่องจักรกลซีเอ็นซีทาอะไร ดังนั้นจึงจาเป็นจะต้องป้อนโปรแกรมเข้า ไปในระบบควบคุมของเครื่องผ่านแผงคีย์บอร์ด หรือปูนพิมพ์ (Key Board) หรือเทปแม่เหล็ก (Magnetic Tape) เมื่อระบบควบคุมอ่านโปรแกรมที่ป้อนเข้าไปแล้ว ก็จะนาไปควบคุมให้เครื่องจักรกลทางานโดยอาศัย มอเตอร์ป้อน (Feed Motor) เพื่อให้แท่นเลื่อนเคลื่อนที่ได้ตามที่เราต้องการ เช่น เครื่องกลึงซีเอ็นซี (CNC Machine)ก็จะมีมอเตอร์ในการเคลื่อนที่อยู่2ตวั หรือเครื่องกัดซีเอ็นซีก็จะมีมอเตอร์ป้อน3ตวั จากนั้น ระบบควบคุมอ่านโปรแกรมเสร็จแล้ว ก็จะเปลี่ยนรหัสโปรแกรมนั้นให้เป็นสัญญาณทางไฟฟ้าเพื่อไปควบคุมให้ มอเตอร์ทางาน แต่เนื่องจากสัญญาณที่ออกจากระบบควบคุมนี้มีกาลังน้อย ไม่สามารถไปหมุนขับให้มอเตอร์ ทางานได้ดังนั้น จึงต้องส่งสัญญาณนี้เข้าไปในภาคขยายสัญญาณของระบบขับ (Drive amplified) และส่ง
-109-
สัญญาณต่อไปยังมอเตอร์ป้อนแนวแกนที่ต้องการเคลื่อนที่ ตามที่โปรแกรมกาหนด ความเร็วและระยะทาง การเคลื่อนที่ของแท่นเลื่อนจะต้องกาหนดให้ระบบควบคุมรู้เนื่องจากระบบควบคุมซีเอ็นซี (CNC) ไม่สามารถ มองเห็นได้ ซึ่งจะแตกต่างกับช่างควบคุมเครื่องจักรที่อาศัยสายตามองดูตาแหน่งของคมตัดกับชิ้นงาน ก็จะรู้ว่า ต้องเลื่อนแท่นเลื่อนไปอีกเป็นระยะทางเท่าใดถึงจะถึงชิ้นงาน
ดังนั้น จึงต้องออกแบบอุปกรณ์หรือเครื่องมือที่สามารถจะบอกตาแหน่งของแท่นเลื่อนให้ระบบควบคุม ได้รู้ อุปกรณ์ชุดนี้เรียกว่า ระบบวัดขนาด (Measuring System) ซึ่งประกอบด้วยสเกลแนวตรง (Liner Scale) มีจานวนเท่ากับจานวนแนวแกนในการเคลื่อนที่ของเครื่องจักรกล ทาหน้าที่ส่งสัญญาณไฟฟ้าที่สัมพันธ์กับ ระยะทางที่แท่นเลื่อนเคลื่อนที่กลับไปยังระบบควบคุม ทาให้ระบบควบคุมรู้ว่าแท่นเลื่อนเคลื่อนที่ไปเป็น ระยะทางเท่าใด จากหลักการควบคุมการทางานดังกล่าว ทาให้เครื่องจักรกลซีเอ็นซีสามารถผลิตชิ้นงานให้มี รูปร่าง และรูปทรงให้มีขนาดตามที่เราต้องการได้ เนื่องจากการสร้างและการทางานที่เหนือกว่าเครื่องจักรกล ทั่วไป จึงทาให้เครื่องจักรกลซีเอ็นซีเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีความสาคัญมากในปัจจุบันนี้ หากต้องการผลิตสินค้าให้ได้ จานวนมากๆ และลดจานวนระยะเวลาการผลิตของสินค้า เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า ตัวอย่างของเทคโนโลยี ยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ ระบบอิเล็กทรอนิกส์สาหรับการขับเคลื่อน และควบคุม
2. เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต
การนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาใช้ในกระบวนการผลิตของงานอุตสาหกรรมเพื่อประยุกต์ใช้มากขึ้น จากความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ทาให้คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงและมีขีดความ สามารถสูงขึ้นและที่สาคัญคือราคาถูกลง ทาให้มีการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในงานอุตสาหกรรมด้านต่าง ๆ กว้างขวางซึ่งก็ก่อให้เกิดการพัฒนาทั้งทางด้านฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ จนเกิดการนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์มา ใช้ในงานอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น การควบคุมกระบวนการผลิตแบบอัตโนมัติในงานอุตสาหกรรมมักนิยมใช้ คอมพิวเตอร์เฉพาะงานอุตสาหกรรมที่เรียกว่า Programmable Logic Controller หรือที่เรียกย่อๆ ว่า PLC โดยมีการเขียนโปรแกรมสาหรับใช้ในงานอุตสาหกรรมเพื่อนาไปควบคุมอุปกรณ์หรือเครื่องจักรในงาน อุตสาหกรรม หรือการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบงานอุตสาหกรรม (CAD/CAM) PLC (Programmable Logic Controller) เป็นเครื่องควบคุมอัตโนมัติในโรงงานอุตสาหกรรม ที่สามารถจะ โปรแกรมได้ ถูกสร้างและพัฒนาขึ้นมาเพื่อทดแทนวงจรรีเลย์ อันเนื่องมาจากความต้องการที่อยากจะได้เครื่อง ควบคุมที่มีราคาถูก สามารถใช้งานได้อย่างเอนกประสงค์ การใช้ PLC สาหรับการควบคุมเครื่องจักรหรือ อุปกรณ์ต่างๆ ในโรงงานอุตสาหกรรมจะมีข้อได้เปรียบ กว่าการใช้ระบบรีเลย์ (Relay) ซึ่งจาเป็นจะต้องเดิน สายไฟฟ้า หรือที่เรียกว่า Hard – Wired ฉะนั้นเมื่อมีความจาเป็นที่ต้องเปลี่ยนขบวนการผลิต หรือลาดับการ ทางานใหม่ ก็ต้องเดินสายไฟฟ้าใหม่ ซึ่งเสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายสูง แต่เมื่อเปลี่ยนมาใช้ PLC แล้วการเปลี่ยน
-110-
ขบวนการผลิตหรือลาดับการทางานใหม่นั้นทาได้โดยการเปลี่ยนโปรแกรมใหม่เท่านั้น นอกจากนี้แล้ว PLC ยัง ใช้ระบบโซลิด-สเตท ซึ่งนาเชื่อถือกว่าระบบเดิม การกินกระแสไฟฟ้าน้อยกว่า และสะดวกกว่าเมื่อต้องการ ขยายขั้นตอนการทางานของเครื่องจักร คอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบงานอุตสาหกรรม (CAD/CAM) การขยายตัวทางอุตสาหกรรม ก่อให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมการผลิต ให้มีความทันสมัย และ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ระบบ CAD/CAM เริ่มต้นจากกระบวนการการผลิตในโรงงานที่ต้องการการ ผลิตแบบอัตโนมัติ (Automation Production Systems) มาช่วยในการผลิตที่มีปริมาณมากๆ และต้องการ ความแม่นยาสูง เพื่อลดความเสียหาย ลดข้อบกพร่องในการทางาน และลดจานวนเศษของเสีย
CAD (Computer Aided Design) เป็นการใช้คอมพิวเตอร์มาเป็นเครื่องมือช่วยในการออกแบบและเขียนแบบ รวมทั้งสร้าง ภาพสองหรือสามมิติได้โดยสะดวก นอกจากจากนี้ยังช่วยวิเคราะห์การออกแบบด้วยเช่นใช้ ประเมินคาพิกัดเผื่อ (Tolerance) ของการสวมหรือประกอบชิ้นงานเข้าด้วยกันก่อนนาไปผลิตจริง เป็นต้น CAM (Computer Aided Manufacturing) เป็นการนาเอาซอฟต์แวร์มาใช้ในกระบวนการผลิตต่อเนื่องจาก CAD โดยทาการแปลงของมูลที่ป้อนเข้าไปให้เป็นชุดคาสั่ง และนาไปควบคุมเครื่องจักรกลที่ใช้คอมพิวเตอร์ ควบคุมหรือเครื่องจักรกลซีเอ็นซีนั่นเอง ในระบบ CAD/CAM มักจะมีโปรแกรมสาหรับควบคุม คุณภาพเป็น ส่วนหนึ่งเสมอ ทั้งนี้ก็เพื่อทาการตรวจสอบหรือ เช็คข้อผิดพลาดของชิ้นงานที่เครื่องผลิตออกมาได้ หาก โปรแกรมควบคุมคุณภาพตรวจพบคาผิดพลาดก็จะทาการคานวณ เพื่อแก้ไขและส่งคาใหม่ที่ถูกต้องไปยังระบบ คอมพิวเตอร์ของ CAM ทาให้สามารถควบคุมคุณภาพของชิ้นงานให้อยู่ในคาพิกัดที่ถูกกาหนดไว้
3. เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการจัดการและการบริหารบุคลากร
ในระยะกว่า 30 ปีผ่านมา ได้มีการพัฒนาความรู้ด้านการจัดการอย่างมากมายและสามารถนาความรู้เห ลานี้มาประยุกต์ใช้ในการบริหารองค์กรได้ ความรู้เรื่องการจัดการสมัยใหม่ที่ได้รับความนิยมกล่าวถึงในการ พัฒนาอุตสาหกรรม เช่น การบริหารคุณภาพโดยรวม (Total Quality Management: TQM), การบริหาร ผลิตภาพโดยรวม (Total Productivity Management: TPM), ISO 9000 หรือแม้แต่การนาระบบ คอมพิวเตอร์มาใช้งานบัญชี ควบคุมสินค้าคงคลัง การติดตั้งระบบเครือข่าย (LAN) และการจัดทาเหมืองข้อมูล เพื่อการวางแผนควบคุมการผลิต การบริหารคุณภาพโดยรวม (Total Quality Management: TQM) เป็นระบบบริหารคุณภาพที่มุ่งเน้นการให้ความสาคัญสูงสุดต่อลูกค้าภายใต้ความร่วมมือของพนักงานทั่วทั้ง องค์กรที่จะปรับปรุงงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการได้ TQM จึงเป็นแนวทางที่ หลายองค์กรนามาใช้ปรับปรุงงาน ระบบ TQM เป็นระบบที่มองภาพรวมทั้งองค์กร ระบบนี้ลูกค้าจะเป็นผู้ กาหนดมาตรฐานหรือความต้องการ เป็นระบบที่ปรับปรุงการวางแผน การจัดองค์กร และการทาความเข้าใจ ในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับแต่ละบุคคลในแต่ละระดับเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ให้มีความยืดหยุ่นเพื่อที่จะ สามารถแข่งขันได้TQMเป็นระบบทสี่ามารถนาไปใช้ได้กับทุกองค์กรประสิทธิภาพของการจัดองค์กรในระบบ
-111-
นี้ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ของทุกคนในการนาองค์กรไปสู่เป้าหมาย การบริหารผลิตภาพ โดยรวม (Total Productivity Management: TPM) เป็นระบบบารุงรักษาเครื่องมืออุปกรณ์ใน อุตสาหกรรมการผลิต มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มผลผลิตสูงสุด ขณะเดียวก็เพิ่มขวัญกาลังใจ และความพึงพอใจในงาน ของคนทางาน กิจกรรม TPM ยึดแนวคิดหลัก 2 อย่าง คือ 1) การลดและปูองกันการสูญเสียทุกประเภท และ 2) ต้องเป็นการกิจกรรมที่ทุกหน่วย ทุกฝ่ายในองค์กร และบุคคลทุกระดับมีส่วนร่วม มาตรฐานระบบ บริหารงานคุณภาพ ISO 9000 มาตรฐานระบบคุณภาพ ISO 9000 เป็นมาตรฐานสากลที่ใช้เพื่อการบริหาร หรือจัดการคุณภาพภายในองค์การ ซึ่งไม่จากัดว่าเป็นองค์การธุรกิจ กิจการอุตสาหกรรมก็สามารถที่จะนาเอา ระบบคุณภาพนี้ไปใช้ได้ ทั้งนี้ระบบคุณภาพ ISO 9000 จะไม่รับประกันว่าผลิตภัณฑ์จะดีที่สุดหรือมีมาตรฐาน ที่สุด แต่ระบบคุณภาพ ISO 9000 จะประกันว่าการบริหารงานขององค์การนั้นมีคุณภาพทั่วทั้งองค์กร ซง่ึ อาจจะเป็นผลกันว่าเมื่อมีการบริหารงานที่ดีมีคุณภาพ ย่อมจะส่งผลไปถึงความมีคุณภาพของผลิตภัณฑ์และ บริการด้วย ลักษณะสาคัญของมาตรฐานระบบบริหารงานคุณภาพ : ISO 9000 ดังนี้
1. เป็นการบริหารงานคุณภาพ เพื่อทาให้ลูกค้าพึงพอใจ โดยยึดหลักของคุณภาพที่มุ่งเน้นให้มีการจัดทา ขั้นตอนการดาเนินงานและหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่จะทาให้ผลิตภัณฑ์ (สินค้าหรือบริการ) เป็นไปตามความต้องการ ของลูกค้าตั้งแต่แรกที่ได้รับสินค้าหรือบริการตามข้อตกลง
2. เน้นการบริหารงานคุณภาพทุกขั้นตอน ตั้งแต่เริ่มขั้นตอนแรกจนขั้นตอนสุดท้ายในกระบวนการผลิต ของธุรกิจนั้นๆ
3. เน้นการปฏิบัติที่เป็นระบบอย่างมีแบบแผน เพื่อปูองกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น
4. สามารถตรวจสอบได้ง่าย โดยมีหลักฐานทางด้านเอกสารที่เก็บไว้ ซึ่งจะนาเอาสิ่งที่ปฏิบัติมาจัดทา เป็นเอกสาร โดยจัดเป็นหมวดหมู่เพื่อให้นาไปใช้งานได้สะดวกและก่อให้เกิดประสิทธิภาพ
5. เป็นระบบบริหารงานคุณภาพที่ทุกคนในองค์การมีส่วนร่วม
6. เป็นแนวทางการบริหารงานคุณภาพทั่วทั้งองค์การ
7. เป็นระบบบริหารงานคุณภาพที่นานาชาติยอมรับและใช้เป็นมาตรฐานของประเทศ
8. เป็นที่ยอมรับของลูกค้าชั้นนา เช่น ประเทศในกลุ่มทวีปยุโรป หรือสหรัฐอเมริกาและเป็นเงื่อนไขของ
กลุ่มประเทศภายใต้การตกลงว่าด้วยสิทธิการปกปูองอัตราภาษีศุลกากรระหว่างประเทศ (General Agreement on Tax and Tariff; GATT) ที่กาหนดให้ประเทศคู่แข่งขันทางการค้าใช้เป็นมาตรฐานสากลให้ การยอมรับซึ่งกันและกันสาหรับการทดสอบและการรับรอง
9. ระบบคุณภาพ ISO 9000 เป็นการรับรองในระบบคุณภาพขององค์การ ไม่ใช่เป็นการรับรองตัว ผลิตภัณฑ์เหมือนกับมาตรฐานสินค้าอื่น ๆ
10. ต้องมีหน่วยงานที่ 3 (Third Party) ที่ได้รับการรับรองจากองค์การมาตรฐานสากลระหว่างประเทศ (ISO) มาทาการตรวจสอบเพื่อให้การรับรอง เมื่อผ่านการรับรองแล้วจะต้องได้รับการตรวจซ้าอีกอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ตลอดระยะเวลาของการรับรอง 3 ปี เมื่อครบกาหนด 3 ปี แล้วจะต้องมีการตรวจประเมินใหม่ทั้งหมด
สรุป
-112-
นอกจากเทคโนโลยีดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ยังมีเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มเทคโนโลยี สารสนเทศและระบบสื่อสารคมนาคม ที่จัดเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สาคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมของ ประเทศ ประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีระบบสารสนเทศรวมทั้งการสื่อสารโทรคมนาคมที่ทันสมัย ขณะเดียวกัน พัฒนาการทางเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมก็ได้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกมาก มีการให้บริการระบบสื่อสารสมัยใหม่ อยู่มากมาย เทคโนโลยีเหลานี้จึงได้รับความสนใจ
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารถูกนามาใช้ประโยชน์ในการช่วยพัฒนาความก้าวหน้าทางด้าน อุตสาหกรรม การประดิษฐ์หุ่นยนต์เพื่อใช้ทางานบ้าน และหุ่นยนต์เพื่องานอุตสาหกรรมที่ต้องเสี่ยงภัยและเป็น อันตรายต่อสุขภาพ เช่น โรงงาน สารเคมี โรงผลิตและควบคุมการจ่ายไฟฟ้า รวมถึงงานที่ต้องทาซ้าๆ เช่น โรงงานประกอบรถยนต์ และโรงงานแบตเตอรี่ ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้ามามีบทบาท อย่างมากในการผลิตและควบคุมคุณภาพสินค้า การส่งสินค้าตามใบสางสินค้า การควบคุมวัสดุคงคลัง และการ คิดราคาตนทุนสินค้า ตัวอย่างของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่นามาใช้พัฒนางานในด้าน อุตสาหกรรม
เทคโนโลยีกับการพัฒนาอุตสาหกรรมเป็นคาจากัดความที่หมายถึงกิจกรรมที่ใช้ทุนและแรงงาน เพื่อที่จะ ผลิตสิ่งของหรือจัดให้มีบริการ ในปัจจุบันอุตสาหกรรมถือเป็นกิจกรรมที่จาเป็นต่อมนุษย์อย่างยิ่ง ด้วยว่ามนุษย์ ต้องพึ่งพาการผลิตสิ่งที่จาเป็นต่อชีวิตประจาวัน หรือเรียกรวมว่าปัจจัยสี่ โดยสิ่งที่สามารถผลิตปัจจัยสี่ให้ดี มี คุณภาพและไม่ก่ออันตราย หรือก่ออันตรายให้กับร่างกายและทรัพย์สินน้อยที่สุดคือการผลิตจากระบบ อุตสาหกรรมซึ่งสามารถแบ่งประเภทอุตสาหกรรมตามลักษณะต่างๆ ได้หลายลักษณะ เทคโนโลยีที่ใช้ในระบบ
อุตสาหกรรมแบ่งได้ 3 ลักษณะ คือ เทคโนโลยีในลักษณะเครื่องมือ เครื่องจักร เทคโนโลยีลักษณะกระบวนการ วิธีการ และเทคโนโลยีในลักษณะนามธรรม
คาถามท้ายบท
1. คาว่าอุตสาหกรรม มีความหมายว่าอย่างไร
2. การแบ่งประเภทของอุตสาหกรรมสามารถแบ่งได้กี่ลักษณะมีอะไรบ้าง
3. เทคโนโลยีที่ใช้ในอุตสาหกรรมมีกี่ลักษณะอะไรบ้าง
4. เทคโนโลยีในลักษณะกระบวนการของอุตสาหกรรมมีอะไรบ้างจงบอกมา2อย่าง
5. เทคโนโลยีในลักษณะเครื่องมือเครื่องจักรในอุตสาหกรรมมีอะไรบ้าง
-113-
บทที่ 9 เทคโนโลยีกับการพัฒนาธุรกิจ
เทคโนโลยีกับการพัฒนาธุรกิจ เป็นการบริหารธุรกิจโดยการนาเทคโนโลยีต่างๆ ที่มีอยู่เข้ามา ประยุกต์ใช้ เพื่อเสริมสร้างทั้งประสิทธิภาพ คือการกระทาในสิ่งที่ถูกที่ควรจะทา และประสิทธิผลคือการกระทา ในสิ่งที่ควรทาให้ถูกต้อง หมายถึงเพื่อการเพิ่มผลผลิตอย่างมีคุณค่า (Valuable productivity) ให้แก่องค์กร ธุรกิจ หรือวิสาหกิจ
ในขณะนี้มีกล่าวถึงแนวความคิดที่จะเพิ่มผลผลิต เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ไทย การเพิ่มผลผลิตอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องเพิ่มผลผลิตอย่างมีคุณค่า มีคุณประโยชน์ต่อผู้ประกอบการและ ประเทศชาติไปพร้อมๆ กันด้วย ดังนั้นการเพิ่มผลผลิตอย่างมีคุณค่าจะเป็นการดาเนินการการบริหารการ จัดการในการเพิ่มผลผลิตเชิงกลยุทธ์ (Strategic Productivity Management) อีกนัยหนึ่งการเพิ่มผลผลิต อย่างมีคุณค่าคือ การเพิ่มทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ตัวอย่างเช่น การเพิ่มผลผลิตข้าว ถ้าจะดาเนินการให้มีการเพิ่มผลผลิตเพียงอย่างเดียว เกษตรกร อาจจะมีรายได้เพิ่มขึ้น หรือเท่าเดิม หรือลดลง ขึ้นอยู่กับราคาขายและราคาขายขึ้นอยู่กับผลผลิตหรืออุปทาน กับความต้องการหรืออุปสงค์ของข้าว ภายในประเทศและในโลก อย่างไรก็ตามถ้าหากเกษตรกรมีทั้งรายได้จาก การขายข้าวเพิ่มสูงขึ้นและมีรายได้สุทธิหรือกาไรสุทธิ (รายได้จากการขายหักค่าใช้จ่ายในการผลิตทั้งหมด) เพิ่ม สูงขึ้นตามไปด้วย จึงจะถือได้ว่าเป็นการเพิ่มผลผลิตอย่างมีคุณค่า
การที่จะลงทุนนาเทคโนโลยีต่างๆ มาประยุกต์ใช้ในการดาเนินธุรกิจก็เช่นกัน เทคโนโลยีนั้น ๆ จะต้อง เพิ่มทั้งผลผลิต และผลกาไรให้แก่องค์กร นอกจากนั้นแล้วก่อนที่จะนาเทคโนโลยีมาใช้จะต้องแบ่งการพิจารณา ออกเป็น 3 ส่วนได้แก่
(1) ความต้องการของวิสาหกิจ ที่จะนาเทคโนโลยีมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์อะไร เช่น
ก. เพื่อแก้ไขปัญหา ปัญหาอะไร จะมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างไร เป็นต้น
ข. เพื่อต้องการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดาเนินการ ทั้งองค์กรหรือบางส่วน หรือ
หน่วยงาน หรือเฉพาะเรื่องเฉพาะงาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน หรือเพื่อเพิ่มมูลค่า หรือเพื่อลด ต้นทุนในการดาเนินการ เป็นต้น
ค. เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า หรือตามกฎหมาย ตามกาหนดกฎเกณฑ์ของ ภาคสาธารณะ หรือให้สอดคล้องกับการแข่งขัน หรือสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป การนา เทคโนโลยีมาใช้ในข้อนี้เพื่อเป็นการต่อต้านหรือผสมผสานกับแรงกดดันจากภายนอก (External Pressure)
-114-
(2) เทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบัน และที่คาดว่าจะมีขึ้นในอนาคต เป็นการมองการณ์ไกลว่าเทคโนโลยีที่ มีอยู่ในขณะนี้ จะสามารถเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีอนาคตได้หรือไม่ อย่างไร ถ้าไม่ได้จะต้องลงทุนใหม่ การ สูญเสียจากการที่ลงทุนในเทคโนโลยี ปัจจุบันจะมีมากน้อยเพียงใด และจะต้องลงทุนใหม่อีกเท่าไรหรือสามารถ นาเทคโนโลยีใหม่เข้ามาต่อยอดหรือยกระดับ เพิ่มสมรรถนะในราคาเท่าไรและต้องการทรัพยากรอื่นๆ เพิ่มเติม หรือไม่และจะต้องพิจารณาถึงเวลา ได้แก่ ระยะเวลาของการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและเวลาที่คาดว่าจะมีการ สูญเสียที่จะมีผลกระทบต่อการดาเนินธุรกิจอย่างไรบ้าง
นอกจากนั้นจะต้องพิจารณาว่าจะมีทางเลือกทางอื่นทางใดหรือไม่ ในการแก้ไขปัญหาหรือเพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพของการดาเนินการ การพิจารณาก็จะเหมือนกับการพิจารณาตัดสินใจการลงทุนทั่วๆ ไป เช่นจะ ลงทุนเองทั้งหมด หรือว่าจ้างผู้ให้บริการรับดาเนินการทั้งหมดหรือบางส่วน หรือจะซื้อหรือเช่า หรือเช่าซื้อ ค่าใช้จ่ายในการออกแบบติดตั้ง เริ่มดาเนินการและการให้บริการในภายหลัง ตลอดจนการสรรหาบุคลากรที่ เหมาะสมมาปฏิบัติงานและการรองรับต่างๆ เช่นการฝึกอบรม ฯลฯ เป็นต้น
(3) เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาธุรกิจ คือการเลือกเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันใช้ให้เหมาะสม สามารถ สนองตอบความต้องการ ตามวัตถุประสงค์ของการดาเนินธุรกิจ ตามที่ได้กล่าวไปแล้วว่าเทคโนโลยีธุรกิจ จะ เป็นเทคโนโลยีเฉพาะธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง
องค์กรในภาคธุรกิจใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการบริหารจัดการ เพื่อช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับ องค์กรในการทางาน ทาให้การประสานงานหรือการทากิจกรรมต่างๆ ของแต่ละหน่วยงานในองค์กรหรือ ระหว่างองค์กรเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถนามาใช้ปรับปรุงการให้บริการกับ ลูกค้าซึ่งเป็นการสร้างภาพพจน์ที่ดีขององค์กรต่อลูกค้าทั่วไป สิ่งเหล่านี้นับเป็นการสร้างโอกาสความได้เปรียบ ในการแข่งขันกับองค์กร ตัวอย่างเช่น การนาเทคโนโลยีมาใช้ในด้านการพาณิชย์ เช่น การให้บริการชาระค่า สินค้า บริการ การสั่งซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต และการตรวจสอบราคาสินค้าผ่านเครื่องอ่านราคาสินค้า
เทคโนโลยีสารสนเทศกับการพัฒนาธุรกิจ
จากการที่เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทาให้เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทกับธุรกิจ มากขึ้นโดยลาดับและมีแนวโน้มว่าธุรกิจส่วนใหญ่จะต้องมีการปรับตัวตามเทคโนโลยีเหล่านั้น การบริหาร องค์กรธุรกิจในปัจจุบันจึงมีลักษณะยืดหยุ่น เป็นองค์กรที่กระจายอานาจและแบนราบ การแข่งขันจะมุ่งมั่น
-115-
มองไปในระดับโลก (World Class Competition) ดังนั้น ธุรกิจต้องมีความคล่องตัว หลากหลายและ ผสมผสาน การบริหารงานจะเป็นลักษณะข้ามสายงาน (Cross Function)
ในอนาคตอันใกล้เทคโนโลยีสารสนเทศจะกลายเป็นโครงสร้างหลักขององค์กร ซึ่งจะต้องสอดคล้อง กับวัฒนธรรม การเมือง กระบวนการทางานและขั้นตอนการปฏิบัติงานขององค์กร จะเป็นเครื่องมือสาคัญใน การปรับเปลี่ยนการทางานขององค์กร มีการลดลาดับชั้นการบริหารองค์กร การเผยแพร่ข่าวสารในเชิงธุรกิจมี การใช้ความรู้เป็นตัวนา (Knowledge Based) เพื่อช่วยส่งเสริมขีดความสามารถในการปรับตัวให้เข้า สภาพแวดล้อมที่ผันผวนและส่งเสริมการกระจายอานาจในการบริหารด้วยข่าวสารที่รวดเร็ว ชัดเจน ด้วย วิวัฒนาการของระบบเครือข่ายสื่อสารข้อมูลด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศจะไม่ได้เป็น ระบบเดี่ยวๆ (Stand alone) อีกต่อไป แต่จะเป็นระบบที่เชื่อมต่อกันเป็นโครงสร้างขนาดใหญ่ที่สามารถ แลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ และมีความอ่อนตัวสูงเหมาะกับยุคสมัยของการทาธุรกิจที่ต้องใช้ข้อมูลร่วมกัน เกื้อกูลกัน และเป็นพันธมิตรกัน จากเหตุผลที่กล่าวมาแล้ว จะเห็นได้ว่าองค์กรธุรกิจในปัจจุบันและอนาคตมีการเปลี่ยนแปลง ไปในทิศทางที่ต่างจากองค์กรธุรกิจแบบเดิม เหตุผลที่จาเป็นต้องนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในธุรกิจ คือ
(1) การเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์องค์กรต่างๆ ทั้ง องค์กรธุรกิจและองค์กรที่ไม่ใช่ธุรกิจ จึงต้องนาเอาเทคโนโลยีเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร ตลอดจนข้อบังคับ ทางกฎหมายในบางเรื่องอาจมีการบังคับใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการควบคุม เช่น การขออนุญาตจด ทะเบียนการค้าและการภาษีอากร ในอนาคตทุกองค์กรการค้าอาจต้องถูกบังคับให้เชื่อมโยงข้อมูลการขายและ สินค้าคงคลังเพื่อการจัดเก็บภาษีผ่านเครื่องบันทึกเงินสด
(2) ในอนาคตมีการแข่งขันสูง ทุกองค์กรต้องการเข้าถึงผู้บริโภคด้วยความแตกต่างจากคู่แข่งให้มาก ที่สุด ด้วยสินค้าและบริการที่ราคาถูกด้วยความรวดเร็วและคุณภาพดีเท่าที่ลูกค้าต้องการและระบุได้ด้วยตนเอง ซึ่งในปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศเอื้อประโยชน์ให้แต่ละองค์กรสามารถทาธุรกิจอีเล็กทรอนิกส์ (e-Business) ได้ เช่น การซื้อขายสินค้าและทาธุรกรรมผ่านเว็บไซต์หรือการพาณิชย์อีเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce)
(3) องค์กรต้องมีการปรับตัวและออกแบบองค์กรใหม่ เพราะถูกผลกระทบจากแรงกดดันในหลาย ดา้ น ได้แก่ แรงกดดันจากเทคโนโลยี แรงกดดันจากสังคมและแรงกดดันจากตลาดหรือลูกค้า
(4) องค์กรสมัยใหม่ต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงของโลก
(5) องค์กรจาเป็นต้องใช้ IT เพื่อช่วยเสริมกลยุทธ์ในการแข่งขันทั้งในระดับประเทศ ภูมิภาคและ ระดับโลก ซึ่งหมายรวมถึง กลยุทธ์ทางการตลาด กลยุทธ์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์/บริการ การกระจายสินค้า หรือส่งมอบสินค้าตามกาหนด การโฆษณาและการส่งเสริมการขาย การจัดการทรัพยากรบุคคล การวางแผน การผลิต การวิจัยและพัฒนา เป็นต้น
(6) องค์ กรต้ องประสานงาน แลกเปลี่ยนข้ อมูลที่จ าเป็น ทั้งระหว ่างผู้ร ่วมงาน และระดับช ั้นงาน
-116-
บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศในธุรกิจ
(1) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
(2) ช่วยเพิ่มคุณภาพผลิตภัณฑ์และตอบสนองความต้องการลูกค้าได้ดีขึ้น
(3) ช่วยสร้างสรรค์และพัฒนากลยุทธ์ในการบริหารจัดการให้ได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้น (4) ช่วยให้องค์บรรลุผลสาเร็จในการจัดการเชิงกลยุทธ์ตามแผนที่วางไว้
(5) ช่วยให้เกิดการปรับโครงสร้างองค์กรหรือปรับรื้อองค์กรในทิศทางที่ดีได้
(6) ช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
(7) ช่วยให้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่มีค่าและจาเป็นต่อองค์กรได้ดีขึ้น
(8) ช่วยให้เกิดนวัตกรรมใหม่ในตัวสินค้าและการบริการ
(9) ช่วยเปลี่ยนมุมมองในการบริหารจากหน้าที่มาเป็นกระบวนการ
เทคโนโลยีพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce)
Electronic Commerce หรือ e-Commerce คือการซื้อขายสินค้าหรือบริการโดยส่งข้อมูลด้วยสื่อ อิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางเครือข่าย และเป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยี Internet กับการจาหน่ายสินค้า และบริหาร โดยสามารถนาเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัวสินค้าหรือบริหารผ่านทาง Internet สู่คนทั่วโลก ภายในระยะเวลาอันรวดเร็วทาให้การดาเนินการซื้อขายอย่างมีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดรายได้ในระยะเวลา อันสั้น
ภาพที่ 9.1 แสดงอีคอมเมิร์ซ (e-Commerce)
-117-
ประเภทของอีคอมเมิร์ซ
มีการแบ่งประเภทอีคอมเมิร์ซกันหลายแบบ เช่น แบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 5 ประเภท แบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 3 ประเภท แบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 6 ส่วน และแบ่งอีคอมเมิร์ซตามประเภทสินค้าเป็น 2 ประเภท เป็นต้น การแบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 5 ประเภท ดังต่อไปนี้
1. ธุรกิจกับผู้ซื้อปลีกหรือบีทูซี (B-to-C = Business-to-Consumer) คือผู้ซื้อปลีกใช้อินเทอร์เน็ตใน การซื้อสินค้าจากธุรกิจที่โฆษณาอยู่ในอินเทอร์เน็ต
2. ธุรกิจกับธุรกิจหรือบีทูบี (B-to-B = Business-to-Business) คือธุรกิจกับธุรกิจติดต่อซื้อขายสินค้า กันผ่านอินเทอร์เน็ต
3. ธุรกิจกับรัฐบาลหรือบีทูจี (B-to-G = Business-to-Government) คือธุรกิจติดต่อกับหน่วยราชการ
4. รัฐบาลกับรัฐบาลหรือจีทูจี (G-to-G = Government-to-Government) คือหน่วยงานรัฐบาล หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งติดต่อกับหน่วยงานรัฐบาลอีกหน่วยงานหนึ่ง
5. ผู้บริโภคกับผู้บริโภคหรือซีทูซี (C-to-C = Consumer-to-Consumer) คือผู้บริโภคประกาศขาย สินคา้ แล้วผู้บริโภคอีกรายหนึ่งก็ซื้อไป เช่นที่ Ebay เป็นต้น ซึ่งผู้บริโภคสามารถจ่ายเงินให้กันทางบัตรเครดิตได้
การแบ่งอีคอมเมิร์ซ เป็น 3 ประเภท ดังต่อไปนี้
1. อีคอมเมิร์ซระหว่างผู้บริโภคกับธุรกิจ หรือบีทูซี (B-to-C = Business-to-Consumer) เช่น
(1) การติดต่อสื่อสารระหว่างผู้บริโภคกับธุรกิจโดยใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ กลุ่มสนทนา กระดานข่าว เป็นต้น
(2) การจัดการด้านการเงิน ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถจัดการเรื่องการเงินส่วนตัว เช่นฝาก-ถอนเงินกับ ธนาคาร ซื้อขายหุ้นกับผู้ค้าหุ้น ได้แก่อีเทรด (www.etrade.com) เป็นตน้
(3) ซื้อขายสินค้าและข้อมูล ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถซื้อขายสินค้าและข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตได้ โดยสะดวก
2. อีคอมเมิร์ซภายในองค์กรหรือแบบอินทราออร์ก (Intra-Org E-commerce) คือการใช้อี คอมเมิร์ซในการช่วยให้บริษัทหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งสามารถปรับปรุงการทางานภายในและให้บริการลูกค้า ได้ดีขึ้น เช่น
-118-
(1) การติดต่อสื่อสารภายในองค์กรจะสะดวกรวดเร็วจะได้ผลดีขึ้น โดยใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ และป้ายประกาศ เป็นต้น
(2) การจัดพิมพ์เอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ หรืออีพับลิชชิง (Electronic Publishing) ช่วยให้บริษัท สามารถออกแบบเอกสาร จัดพิมพ์เอกสาร และแจกจ่ายเอกสารได้สะดวกรวดเร็ว และใช้ค่าใช้จ่ายน้อยไม่ว่า จะเป็นคู่มือข้อกาหนดสินค้า (Product Specifications) รายงานการประชุม เป็นต้นทั้งนี้โดยผ่านเว็บ
(3) การปรับปรุงประสิทธิภาพพนักงานขาย การใช้อีคอมเมิร์ซแบบนี้ช่วยปรับปรุงการสื่อสาร ระหว่างฝ่ายผลิตกับฝ่ายขาย และระหว่างฝ่ายขายกับลูกค้า ทาให้ได้ประสิทธิภาพดีขึ้น
3. อีคอมเมิร์ซระหว่างองค์กรหรือแบบอินเตอร์ออร์ก (Inter-Org E-commerce) คือแบบเดียวกับ แบบที่เรียกว่าบีทูบี (B-to-B = Business-to-Business) เช่นการจัดซื้อ (ช่วยให้จัดซื้อได้ดีขึ้น ทั้งด้านราคา และระยะเวลาการส่งของ) การจัดการสินค้าคงคลัง การจัดส่งสินค้า การจัดการช่องทางการขายสินค้า และ การจัดการด้านการเงิน เป็นต้น
การแบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 6 ส่วน ดังต่อไปนี้
1. การขายปลักทางอิเล็กทรอนิกส์หรืออีเทลลิ่ง (e-tailing = Electronic Retailing) หรือร้านค้า
เสมือนจริง (Virtual Storefront) ยอดขายปลีกอิเล็กทรอนิกส์ในอเมริกาใน ค.ศ. 1999 มีมูลค่าเป็นหมื่นล้าน บาท
2. การวิจัยตลาดทางอิเล็กทรอนิกส์หรือมาร์เก็ตอีรีเซิร์ช (Market e-Research) คือการใช้
อนิ เทอร์เน็ตในการวิจัยตลาดแบบเดียวกับที่สานักวิจัยเอแบค-เคเอสซีอินเตอร์เน็ตทาอยู่ จากการใช้ อินเทอร์เน็ตนี้ บริษัทห้างร้านสามารถเก็บข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าปัจจุบัน และผู้ที่อาจจะเป็นลูกค้าในอนาคต ทั้ง จากการลงทะเบียนเข้าใช้เว็บ จากแบบสอบถามและจากการสั่งซื้อสินค้าของลูกค้า การวิจัยตลาดอินเทอร์เน็ต ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของอีคอมเมิร์ซ
3. อินเทอร์เน็ตอีดีได หรือการส่งเอกสารตามมาตรฐานอีดีได้โดยใช้อินเทอร์เน็ต ซึ่งทาให้ค่าใช้จ่าย ต่าลงก็ถือว่าเป็นอีคอมเมิร์ซประเภทหนึ่ง
4. โทรสารและโทรศัพท์อินเทอร์เน็ต การใช้โทรสารและโทรศัพท์ทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ตหรือวีโอไอ พี (VoIP = Voice over IP) นั้นมีราคาต่ากว่าการใช้โทรสารและโทรศัพท์ธรรมดา และอาจจะใช้เป็นส่วนหนึ่ง ของอีคอมเมิร์ซ
-119-
5. การซื้อขายระหว่างบริษัทกับบริษัท บริษัทต่าง ๆ จานวนมากในปัจจุบันติดต่อซื้อขายสินค้ากันโดย ผ่านเว็บในอินเทอร์เน็ต ซึ่งก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของอีคอมเมิร์ซ
6. ระบบความปลอดภัยในอีคอมเมิร์ซ ถือว่าเป็นส่วนสาคัญของอีคอมเมิร์ซทั้งนี้ในปัจจุบันมีการใช้วิธี ตา่ งๆ เช่น เอสเอสแอล (SSL = Secure Socket Layer) เซ็ต (SET = Secure Electronic Transaction) อาร์เอาเอ (RSA = Rivest, Shamir, and Adleman) ดีอีเอส (DES = Data Encryption Standard) และ ดี อีเอส 3 ชั้น (Triple DES) เป็นต้น
การแบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 2 ประเภทสินค้า ดังต่อไปนี้
1. สินค้าดิจิตอล เช่นซอฟแวร์ เพลง วิดีโอ หนังสือ เป็นต้น ซึ่งสามารถส่งสินค้าได้โดยผ่านอินเทอร์เน็ต 2. สินค้าที่ไม่ใช่ดิจิตอล เช่นสินค้าหัตกรรม สินค้าศิลปะชีพ เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม เครื่องหนัง
เครื่องประดับ เครื่องจักรอุปกรณ์ ซึ่งต้องส่งสินค้าทางพัสดุภัณฑ์ผ่านไปรษณีย์หรือบริษัทรับส่งพัสดุภัณฑ์
แม้ว่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และการทาธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์นาเสนอความเจริญรุ่งเรืองแบบใหม่ให้แก่ องค์กรแต่ในเวลาเดียวกันก็นามาซึ่งปัญหาความท้าทายด้วยเช่นกันไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการดาเนินธุรกิจบน ระบบอินเทอร์เน็ตยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าจะเป็นแหล่งที่มาของรายได้ที่ยั่งยืน การนากระบวนการธุรกิจบนเว็บ สาหรับการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และการทาธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์มาใช้งานทาให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงองค์กร อย่างมาก กฎหมายที่จะนามาใช้กับการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ก็ยังไม่มีอย่างเพียงพอและองค์กรที่ทาการ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ก็จะต้องระมัดระวังในเรื่องการรักษาความปลอดภัยและการป้องกันสิทธิส่วนตัวของ ลูกค้า
สาหรับระบบการชาระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Payment System) แบบพิเศษได้รับการ พัฒนาขึ้นมาเพื่อจัดการกับวิธีการชาระเงินแบบต่างๆ สาหรับสินค้าที่มีการซื้อขายทางอิเล็กทรอนิกส์บนระบบ อินเทอร์เน็ต
-120-
ระบบชาระเงิน คาอธิบาย ตัวอย่าง
Credit Cards
บริการที่มีระบบรักษาความปลอดภัยบน ระบบอินเทอร์เน็ตที่ช่วยรักษาความลับของ ข้อมูลที่ถูกส่งระหว่างผู้ใช้ ส่งไปยังเว็บไซต์ ผู้ขายสินค้าและส่งไปประมวลผลที่ธนาคาร
PC Authorize, Web Authorize, IC Verify
Electronic Cash
รูปแบบการเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถใช้ ชาระเงินจานวนเล็กน้อย
Flooz.com, e-Coin
Person-to-Person Payment Systems
ความสามารถส่งเงินผ่านเว็บไปยังผู้ท่ีไม่รับ บัตรเครดิตในการชาระค่าสินค้า
Paypal, BillPoint, Yahoo payDirect
Digital Wallet
ซอฟต์แวร์ที่เก็บรักษาหมายเลขบัตรเครดิต และข้อมูลส่วนตัวของเจ้าของบัตรเพื่อ อานวยความสะดวกในการใช้บัตรเครดิต ชาระค่าสินค้าและบริหารบนเว็บ
Passport, Gator, AOL Quick Checkout
Electronic Check
เช็คเงินสดที่มีการประทับตราด้วยลายเซ็น อิเล็กทรอนิกส์
NetChex
Smart Card
ไมโครชิพที่เก็บข้อมูล e-cash และข้อมูล อื่นๆ ไว้สาหรับการชาระเงินที่แบบออนไลน์ และแบบทั่วไป
Mondex
Electronic Bill Payment
สนับสนุนการชาระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ สาหรับการซื้อสินค้าแบบออนไลน์และแบบ ปกติ
CheckFree, Billserve.com
ตารางที่ 9.1 แสดงระบบการชาระเงินอิเล็กทรอนิกส์สาหรับการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
ที่มา เลาดอน, เคนเนท, เลาดอน, จีนส์. 2546: 102
(เลาดอน, เคนเนท, เลาดอน, จีนส์. (2546). ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: เพียร์ สัน เอ็ดดูเคชั่น อินโดไชน่า.)
-121-
ประโยชน์ของอีคอมเมิร์ซ
1. เป็นการค้าที่ไร้พรมแดน ไม่มีการแบ่งทวีปหรือประเทศ ไม่มีข้อจากัดในเรื่องระยะทางและการ เดินทาง ท่านสามารถที่จะซื้อสินค้าจากร้านหนึ่งและเดินทางไปซื้อสินค้าจากร้านอีกร้านหนึ่งซึ่งอยู่คนละทวีป กันได้ ในเวลาเพียงไม่กี่นาที
2. เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายขนาดใหญ่ทั่วโลก ฐานผู้ซื้อขยายกว้างขึ้น
3. สามารถสามารถทาการค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมงและเปิดได้ทุกวันโดยไม่วันหยุด
4. ไม่มีความจาเป็นต้องจ้างพนักงานขายเพราะเจ้า e-Commerce จะทาการค้าแบบอัตโนมัติให้คุณ ไม่ต้องมีสินค้าคงคลังหรือมีก็น้อยมาก
5. ไม่มีความจาเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสร้างตึกแถว เพื่อใช้เป็นร้านค้า เพียงแค่สร้าง Web Site ก็ เปรียบเสมือนร้านค้าของคุณแล้ว ไม่ต้องเสี่ยงกับทาเลที่ตั้งของร้านค้า
6. e-Commerce สามารถเก็บเงิน และนาเงินฝากเข้าบัญชี ให้คุณโดยอัตโนมัติ
ภาพที่ 9.2 แสดงประโยชน์ของอีคอมเมิร์ซ
ที่มา https://sites.google.com/site/ecommercepa02/home/prayochn-laea-khx-cakad-khxng-e- commerce
-122-
เทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing)
คลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) คือแนวคิดการใช้งานทางด้านไอทีที่ใช้วิธีดึงพลังและ สมรรถนะจากคอมพิวเตอร์หลายๆ ตัวจากต่างสถานที่ให้มาทางานสอดประสานกันเพื่อช่วยขับเคลื่อนการ บริการทางด้านไอที ประโยชน์ของคลาวด์คอมพิวติ้งมีหลายประการเช่น ช่วยให้การนาไอทีไปประยุกต์ใช้ในเชิง ธุรกิจทาได้ง่ายและประหยัดขึ้นกว่าในอดีต โดยองค์กรสามารถใช้บริการทางด้านไอทีได้ โดยไม่จาเป็นต้อง ลงทุนมากกับโครงสร้างพื้นฐานไอที อีกทั้งผู้ใช้งานก็สามารถเลือกใช้บริการเฉพาะอย่างและเลือกเสียค่าใช้ ให้กับความต้องการเฉพาะด้านหรือสอดคล้องกับงบประมาณได้ นอกจากนี้คลาวด์คอมพิวติ้งยังมีประโยชน์ใน ด้านอื่น ๆ อีกไม่ว่าจะเป็นการช่วยองค์กรประหยัดพลังงานหรือเพิ่มความอุ่นใจในด้านความปลอดภัยของ ระบบไอที เป็นต้น
ภาพที่ 9.3 แสดงระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing)
ในอนาคตอันใกล้คลาวด์คอมพิวติ้งจะกลายเป็นเทคโนโลยีที่สาคัญและจะเข้ามามีบทบาทในการ ปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานทางด้านไอทีขนาดใหญ่ นอกจากนั้นแนวโน้มการใช้งานคลาวด์คอมพิวติ้งก็จะ เป็นไปอย่างกว้างขวางมากขึ้น ด้วยแรงผลักดันจากแนวโน้มสาคัญ 5 ประการดังนี้ (สานักงานส่งเสริมวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อม. เทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้งกับโอกาสทางธุรกิจของ SMEs. Online: www.sme.go.th)
1. แนวโน้มของเว็บที่กลายเป็นสื่อกลางสาหรับการติดต่อสื่อสารของคนทั่วโลก ปัจจุบันเว็บ เครือข่ายทางสังคม (Social Network) มีการเปลี่ยนแปลงทุกวันโดยผู้ใช้หลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก เช่น เฟซบุ๊ค (Facebook) วิกิพีเดีย (Wikipedia) หรือทวิตเตอร์ (Twitter) เป็นต้น ด้วยความนิยมใช้งานอย่าง
-123-
แพร่หลายของเว็บโซเชียลเน็ตเวิร์กนี้เอง ทาให้ปัจจุบันเริ่มมีการนาเว็บแอพพลิเคชั่นรูปแบบดังกล่าวมา ประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทางานร่วมกันระหว่างบุคลากรในองค์กร
โดยการเลือกใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กผ่านเทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้งในองค์กร เพื่อระดมความคิดของ พนักงานผ่านระบบออนไลน์ในแบบเรียลไทม์ รูปแบบการใช้งานคลาวด์คอมพิวติ้งดังกล่าวนี้สามารถรวบรวม ข้อมูลจากพนักงาน 18,000 คน โดยข้อมูลดังกล่าวจะถูกนาไปบริหารจัดการและวิเคราะห์เพื่อนาไปใช้งานเพื่อ ประโยชน์ในเชิงธุรกิจต่อไป นอกจากนั้นการสื่อสารอินเทอร์แอคทีฟในแบบเรียลไทม์ หรือที่เรียกว่าเว็บ 2.0 ก็ ถือเป็นปัจจัยสาคัญที่ผลักดันแนวโน้มการใช้งานทางด้านคลาวด์คอมพิวติ้งให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งรูปแบบดังกล่าง นอกจากจะตอบสนองการทางานของเว็บไซท์ที่เนื้อหามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาแล้ว การประมวลผลข้อมูล จานวนมหาศาลยังทาได้อย่างรวดเร็ว โดยดึงประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่มีอยู่มาใช้งานได้อีกด้วย
ภาพที่ 9.4 แสดงสื่อกลางในการติดต่อสื่อสาร
2. แนวโน้มความต้องการประหยัดพลังงาน ด้วยปัญหาโลกร้อนและค่าใช้จ่ายของพลังงานที่เพิ่ม สูงขึ้นเรื่อยๆ องค์กรหลายแห่งในปัจจุบันต่างหันมาให้ความสาคัญกับการลดพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พลังงานที่ใช้ในระบบไอที ทั้งนี้เพื่อช่วยองค์กรประหยัดค่าใช้จ่ายและลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ ปล่อยออกสู่บรรยากาศ ประโยชน์ของคลาวด์คอมพิวติ้งในด้านนี้ก็คือ การช่วยองค์กรลดการใช้พลังงาน หรือ แม้กระทั่งการนาพลังประมวลผลส่วนเกินที่เกิดขึ้นในระหว่างการทางานในระบบคอมพิวเตอร์ไปใช้ประโยชน์ ในด้านอื่นๆ ได้อีก จากผลการวิจัยล่าสุดพบว่าเครื่องแม่ข่ายหรือเซิร์ฟเวอร์ส่วนใหญ่ที่ทางานตลอดเวลานั้น ส่วนใหญ่มีการใช้ทรัพยากรในระบบเพียงแค่ 10–20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ด้วยแนวคิดของคลาวด์คอมพิวติ้งนี้เอง จะช่วยควบรวมทรัพยากรในระบบให้ทางานและเกิดความคุ้มค่ารวมทั้งประโยชน์สูงสุดจากการใช้ทรัพยากรใน
-124-
ระบบ นอกจากนั้นแล้ววิธีการดังกล่าวยังเปิดโอกาสให้องค์กรสามารถเพิ่มหรือลดขนาดการใช้งานของระบบได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นการช่วยองค์กรประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่ายได้อีกทางหนึ่ง
ภาพที่ 9.5 แสดงช่วยประหยัดพลังงาน
3. ความต้องการสร้างสรรค์นวัตกรรมขององค์กร ด้วยการแข่งขันอย่างรุนแรงทางธุรกิจในปัจจุบัน องค์กรชั้นนาหลายแห่งต่างให้ความสาคัญกับการสร้างสรรค์นวัตกรรม หรือการนาเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้ได้ผล ลัพธ์สูงสุด ทั้งนี้เพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างความแตกต่างขององค์กรในอีกทาง หนึ่ง แนวโน้มการให้ความสาคัญต่อการพัฒนาสร้างสรรค์นวัตกรรมดังกล่าวนี้เอง ถือเป็นการกระตุ้นการนา คลาวด์คอมพิวติ้งไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจ ทั้งนี้เพราะการสร้างสรรค์นวัตกรรมสามารถทาได้ด้วยการดึง คุณประโยชน์ของคลาวด์คอมพิวติ้งซึ่งให้พลังการประมวลผลที่เหนือกว่าแต่ใช้ค่าใช้จ่ายน้อยกว่ามาใช้ให้เกิด ประโยชน์นั่นเอง
4. ความต้องการใช้งานไอทีที่ง่ายและไม่ซับซ้อน ปัจจุบันแม้ว่าเทคโนโลยีจะมีความสลับซับซ้อน เพียงใดก็ตาม สาหรับผู้ใช้งานทั่วไปแล้วหลายคนก็ยังต้องการการใช้งานที่ง่ายและไม่ยุ่งยาก ด้วยเหตุดังกล่าว ผู้ให้บริการทางด้านไอทีหลายรายในปัจจุบันจึงหันมาใช้เทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้ง เพื่อนาเสนอบริการ ทางด้านซอฟต์แวร์แบบ “จ่ายเท่าที่ใช้” (Software as a Service) เพื่อเป็นทางเลือกแก่ลูกค้าโดยเฉพาะ องค์กรขนาดกลางหรือขนาดย่อม (SMEs) ที่มักมีเจ้าหน้าที่ทางด้านไอทีทางานอยู่อย่างจากัด แทนรูปแบบการ ซื้อซอฟต์แวร์มาใช้โดยตรงแบบในอดีต การใช้งานในลักษณะดังกล่าวนอกจากจะทาให้การนาไอทีไปใช้งานทา
-125-
ไดง้่ายยิ่งขึ้นแล้วองค์กรนั้นๆก็จะได้รับประโยชน์จากการใช้ซอฟต์แวร์ที่ทันสมัยอยู่เสมอโดยไม่ต้องเผชิญกับ ความยุ่งยากและค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการและการอัพเกรดเวอร์ชั่นของซอฟต์แวร์ต่างๆ เช่นในอดีต
5. การจัดระเบียบข้อมูลให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ทุกวันนี้เป็นที่ทราบกันดีว่าข้อมูลต่างๆ มากมายใน เว็บช่วยให้เราทางานง่ายขึ้นกว่าในอดีตมาก อย่างไรก็ตามถึงแม้ปัจจุบันเราจะมีเสิร์ซเอ็นจิ้นที่ช่วยเราหาข้อมูล ที่ต้องการอยู่มากมาย แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าด้วยปริมาณข้อมูลในเว็บที่เพิ่มมากมายมหาศาลในแต่ละวัน โดยเฉพาะข้อมูลและไฟล์ต่างๆ ที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหลายล้านคนส่งขึ้นไปในเว็บในแต่ละวันนั้น หากไม่มีการจัด ระเบียบอย่างเป็นระบบที่ดี การนาคุณประโยชน์ของเว็บมาพัฒนาต่อยอดให้กลายเป็นเครื่องมือที่ช่วย สนับสนุน ประสิทธิภาพในการทางานอย่างเต็มรูปแบบก็อาจทาได้ไม่ดีเท่าที่ควร
คุณประโยชน์อันโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งของคลาวด์คอมพิวติ้งก็คือ ความสามารถในการจัดระเบียบสิ่ง ต่างๆ ให้เป็นระบบดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารจัดการและจัดเก็บข้อมูลมากมายหลากหลายประเภท ให้เป็นระบบ ซึ่งช่วยให้การค้นหาและเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ทาได้เร็วและถูกต้องแม่นยากว่าเดิม
คาถามท้ายบท
1. จงสรุปว่า “เทคโนโลยีสารสนเทศกับการพัฒนาธุรกิจ” คืออะไร จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่าง ประกอบ
2. บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศในธุรกิจ มีอะไรบ้าง จงอธิบาย
3. เทคโนโลยีพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร จงอธิบายพร้อม ยกตัวอย่างประกอบ
4. เทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) คืออะไร จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบ
-126-
บทที่ 10 เทคโนโลยีกับการพัฒนาที่ยั่งยืน
การพัฒนาที่ตอบสนองความต้องการของตนเองหรือตอบสนองความต้องการของสังคมหรือประเทศชาติ
ด้านใดๆก็ตาม เทคโนโลยีย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับความก้าวหน้าด้านนั้นๆเสมอหรืออาจกล่าวได้ว่าความ
เจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในด้านใดๆ ย่อมทาไห้ความก้าวหน้าด้านนั้นๆเกิดขึ้นควบคู่ไปด้วย เช่น
ความก้าวหน้าเทคโนโลยีการเกษตรก็ทาไห้กิจกรรมด้านการเกษตรก้าวหน้าไปด้วยหรือความก้าวหน้าทาง
เทคโนโลยีทางการศึกษาและทางด้านอุตสาหกรรม ก็ทาไห้กิจกรรมทางด้านการศึกษาและทางด้าน
อุตสาหกรรมก้าวหน้าไปด้วยเหล่านี้เป็นต้น แต่ถงึ กระนั้นก็ตามความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีถึงแม้นจะทาไห้มี
การพัฒนาด้านต่างๆมากมาย ก็ย่อมส่งผลกระทบในด้านท่ีไม่พึงปรารถนาด้วยเช่นกันดังนั้น การพัฒนาจึงต้อง
คานึงถึงความเป็นองค์รวมในทุกด้านอย่างสมดุลเหมาะสมบนพนื้ ฐานของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ภูมิปัญญา
และวัฒนธรรม ด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน ทุกกลุ่มด้วยความเอื้ออาทร เคารพซึ่งกันและกัน สามารถที่
จะพึ่งตนเองได้และนาไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในที่สุด
ความหมาย การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development)
ที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยส่ิงแวดล้อมและการพัฒนา ได้นิยามความหมายของการพัฒนาอย่าง ย่ังยืนไว้ว่าหมายถึง การพัฒนาที่สนองความต้องการของคนในปัจจุบัน โดยไม่ทาให้อนุชนรุ่นหลังสูญเสียโอกาส ในการพัฒนาเพื่อสนองความต้องการของเขาเองด้วย หรือกล่าวอีกอย่างได้ว่า การพัฒนาที่ต้องคานึงถึง ผลกระทบด้านต่างๆ 3 ด้านหลักคือ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านส่ิงแวดล้อมทั้ง 3 ด้านมีความเช่ือมโยง สัมพันธ์กัน ตามภาพท่ี 10.1 (ปรับปรุงจากคณาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร.2550)
-127-
เป็นธรรม
สังคม
สังคม
สิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดลอ้ ม
พ่ึงพา
เติบโต
ย่ังยืน
ภาพท่ี 10.1 แสดงความสัมพันธ์เก่ียวเน่ืองการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม
องค์ประกอบของการพัฒนาอย่างยั่งยืน
หากวิเคราะห์องค์ประกอบของการพัฒนาอย่างยั่งยืนจากภาพความสัมพันธ์จะเห็นได้ว่าองค์ประกอบ
ของการพัฒนาอย่างยั่งยืนประกอบด้วย 3 ด้านหลักๆดังนี้
1. ความยั่งยืนด้านส่ิงแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ เป็นสิ่งท่ีมนุษย์ทุกคนนามาใช้ให้เกิดประโยชน์ แก่ตนเองและสังคมเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดาเนินชีวิต ได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ปัจจุบันมนุษย์ ยังต้องการสิ่งอานวยความสะดวกอีกมากมาย อันเป็นสาเหตุให้มนุษย์ นาทรัพยากรธรรมชาติ มาใช้ อย่างมากมายเช่นกัน ดังนั้นการใช้และการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติ อย่างถูกวิธีมีความจาเป็นอย่างยิ่ง ในการที่มนุษย์จะต้องช่วยกัน ทาไห้ทรัพยากรธรรมชาติ เป็นสิ่งที่เอื้ออานวยประโยชน์ให้แก่มนุษย์ ให้มากที่สุด ยาวนานที่สุดและในขณะเดียวกันต้องมีความสมดุลกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดนั่นคือต้องมีการเติบโตแบบพึ่งพา ซึ่งกันและกนั
เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจ
-128-
2. ความยั่งยืนด้านเศรษฐกิจที่มั่นคง
3. ความยั่งยืนด้านสังคมและคุณภาพชีวิตที่ดี การใช้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เพื่อทาให้ คุณภาพ ชีวิตของบุคคลสังคมและประเทศชาติดีขึ้นพัฒนายิ่งขึ้นจะต้องสร้างและเสริมในประเด็นต่างๆ ดังนี้
3.1 การส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิต ของบุคคลโดยรวม ให้ก้าวหน้า ก้าวไกล และก้าวทันโลก ยิ่งๆขึ้นต่อไปแม้จะอยู่ในโลกไร้พรมแดนก็มีคุณภาพที่ดีขึ้น
3.2 การสร้างสรรค์ และพัฒนาประเทศในทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และองค์ความรู้ ใหม่ๆที่จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้พึ่งตนเองได้และแก้ปัญหาประเทศได้
3.3 การสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ผลิต โดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาช่วยในการดัดแปลง การ สร้าง การออกแบบ และพัฒนาสินค้าและบริการแบบใหม่ๆ ขึ้นมาได้ เพื่อสร้างรายได้และยกระดับ ความ เป็นอยู่ของคนในประเทศให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
3.4 การศึกษา ตลอดชีวิตมีบทบาทสาคัญมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็วทาง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทาให้การศึกษา ทวีความสาคัญมากยิ่งขึ้น โดยจะเปลี่ยนจากการศึกษาที่เกิดขึ้น เฉพาะวัยเด็กและวัยหนุ่มสาว ช่วงก่อนการทางาน เป็นการศึกษาตลอดชีวิต ที่มีความจาเป็น เพื่อให้สามารถ ปรับตัว เข้ากับสังคมที่เปลี่ยนแปลง ของเทคโนโลยี ทาให้เกิด การเรียนรู้ ได้ด้วยตนเอง เช่น อินเตอร์เน็ต ดาวเทียม
3.5 ด้านอุตสาหกรรมการบริการ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมใหม่ ที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและเทคโนโลยี อื่นๆ เข้าไปเชื่อมโยงกับ การบริการมากขึ้น และมีบทบาทสูงยิ่งขึ้น ในการสนอง ความต้องการ ของสังคม เช่น ธนาคาร สื่อสารมวลชน การรักษาพยาบาล การท่องเที่ยวและโรงแรม ด้านการศึกษา ช่วยให้สื่อการเรียนการ สอนมีรูปแบบและพลังดึงดูดมากขึ้น
3.6 ด้านการช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และพัฒนาให้ ดีขึ้นเช่น การลด มลภาวะด้วยการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีสะอาด การใช้พลังงานแสงอาทิตย์พลังงานลมและการใช้ พลังงานทดแทน เป็นต้น
3.7 ดา้ นการสาธารณสุข วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีมีบทบาทสาคัญ ที่จะช่วยสนองความ ต้องการ ของบุคคลและชุมชน ทั้งด้านการป้องกัน การส่งเสริมสุขภาพอนามัยและวิทยาการ ส่งเสริมให้ประชาชนอยู่ดี กินดี มีมาตรฐานการครองชีพที่ดี มีที่อยู่อาศัยถูกสุขลักษณะ ปราศจากมลพิษและขยะ มีการวางแผนการ จัดการในการใช้ที่ดินโดยมีการวางผังเมือง แยกพื้นที่ที่อยู่อาศัยออกจากพื้นที่อุตสาหกรรม เป็นต้น
ต้องมีการสร้างอาชีพโดยปรับโครงสร้างการผลิตให้เหมาะสมกับ
ศักยภาพและข้อจากัดของประเทศ การไห้ความสาคัญกับภาคเกษตรและบริการมากขึ้น โดยเฉพาะในสาขาที่
เราโดดเด่นมากๆ เช่น การท่องเที่ยว บริการทางการแพทย์ สมุนไพร ฯลฯ ขณะเดียวกัน เราต้องพยายามสร้าง
“Value Creation” เพื่อผลักดันให้ SMEs เติบโตอย่างมีคุณภาพได้มาตรฐานและโดนใจผู้บริโภคทุก
กลุ่มเป้าหมายมากขึ้น (บทความเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดย ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี ปี 2012 ตอนที่ 1/2555)
-129-
ทั้ง 3 ด้านจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการสร้าง องค์ความรู้เทคโนโลยีกับการพัฒนาที่เหมาะสมเข้ามา
หนุนเสริมอยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกัน สังคมต้องมีกระบวนการเรียนรู้ให้คนเข้าถึงองค์ความรู้และนวัตกรรม
ต่างๆ เหล่านั้นได้สะดวก รวดเร็ว เพื่อให้ประชาชนนาความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ในการประกอบอาชีพ ดาเนินธุรกิจ
และดารงชีวิตอย่างสมดุลตลอดไป
เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการพัฒนาที่ยั่งยืน
คาว่าเทคโนโลยีที่เหมาะสม หมายถึง เหมาะสมต่อสภาพเศรษฐกิจ สังคมและความต้องการของ ประเทศ เทคโนโลยีบางเรื่องเหมาะสมกับบางประเทศ ท้ังนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะของแต่ละประเทศองค์การอนามัย โลก กล่าวถึงคุณสมบัติของคาว่าเทคโนโลยีที่เหมาะสม ดังน้ี
1. เหมาะสม ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ 2. ปรับปรุงให้เข้ากับสภาวะท้องถิ่นได้
3. เป็นที่ยอมรับของประชาชนในท้องถ่ิน 4. สามารถนาไปสู่การพ่ึงพาตนเองได้
จากคุณสมบัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่ามีความสอดคล้องกับ หลักเศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาช้ีถึงแนว การดารงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ครอบครัว ระดับชุมชนจนถึงระดับรัฐ ทั้งในการ พัฒนาและการบริหารประเทศให้ดาเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวหน้าทัน ต่อยุคโลกาภิวัต ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจาเป็นท่ีจะต้องมี ระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี พอสมควรต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปล่ียนแปลงท้ังภายนอกและ ภายใน ทั้งนี้จะต้องอาศัย ความรอบรู้ ความรอบคอบ ความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนาวิชาการต่างๆ มาใช้ใน การวางแผนและการดาเนินการทุกขั้นตอน ขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพ้ืนฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎีและนักธุรกิจในทุกระดับให้มีสานึกในคุณธรรมความซื้อสัตย์สุจริตและให้ ความรอบรู้ท่ีเหมาะสม ดาเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติปัญญาและความรอบคอบ เพื่อให้สมดุล และพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และ วัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี
เทคโนโลยีที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสาคัญชนิดหนึ่งที่ก่อให้เกิดเศรษฐกิจพอเพียง ควรเลือกใช้เทคโนโลยีท่ี เหมาะสม เพ่ือสร้างเสริมความรู้ในการทามาหากิน โดยนาภูมิปัญญาที่ได้รับสืบทอดกันมาในท้องถ่ินนามา ประยุกต์ใช้ เพราะเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต เพื่อดารงชีวิตและการจัดการล้วนแต่เร่ิมจากความเข้าใจพื้นฐานที่ เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่นามาปรับใช้ตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและการประกอบอาชีพของ ชุมชนและสังคมแต่ละภูมิภาค
-130-
รูปแบบการใช้เทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาความก้าวหน้าในประทศ มีความก้าวหน้าที่นับว่าเป็น ความสาเร็จ 3 ประการคือ
1. การสร้างบรรยากาศทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
2. การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา
3. การเตรียมบุคลากรด้านวืทยาสาตร์และเทคโนโลยี
ปัญหาของการพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ ปัญหาสาคัญที่ทาให้การพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ไม่ถึง จุดที่ใช้งานได้ 5 ประการตามความสาคัญคือ
1. การขาดแคลนบุคลากรที่มีศักยภาพ
2. การขาดการวางแผนและนโยบาย
3. การขาดเครื่องมือและเงินทุน
4. การขาดองค์กรและระบบวิจัยและพัฒนาที่สมบรูณ์
5. การขาดองค์ความรู้อันเป็นฐานของการพัฒนาเทคโนโลยี
เป้าหมายในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในอนาคต มีดังน้ี
1. กาหนดให้มีมาตรการเพิ่มนักวิจัยของประเทศเป็น 3.5 คนต่อประชาชน 10,000 คน ในปีสุดท้าย ของแผนพัฒนาเศรษฐกิจ
2. เสริมสร้างความเชื่อมโยงระบบวิจัยและพัฒนาตามความสาคัญ
3. ดาเนินการให้มีการพัฒนาวิชาชีพนักวิจัยให้สามารถยึดเป็นอาชีพที่มีความก้าวหน้า 4. เพิ่มประสิทธิภาพการปรับปรุงการบริการของภาครัฐ
5. กาหนดให้มีมาตรการภาษี การเงิน และการสนับสนุนเทคนิคอย่างจริงจัง
6. กระตุ้นให้มีความร่วมมือในการการวิจัยและพัฒนาในลักษณะกลุ่ม
7. กาหนดเป้าหมายค่าใช้จ่ายเพื่อการวิจัยและพัฒนาเพื่อการวิจัยและพัฒนา
8. กาหนดเป้าหมายการวิจัยและพัฒนาฯ ใน 5 สาขาหลัก
9. กาหนดให้มีหรือปรับปรุงองค์กรและกลไกที่ทาหน้าที่วิเคราะห์
-131-
นโยบายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศในอนาคต มีด้งนี้
1. การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต้องอยู่ในภาคการผลิต
2. การใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมและพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น 3. การใช้วิทยาศาสตร์เพื่ออยู่ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงของโลก
4. การอาศัยการมีส่วนร่วมของสังคมและชุมชน ภาครัฐ เอกชนและประชาชน 5. บุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะต้องได้รับการพัฒนาอย่างจริงจัง
แนวทางการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สาคัญ คือ ประยุกต์ใช้ พัฒนาต่อยอดเทคโนโลยี และ สนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตสินค้าและบริการ โดยร่วมมือกับภาคเอกชน และเกษตรกรผู้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการกาหนดแนวทางดาเนินการเฉพาะสาขาที่ประเทศไทยมี ศักยภาพและเร่งพัฒนาสังคมไทยให้มีพื้นฐานความรู้ ความคิดทางวิทยาศาสตร์ พัฒนาบุคลากรด้าน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในสาขาที่เป็นความต้องการทั้งด้านปริมาณและคุณภาพอย่างพอเพียง รวมทั้ง ยกระดับการใช้และพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อทาให้เกิดความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี อันจะเป็นการสร้างบรรยากาศการลงทุนในกิจการที่ใช้เทคโนโลยีสูงในระยะต่อไป ในการนี้จาเป็นต้องปรับปรุง การบริหารงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เป็นไปในเชิงรุก ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่แล้ว เพื่อลด สัดส่วนการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และสร้างกลไกการกระจายความรู้และบริการด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีสู่คนในชนบท เพื่อลดช่องว่างทางสังคมและเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้แก่ประชาชนส่วนใหญ่ ของประเทศ
แนวทางในการปฏิบัติที่จะไปสู่การพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน มีดังนี้
1. การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ควรดาเนินการดังนี้
1.1 การอนุรักษ์สสารและวงจรการหมุนเวียน ซึ่งเป็นความสามารถในการฟื้นตัวของธรรมชาติ 1.2 จากัดการปล่อยของเสีย เพื่อรักษาความสามารถของธรรมชาติในการจัดการกับของเสีย
1.3 รักษาความหลากหลายของระบบนิเวศแบบต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์กันบนพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเพื่อ
ควบคุมความสามารถในการสร้างผลผลิตของธรรมชาติไว้
2. การใช้ทรัพยากรอย่างมีอย่างประสิทธิภาพ ควรดาเนินการดังนี้
2.1 ทาให้เกิดความยุติธรรม โดยอาศัยหลักการว่า “ใครทาคนนั้นต้องจ่าย” 2.2 ให้การชดเชยกับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากผู้ที่ก่อนให้เกิดปัญหา
-132-
2.3 มีมาตรการชดเชยแก่การผลิตที่สร้างผลดีต่อสิ่งแวดล้อมที่อาจมีกาไรน้อยในระบบธุรกิจ 2.4 กระจายสิทธิและรับรองสิทธิในการใช้ทรัพยากรให้แก่กลุ่มคนในสังคมอย่างเสมอภาค 2.5 ให้ความคุ้มครองทรัพยากรไปพร้อมๆ กับการรักษาสิ่งแวดล้อม
2.6 ต้องควบคุมอย่าให้สังคมต้องจ่ายค่าชดเชยเพื่อปกปิดปัญหานิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อม 2.7 ดาเนินการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในทางเทคนิค
2.8 ส่งเสริมและกระตุ้นการหมุนเวียนผลผลิตที่เลิกใช้แล้วและหาวิธีการยืดอายุผลิตภัณฑ์
3. การหลีกเลี่ยงความล้มเหลวของกลไกรัฐที่เกี่ยวข้อง โดยการปฏิบัติสิ่งต่อไปนี้
3.1 ใช้กลไกการตลาดตามระบบปกติ
3.2 ส่งเสริมเจตคติที่ดีของสังคมต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ
3.3 ยึดหลักความยุติธรรมในสังคม ถ้าใครต้องการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ จะต้องยอมจ่ายเงินตาม
มูลค่าที่เป็นจริงของทรัพยากรนั้นๆ ไม่ใช่ระบบผูกขาด
3.4 ถ้านโยบายของรัฐใดๆ ที่จะมีผลกระทบต่อกลุ่มชนต่างๆ ในสังคม รัฐจาเป็นต้องตัดสินใจเลือก
นโยบายเกื้อหนุนกลุ่มคนที่ด้อยโอกาสในสังคมนั้นๆ เพราะกลุ่มคนที่ด้อยโอกาสและยากจนก็ไม่ได้ให้ ความสาคัญต่อสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว
3.5 รักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจและการเมือง 4. การรักษาทางเลือกสาหรับอนาคต โดยวิธีการดังนี้
4.1 หลีกเลี่ยงการทาลายสิ่งแวดล้อม
4.2 เมื่อมีความไม่แน่ใจเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมหรือเทคนิคที่อาจจะมีผลกระทบ ให้เลือกการ ตัดสินใจในทางที่รอบคอบ โดยยึดหลักการปลอดภัยไว้ก่อนว่า ถ้ามีความไม่แน่ใจก็ให้ระงับโครงการนั้นๆ ไว้ จนกว่าจะได้ข้อมูลที่เพียงพอ
4.3 เพิ่มความหลากหลายทางนิเวศวิทยา เศรษฐกิจ และสังคม เนื่องจากความหลากหลาย ดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ในการปรับตัวให้ตอบสนองได้อย่างรวดเร็วต่อการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่อาจจะมี 4.4 รักษามาตรการทางการเงินให้สะท้องความเป็นจริงของสภาพเศรษฐกิจขณะนั้น และให้มี
เสถียรภาพ
5. หยุดการเจริญเติบโตขอประชากร โดยมาตรการต่างๆ เช่น การให้การศึกษาหรือการขยายระบบ
การศึกษาภาคบังคับ เป็นต้น
6. การกระจายความมั่นคงให้แก่กลุ่มคนที่ยากจน
7. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งที่แปรรูปแล้วและยังไม่แปรรูป แนวทางปฏิบัติมีดังนี้
7.1 ลดการใช้พลังงาน เพื่อสงวนรักษาทรัพยากรธรรมชาติรวมทั้งการใช้พลังงานอย่างมี ประสิทธิภาพและการแสวงหาแหล่งพลังงานทดแทน
-133-
7.2 สงวนรักษาแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ โดยการสร้างความรู้ความเช้าใจที่ถูกต้องให้แก่คนใน ชุมชน เพื่อให้เห็นคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและเกิดจิตสานึกที่จะมีส่วนร่วมในการรักษา แหล่งทรัพยากรธรรมชาติ
7.3 ใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด เพื่อให้ได้ทั้งผลผลิตทางอุตสาหกรรมและรักษาคุณภาพ สิ่งแวดล้อม
7.4 เปลี่ยนพฤติกรรมในการอุปโภคบริโภคเพื่อลดปริมาณขยะและของเสียโดยการลดการ
ใช้ (reduce) การใช้แล้วใช้อีก (reuse) การแปรใช้ใหม่ (recucle) และการซ่อมแซม (repair) http://student.nu.ac.th/science/webgroup_tong/nawtang.html
ผลกระทบของเทคโนโลยี
เทคโนโลยีด้านต่างๆเพิ่มขึ้นอย่างมากมายขณะเดียวกันก็มีราคาถูกลง มีการขยายตัวของเทคโนโลยี เป็นไปอย่างรวดเร็ว ขีดความ สามรถในการประยุกต์ใช้งานเป็นไปอย่างกว้างขวาง จนกล่าวได้ว่า เทคโนโลยี เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับมนุษย์ทุกคนไม่ทางตรงก็ทางอ้อมและวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ตลอดเวลา ยกตัวอย่าง ประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด โดยใน อดีตมีผลผลิตด้าน การเกษตร เป็นสินค้าหลักเรียกว่าเป็นประเทศเกษตรกรรมและต่อมาเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตเป็น ภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเรียกว่าประเทศด้านอุตสาหกรรมและในปัจจุบัน โครงสร้างการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศเพิ่มมากขึ้น ทาให้สัดส่วนการผลิตสินค้า เกษตรลดลงเหลือไม่ถึง 5% ของสินค้าทั้งหมด ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมก็มีมูลค่าน้อยกว่าอุตสาหกรรมบริการ ซึ่งปัจจุบันมูลค่า ของสินค้าทางด้านเทคโนโลยี สารสนเทศได้มีสัดส่วนมาก จนแทบกล่าวได้ว่าบทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศจะเข้า มามีส่วนในทุกบ้าน
เพราะเครื่องใช้อานวยความสะดวกต่างๆ ล้วน แล้วแต่มีส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ และระบบสื่อสารอยู่ ด้วยเสมอ แต่ในขณะเดียวกันสิ่งที่อานวยความสะดวกเหล่านี้ ทาให้สังคมโลกเป็นสังคมที่ชอบความสะดวก สบายซึ่งเป็นสิ่งที่ทาให้เกิดผลกระทบต่อพฤติกรรมของสังคมและบุคคล ผลกระทบเหล่านี้ แบ่งเป็นข้อๆ ดังนี้
ผลกระทบที่เกิดจากเทคโนโลยีสารสนเทศ
1. เทคโนโลยีสารสนเทศมีผลต่อความคิด และพฤติกรรมของมนุษย์
1.1 การใช้โทรศัพท์มือถือ มีเครื่องมือที่ใช้ในการช่วยจาหมายเลขโทรศัพท์ ทาให้ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ
มีความรู้สึกว่าไม่มีความจาเป็นจะต้องทาการจดจาหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ที่ต้องการติดต่อด้วยอีกต่อไป
1.2 พฤติกรรมในการซื้อสินค้า จากเดิมอาจจะต้องไปซื้อสินค้าด้วยตนเองที่ร้านค้า ก็เปลี่ยนเป็นสั่ง
ซื่อผ่านทางอินเทอร์เน็ต
-134-
1.3 เทคโนโลยีสารสนเทศและสังคมมีผลกระทบซึ่งกันและกัน
1.4 สังคมมีผลต่อเทคโนโลยีสารสนเทศ มีแรงผลักดันจากสังคมให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น เนื่องจากสถานภาพทางเศรษฐกิจ ทาให้มีการออกแบบให้คอมพิวเตอร์สามารถทางานหลายๆ งานได้ใน ขณะเดียวกัน เพื่อทาให้ประหยัดทรัพยากร
2. เทคโนโลยีสารสนเทศส่งผลกระทบต่อสังคม เช่น
2.1 เทคโนโลยีสารสนเทศทาให้เกิดรูปแบบสังคมแบบใหม่ที่มีการพบปะพูดคุยในเรื่องที่มีความสนใจ
ร่วมกันผ่านระบบอินเทอร์เน็ต
2.2 การติดต่อสื่อสารผ่านระบบอินเทอร์เน็ต อาจจะทาให้เกิดการล่อลวงกัน จนเกิดเป็นคดีต่างๆ
3. เทคโนโลยีสารสนเทศมีผลต่อการดาเนินชีวิต
เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยอานวยความสะดวกในการดาเนินชีวิตประจาวัน เช่น คอมพิวเตอร์ถูกฝังอยู่ใน อุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน อาทิ โทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ไมโครเวฟ สภาพชีวิตความเป็นอยู่จึงเปลี่ยนไป เป็นต้น
ปัญหาสังคมที่เกิดจากเทคโนโลยีสนเทศ
1. มุมมองว่าเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือที่มีไว้เพื่อให้มนุษย์บรรลุวัตถุประสงค์
เมื่อมองว่าเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือบางอย่างก็มีประโยชน์มาก บางอย่างก็มีประโยชน์ น้อยและบางอย่างก็ไม่มีประโยชน์ การเลือกใช้เครื่องมือจะส่งผลต่อวิธีการทางานของมนุษย์ เช่น พฤติกรรมใน การเขียนของผู้ใช้โปรแกรมประมวลคาจะแตกต่างไปจากผู้ใช้กระดาษและปากกา เป็นต้น ภายใต้มุมมองใน ลักษณะนี้ เราจะต้องวิเคราะห์และทาความเข้าใจถึงผลกระทบทางสังคมทีจะเกิดขึ้น จากการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศเป็นเครื่องมือในชีวิตประจาวัน ยกตัวอย่าง เช่น เราอาจต้องการหาคาตอบว่า การทมี่ นุษย์ใช้ โทรศัพท์มือถือ ได้ทาให้ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือไม่มีความ จาเป็นจะต้องทาการจดจาหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ทีต้องการติดต่อด้วยอีกต่อไป หรือเราอาจต้องการหา คาตอบว่า อินเทอร์เน็ตมีผลอย่างไรต่อการศึกษา หรือคาตอบจากคาถามที่ว่า โทรทัศน์วงจรปิดกระทบกับสิทธิ ส่วนบุคคลหรือไม่ในมุมมองทีว่าเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือทีมีไว้เพื่อให้มนุษย์บรรลุวัตถุประสงค์นี้ ได้ถูกวิพากษ์ ว่าเทคโนโลยีจะเป็นตัวกาหนดการคิดและการกระทาของมนุษย์ เช่น การใช้แป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์จะส่งผลต่อ ความสามารถในการเขียนตัวหนังสือของมนุษย์ เป็นต้น
-135-
2. มุมมองว่าเทคโนโลยีสารสนเทศและสังคมต่างก็มีผลกระทบซึงกันและกัน
มีความเห็นว่าสังคมส่งผลกระทบต่อเทคโนโลยี ทั้งนี้โดยอาศัยแรงขับเคลื่อนทางวัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐกิจเป็นเหตุปัจจัยในการออกแบบเทคโนโลยี ยกตัวอย่างเช่น การออกแบบให้คอมพิวเตอร์สามารถ ทางานหลายๆ งานในขณะเดียวกันได้ เป็นต้น ซึ่งเป็นผลมาจากประเด็นทางเศรษฐกิจเพื่อให้ประหยัด ทรัพยากรของหน่วยประมวลผลกลาง หรืออีกตัวอย่างหนึ่งได้แก่บทที่ กระแสความต้องการการสื่อสารที่ รวดเร็วทั่วถึงได้ผลักดันให้เกิดอินเทอร์เน็ต ปัญหาสังคมจากเทคโนโลยีสารสนเทศ จริยธรรม และกฎหมาย 7 จากในขณะเดียวกันเทคโนโลยีสารสนเทศก็ได้ส่งผลกระทบต่อสังคมเช่นกัน การพัฒนาอย่างรวดเร็วของ เทคโนโลยี เช่น ระบบอินเทอร์เน็ต ทาให้รูปแบบการติดต่อสื่อสารของสังคมเปลี่ยนแปลงไป ผู้คนจานวนมาก จะติดต่อกันด้วยอีเมล์แทนการเขียนจดหมาย มีการติดต่อขายผ่านระบบอินเทอร์เน็ตมากขึ้น มีการใช้ล่อลวง กันโดยใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อมากขึ้น ภายใต้มุมมองในลักษณะนี้ทังเทคโนโลยีสารสนเทศและสังคมต่างก็มี อิทธิพลซึงกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิงการพัฒนาเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีก็เป็นผลมาจากกระบวนการที่ ซับซ้อนและลึกซึงทางสังคมเช่นกัน
3. มุมมองว่าเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นกลไกในการดารงชีวิตของมนุษย์
ภายใตม้ ุมมองในลักษณะนี้จะมองว่าเทคโนโลยีสารสนเทศจะเป็นกลไกสาคัญในการกาหนดชีวิต ความเป็นอยู่ของมนุษย์ ยกตัวอย่างเช่น การติดต่อสื่อสารของมนุษย์ จะถูกกาหนดว่าเป็นสิ่งที่ต้องพึงพา เทคโนโลยีซึ่งในโลกมีเทคโนโลยีการสื่อสารอยู่หลายรูปแบบ แต่เทคโนโลยีทีมีความเสถียรจะเป็นทางเลือกและ มนุษย์จะใช้เป็นกลไกในการดารงชีวิตดังเช่นคนทมี่ีและใช้โทรศัพท์มือถือจะแตกต่างไปจากคนทีไม่มี โทรศัพท์มือถือติดตัว การทีมีโทรศัพท์มือถือแสดงให้เห็นว่าเป็นคนทีสามารถติดต่อได้สะดวกและเข้าถึงได้ง่าย กว่าคนที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือติดตัว จะเห็นได้ว่ากลไกการดารงชีวิตของคนทีใช้โทรศัพท์มือถือและไม่ใช้ โทรศัพท์มือถือนั้นแตกต่างกัน เช่นเดียวกัน กลไกในการดารงชีวิตของสังคมทีใช้อินเทอร์เน็ตพิจารณาปัญหา สังคมจากมุมมองต่างๆ ทั้งสามทกี่ ล่าวมาแล้วข้างต้น เราสามารถนามาพิจารณาปัญหาสังคมที่อาจจะเกิด ขึ้นกับเทคโนโลยีสารสนเทศได้ ตลอดจนใช้สังเคราะห์สร้างความเข้าใจต่อปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว ในสังคมทงั้นี้ก็เพื่อประโยชน์ในการหาทางป้องกันแก้ไขหรือบรรเทาปัญหาสังคมทีเกิดจากการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศต่อไป อย่างไรก็ตามการที่ตัดสินว่า กรณีใดเป็นสาเหตุของปัญหาสังคมนั้นไม่ใช้เรืองง่ายเช่นเดียวกัน กับวิธีการแก้ปัญหาเหล่านั้น ในแต่ละกรณีนั้นจะมีความซับซ้อนทแี่ ตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่น การแก้ปัญหา เด็กติดเกมส์ซึงเป็นปัญหาสาคัญอีกปัญหาหนึ่งในปัจจุบันวิธีการแก้ปัญหาอาจจะมีหลากหลายแต่วิธีการทยี่ัง ยืนกว่าก็คือการสร้างความเข้มแข็งให้กับสมาชิกของสังคมที่จะไม่ลุ่มหลงกับเรื่องหนึ่งเรืองใดมากเกินไป นอกจากนั้นปัญหาของสังคมเหล่านี้ยังมีความสัมพันธ์กับเรืองของจริยธรรม วัฒนธรรมและการบังคับใช้ กฎหมายหรือมาตรฐานปฏิบัติแห่งสังคมนั้นๆ อีกด้วยก็จะแตกต่างจากสังคมอื่นทีไม่ใช้อินเทอร์เน็ต เป็นต้น
-136-
ปัญหาสังคมทเี่กิดจากเทคโนโลยีสนเทศ
1. ปัญหาเด็กติดเกมส์
2. ปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์
3. ปัญหาสังคมเสื่อมโทรมจากการใช้เทคโนโลยีในทางทีผิด
4. ปัญหาอาชญากรรมต่อชีวิตทีเกิดจากเทคโนโลยีสารสนเทศ
5. ปัญหาการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
6. การนาภาพบุคคลมาตกแต่งดัดแปลงเพื่อให้เกิดการเข้าใจผิด ฯลฯ
แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาสังคมที่เกิดจากเทคโนโลยีสารสนเทศ
1. ใช้แนวทางสร้างจริยธรรม (Ethics) ระมัดระวังไม่สร้างความเดือดร้อนเสียหายต่อผู้อื่นทากิจกรรมที่ เสริมสร้างคุณงามความดี และเป็นประโยชน์อยู่เสมอ ศึกษาหาความรู้ว่ากิจกรรมประเภทใดเป็นสิงดีมี ประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์และกิจกรรมประเภทใดสามารถสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นได้
2. สร้างความเข้มแข็งให้กับตนเอง พึงราลึกอยู่เสมอว่า ในสังคมของเราทุกวันนี้ยังมีคนไม่ดีปะปนอยู่ มากพอสมควรหากผู้ใช้เทคโนโลยีในทางทีไม่ดีเทคโนโลยกี็ส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรมทีไม่ดีไม่เป็นทีพึง ปรารถนาให้รุนแรงขึ้นได้ ไม่ลุ่มหลงต่อกิจกรรมหนึ่งกิจกรรมใดจนมากเกินไป
3. ใช้แนวทางการควบคุมสังคมโดยใช้วัฒนธรรมทีดี วัฒนธรรมทีดีสามารถควบคุมและแก้ปัญหาสังคม ได้ เช่น การให้เกียรติซึงกันและกัน ยกย่องในผลงานของผู้อื่น ผู้ใช้ข้อมูลสารสนเทศของผู้อื่นพึงให้เกียรติ แหล่งข้อมูล ด้วยการอ้างอิงถึง (citation) เมื่อนาผลงานของผู้อื่นมาใช้ประโยชน์
4. การสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมชุมชน พึงตระหนักถึงภัยอันตรายทีมาพร้อมกับเทคโนโลยี สารสนเทศและหาทางปูองกันภัยอันตรายเหล่านั้น เช่นการติดตังระบบเพื่อกลั่นกรองข้อมูลทีไม่เหมาะสมกับ เด็กและเยาวชน การให้ความรู้เรื่อง ภัยอันตรายจากอินเทอร์เน็ตต่อสังคม การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารภัย อันตรายทมี่ ากับเทคโนโลยีสารสนเทศ การค้นคว้าวิจัยเพื่อหาความรู้ทีเกี่ยวข้องเพิ่มเติม
5. ใช้แนวทางการเข้าสู่มาตรฐานการบริหารจัดการการให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศมาตรฐานที่ เกี่ยวข้องกับการให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศ ช่วยลดภัยอันตรายจากเทคโนโลยีสารสนเทศได้ เช่น มาตรฐานการรักษาความมันคงปลอดภัยในการประกอบธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ISO/IEC 17799) มีการ กาหนดเรื่องความมันคงปลอดภัยทีเกี่ยวข้องกับ บุคลากร ความมันคงปลอดภัยทางด้านกายภาพ สิงแวดล้อม ขององค์กร การควบคุมการเข้าถึง การปฏิบัติตามข้อกาหนดทางด้านกฎหมาย ฯลฯ
6. ใช้แนวทางการบังคับใช้ด้วยกฎ ระเบียบและกฎหมาย เช่น การปฏิบัติตามข้อกาหนดทางลิขสิทธิ์ (Copyright) ในการใช้งานทรัพย์สินทางปัญญา–การป้องกันข้อมูลส่วนตัวของพนักงาน เป็นต้น
-137-
เทคโนโลยีกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต
พลังผลักดันที่สาคัญทางสังคม เศรษฐกิจจานวนมากสนับสนุนแนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตกระแสโลกา ภิวัตและการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของการทางานและตลาดแรงงานและ โครงสร้างอายปุ ระชากร เป็นแรงผลักดันที่สาคัญต่อความจาเป็นที่จะต้องมีการยกระดับทักษะการทางานและ การใช้ชีวิตอย่างต่อเนื่อง ความต้องการก็เพื่อ Threshold ที่ยกระดับของทักษะเช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลง มากขึ้นในธรรมชาติของทักษะ แรงกระตุ้นของกิจการเพื่อให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นส่งผลต่อสภาพการทางาน มีแนวโน้มที่จะมีการจ้างงานระยะสั้นในตลาดสินค้าที่เปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของตลาดได้ง่าย และ วัฎจักรสินค้าที่สั้นลงงานอาชีพลดลงและบุคคลประสบกับความเปลี่ยนแปลงในเรื่องงานดีขึ้นในช่วงชีวิตทางาน การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอย่างกว้างขวางกาลังคุกคามขั้วใหม่ระหว่างสิ่งที่ความํรมูีและสิ่งที่ความรู้ไม่มี ในทางกลับกันสิ่งนี้อาจคุกคามรากฐานของประชาธิปไตยด้วยโอกาสในการฝึกอบรมในภายหลังนั้น ขึ้นอยู่กับ คุณสมบัติของแต่ละบุคคลที่เข้ามาสู่การจ้างงานและโอกาสการเรียนรู้เปิดกว้างแก่ ผู้ว่างงาน ลูกจ้างในสถาน ประกอบการขนาดเล็ก และกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในสังคมกลับยิ่งน้อยกว่าลูกจ้างในสถานประกอบการขนาดใหญ่ มาก ความไม่เท่าเทียมกันนี้ (Disparities) สะท้อนช่องว่างรายได้ระหว่างผู้มีวุฒิการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และผู้ที่ไม่มีวุฒิดังกล่าว และช่องว่างนั้นยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ
การลงทุนในการศึกษาและการฝึกอบรมที่จะสนองต่อยุทธศาสตร์การเรียนรู้ตลอดชีวิตก็เพื่อบรรลุ วัตถุประสงค์ทางสังคมและเศรษฐกิจโดยก่อให้เกิดประโยชน์ส่วนบุคคลผู้ประกอบการ และเศรษฐกิจและสังคม ในระยะยาว สาหรับบุคคลแล้วการเรียนรู้ตลอดชีวิตมุ่งเน้นที่การสร้างสรรค์ การริเริ่มและความรับผิดชอบ ซง่ึ ส่งผลให้เกิดการตอบสนองต่อตนเอง งานที่ดีขึ้นรายได้ที่เพิ่มขึ้น นวัตกรรมใหม่ๆ และเพิ่มความสามารถในการ ผลิตมากขึ้นด้วย ทักษะและศักยภาพของแรงงานเป็นปัจจัยหลักในผลงานและความสาเร็จของสถานประกอบ การสาหรับเศรษฐกิจ แล้วมีความสัมพันธ์ที่สนับสนุนกันระหว่างการได้รับการศึกษาและการเติบโตทาง เศรษฐกิจอะไรคือผลเชิงนโยบายของแนวคิดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าสู่และผลลัพธ์ของการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น นอกเหนือจากสิ่งที่เป็นทางการ ดังนั้นกิจกรรมการเรียนรู้ของวัยรุ่นและผู้ใหญ่จึงอยู่นอกเหนือขอบเขตที่มีการ บันทึกไว้ นอกจากการวัดเชิงปริมาณแล้วประเด็นเชิงคุณภาพและความก้าวหน้าของการเรียนรู้ตลอดชีวิต ต้อง มีการพิสูจน์ให้เห็นว่าระบบโครงสร้างเชิงสถาบัน เชิงกฎหมายและเชิงนโยบาย เอื้อต่อการสนับสนุนการเรียนรู้ ตลอดชีวิตได้ดีอย่างไร
ระบบการศึกษาไทยยังจัดเป็นระบบการศึกษาในระบบโรงเรียน การศึกษานอกระบบโรงเรียน และ การศึกษาตามอัธยาศัย ในการจัดระบบการศึกษาตามแนวพระราชบัญญัติฉบับนี้ จะไม่พิจารณาแบ่งแยก การศึกษาในระบบโรงเรียนออกจากการศึกษานอกระบบโรงเรียน แต่จะถือว่าการศึกษาในระบบ การศึกษา นอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยเป็นเพียงวิธีการเรียนการสอน หรือรูปแบบของการเรียนการสอนที่ ภาษาอังกฤษใช้คาว่า “Modes of learning” ฉะนั้น แนวทางใหม่คือสถานศึกษาสามารถจัดได้ทั้ง 3 รูปแบบ
-138-
และให้มีระบบเทียบโอนการเรียนํรูทั้ง 3 รูปแบบ โดยพระราชบัญญัติการศึกษาฯ มาตรา 15 กล่าวว่าการจัด การศึกษามีสามรูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย คือ
(1) การศึกษาในระบบ เป็นการศึกษาที่กาหนดจุดมุ่งหมาย วิธีการศึกษา หลักสูตร ระยะเวลาของ การศึกษา การวัดและการประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการสาเร็จการศึกษาที่แน่นอน
(2) การศึกษานอกระบบ เป็นการศึกษาที่มีความยืดหยุ่นในการกาหนดจุดมุ่งหมาย รูปแบบวิธีการจัด การศึกษา ระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขสาคัญของการสาเร็จการศึกษา โดย เนื้อหาและหลักสูตรจะต้องมีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของบุคคลแต่ละกลุ่ม
(3) การศึกษาตามอัธยาศัย เป็นการศึกษาที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตามความสนใจศักยภาพ ความพร้อมและโอกาส โดยศึกษาจากบุคคล ประสบการณ์ สังคม สภาพแวดล้อม หรือแหล่งความรู้อื่นๆ สถานศึกษาอาจจัดการศึกษาในรูปใดรูปแบบหนึ่งหรือทั้งสามรูปแบบก็ได้ให้มีการเทียบโอนผลการเรียนที่ ผู้เรียนสะสมไว้ในระหว่างรูปแบบเดียวกันหรือต่างรูปแบบได้ไม่ว่าจะเป็นผลการเรียนจากสถานศึกษาเดียวกัน หรือไม่ก็ตาม รวมทั้งจากการเรียนรู้นอกระบบตามอัธยาศัย การฝึกอาชีพหรือจากประสบการณ์การทางาน การสอน และจะส่งเสริมให้สถานศึกษาจัดได้ทั้ง 3 รูปแบบ
คุณลักษณะพิเศษของแนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต
1. มีมุมมองอย่างเป็นระบบ สิ่งนี้คือคุณลักษณะที่พิเศษที่สุดของการเรียนรู้ตลอดชีวิต กรอบแนวคิดการ เรียนรู้ตลอดชีวิตของอุปสงค์ (Demand) และ อุปทาน (Supply) ของโอกาสการเรียนรู้ ที่เป็นส่วนหนึ่งของ ระบบที่มีความเชื่อมโยงกัน ซึ่งครอบคลุมวงจรชีวิตทั้งหมด และประกอบด้วยรูปแบบ ต่างๆ ของการเรียนรู้ทั้ง ที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ
2. มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มีการเปลี่ยนจากมุ่งเน้นด้านอุปทาน (Supply) เป็นศูนย์กลางในรูปแบบการ จัดการศึกษาเชิงสถาบันที่เป็นทางการไปสู่ด้านอุปสงค์ (Demand) ที่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนเป็น หลัก
3. มีแรงจูงใจที่จะเรียน ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จาเป็นสาหรับการเรียนรู้ที่มีความต่อเนื่องตลอดชีวิต ทั้งนี้ต้อง มุ่งเน้นที่จะพัฒนาขีดความสามารถในการเรียนรู้ที่จะเรียนรู้ด้วยตนเองและการเรียนรู้ที่ตนเองเป็นผู้ชี้นา
4. มีวัตถุประสงค์ของนโยบายการศึกษาที่หลากหลาย มุมมองวงจรชีวิตที่ให้ความสาคัญกับเป้าหมาย การศึกษาที่หลากหลาย อาทิ การพัฒนาบุคลิกภาพ การพัฒนาความรู้ วัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจ สังคมและ วัฒนธรรม และการจัดลาดับความสาคัญของวัตถุประสงค์เหล่านี้อาจเปลี่ยนไปในแต่ละช่วงชีวิตของคนหนึ่งคน
-139-
ความสาคัญและหลักของการพัฒนาตนเอง
ในสภาพการณ์ของสังคมที่ความรู้เป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดและเป็นสิ่งจาเป็นของการเรียนรู้เพื่อ สร้างความก้าวหน้าให้กับหน้าที่การงานและชีวิต ในฐานะที่ผู้เขียนทางานในสายงานบริหารทรัพยากรบุคคล จึงขอฝากเกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับการทางานไว้ให้ได้เรียนรู้กัน แม้การเปลี่ยนแปลง จาเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ได้และการเปลี่ยนแปลงเองก็ย่อมส่งผลกระทบในทางใดทางหนึ่งในระยะสั้นหรือระยะยาวหรือไม่ช้าก็เร็วก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่การเปลี่ยนแปลงนาพ่วงติดมาด้วยก็คือ สัญญาณเตือนเพื่อให้บุคลากรในองค์การต้องเร่งปรับตวั บางประการ อันได้แก่
1) ปรับใจ
โดยต้องเตรียมตัวให้พร้อมสาหรับความไม่มั่นคงในอาชีพข้าราชการ ซึ่งคนทางานภาคเอกชนได้ ประสบมาแล้วในช่วงภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจหมายความว่า บุคลากรในองค์การควรเตรียมพร้อมสาหรับการ ออกจากงาน การโยกย้ายไปประจาหน่วยงานอื่น การเปลี่ยนตาแหน่ง การทางานโดยมีเป้าหมายผลงาน การ ปรับให้เป็นข้าราชการกึ่งประจา หรือการทางานในรูปของสัญญาและการทางานบางส่วนของเวลา ซึ่งล้วน ส่งผลกระทบถึงรายได้ประจาที่เคยได้รับทั้งสิ้น
2) ปรับตัว
การทางานยุคใหม่ต้องการความรู้ความสามารถที่แตกต่างกันไปจากเดิมคือต้องมีความรู้และทักษะ ด้านคอมพิวเตอร์ ภาษาต่างประเทศ เทคโนโลยีด้านโทรคมนาคม ข่าวสารและอิเล็กทรอนิกส์รวมทั้งการพัฒนา บุคลิกภาพ ความสามารถในการสื่อความ มนุษย์สัมพันธ์และความเป็นผู้นาตลอดจนการติดตามวิทยาการและ เทคโนโลยีใหม่ๆที่ทันสมัยเกี่ยวกับงานที่รับผิดชอบอยู่ในลักษณะการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
3) ปรับทัศนคติ
เช่น ข้าราชการจาเป็นต้องเปลี่ยนความคิดที่ว่าการทาราชการเป็นงานมั่นคง ข้าราชการคือคนที่มี พื้นฐานอานาจรัฐสนับสนุน การมีตาแหน่งหน้าที่เจริญก้าวหน้าในงานเป็นเป้าหมายของอนาคตของข้าราชการ หรือความคิดเรื่องการทางานในสานักงานโดยมีเวลากาหนดที่แน่นอน เช่น 8.30-16.30 และมีสถานที่ทางานที่ แน่นอน
การเตรียมตัวเพื่อให้เกิดความพร้อมที่จะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งก็คือการพัฒนาตนเอง (Self-Development) อย่างต้อเนื่องเพื่อให้มีลักษณะเป็นบุคคลที่สมบูรณ์ และนักวิชาการได้ให้ความหมาย ของการพัฒนาตนเองไว้ ดังนี้
1) การพัฒนาตนเอง เป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ปฏิบัติงานได้มีการพัฒนาตนเองเพื่อให้มีความรู้ ความสามารถดีขึ้น การพัฒนาตนเองเป็นเรื่องที่บุคคลแต่ละคนต้องกระทาด้วยตัวเขาเองโดยบุคคลอื่นมีส่วน ช่วยเหลือและสนับสนุนเพียงบางส่วนเพื่อให้ตนเองมีความรู้ความสามารถดีขึ้น
-140-
2) การพัฒนาตนเอง หมายถึง การเสริมสร้างความรู้และการปรับปรุงตนเองให้มีความรู้ความเข้าใจ ทักษะความชานาญและความสามารถในการปฏิบัติงานที่ตนรับผิดชอบอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการพัฒนาด้าน ร่างกายและจิตใจ
3) การพัฒนาตนเอง เป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนเรียนด้วยตนเองและสามารถปรับปรุงตนเองให้เจริญงอก งาม ทั้งด้านประสิทธิภาพในการทางาน ด้านปัญญาและด้านคุณธรรมด้วย ทาให้การทางานหรือการดารงชีวิต อย่างมีความหมาย การศึกษาด้วยตนเองหรือการพัฒนาตนเองเป็นปัจจัยที่สาคัญต่อการพัฒนาทั้งปวง คนที่ ต้องการพัฒนาต้องหาทางเรียนรู้และปรับปรุงตนเองให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพในการดารงชีวิตและหน้าที่ การงาน
4) การพัฒนาตนเอง หมายถึง ความกระตือรือร้นส่วนบุคคลที่จะเรียนรู้รับสิ่งแปลกใหม่ลองปฏิบัติใน สิ่งที่แตกต่าง ขวนขวายไม่หยุดนิ่งซึ่งจะช่วยเสริมความเจริญเติบโตตามธรรมชาติให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และจะช่วยตอบสนองโอกาสการพัฒนารูปแบบอื่นๆ ให้ได้ผลดียิ่งขึ้น
สรุปได้ว่า การพัฒนาตนเองเป็นหน้าที่หลักของมนุษย์ ซึ่งการจะบรรลุความสาเร็จในการพัฒนาตนเอง ได้ย่อมต้องอาศัยองค์ประกอบหลายประการ รวมทั้งการจัดหรือควบคุมตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ บุคคลที่มี ความเชื่อในตนเองว่ามีความสามารถในการควบคุมตนเองให้ดาเนินชีวิตไปตามเป้าหมายประสงค์หรือ อุดมการณ์แห่งตนได้ย่อมจะพบกับความเจริญงอกงามได้ไม่ยากนัก
การพัฒนาตนเอง ไม่ใช่เพียงแต่การทาให้พฤติกรรมที่มีปัญหาหมดไปเท่านั้น แต่เพื่อประโยชน์ในการ จัดการกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้มีประสิทธิภาพมากกว่าในอดีต เป็นการเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อที่จะมี อิสระที่จะเลือกทาพฤติกรรมเพื่อสิ่งที่สุดของตน โดยการพัฒนาตนเองมีความสาคัญที่พอสรุปได้ดังนี้
1) เพื่อที่จะได้รู้จักตนเองตรงตามความเป็นจริง ทั้งส่วนที่เป็นจุดอ่อนและจุดแข็ง อันจะนาไปสู่การ ขจัดความรู้สึกที่ขัดแย้งภายในตัวบุคคลออกไป ก้าวมาสู่การยอมรับตนตามสภาพความเป็นจริง
2) เพื่อพร้อมที่จะปรับตัวไปในทางที่ดีขึ้น โดยการสร้างคุณลักษณะที่มีประโยชน์และลดหรือขจัด คุณลักษณะที่เป็นโทษกับชีวิตและสังคม ทั้งนี้เป็นการกระทาด้วยความสมัครใจ
3) เพื่อวางแนวทางในการที่จะพัฒนาชีวิตไปสู่เป้าหมายที่ต้องการได้อย่างเป็นระบบและมีคุณภาพ ความเชื่อพื้นฐานของบุคคลในการพัฒนาตนเองเป็นสิ่งสาคัญที่ช่วยส่งเสริมให้การพัฒนาตนเองประสบ ความสาเร็จ ซึ่งมีแนวคิดดังต่อไปนี้
3.1) มนุษย์ทุกคนมีเอกลักษณ์ มีศักยภาพที่มีคุณคาเป็นของตนเอง และทุกคนสามารถฝึกหัด พัฒนาได้ในทุกข์เรื่อง
3.2) ไม่มีใครที่มีความสมบูรณ์ไปหมดทุกด้าน จนไม่สามารถจะได้พัฒนาได้อีก
3.3) แม้จะไม่มีใครรู้จักตัวเองได้ดีเท่าตัวเอง แต่ในบางเรื่องตนเองก็ไม่สามารถจัดการปรับเปลี่ยน ได้ด้วยตนเอง
-141-
3.4) การควบคุมสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ และทางสังคม กับการควบคุมความคิดความรู้สึกและ การกระทาของตนเอง มีผลกระทบซึ่งกันและกัน
3.5) อุปสรรคสาคัญของการปรับปรุงและพัฒนาตนเองคือ การที่บุคคลไม่ยอมปรับเปลี่ยนวิธีคิด ว ิธ ีการปฏิบ ัติ ไม่สร้างนิส ัยและฝึกทั กษ ะใหม่ๆ ที่จ า เ ป ็ น
3.6) การพัฒนาตนเองดาเนินการได้ทุกเวลา เมื่อต้องการหรือพบปัญหาข้อบกพร่องหรือพบ อุปสรรค ยกเว้นคนที่ประกาศว่า ตนมีความสมบูรณ์ไปหมดทุกด้านแล้ว
หลักของการพัฒนาตนเอง มีสาระ ดังนี้
1) การพัฒนาตนเองต้องเกิดจากความเต็มใจและสมัครใจ ผู้ที่พัฒนาตนจะต้องมีความต้องการที่จะ เปลี่ยนแปลงตนเองด้วยตัวบุคคลนั้นเอง โดยปราศจากความรู้สึกว่าถูกบังคับ ซึ่งความเต็มใจนี้เกิดขึ้นจากปัจจัย สาคัญประการหนึ่ง คือ การตระหนักรู้ถึงปัญหาและความจาเป็นในการเปลี่ยนแปลงตนเอง หมายถึง ผู้ที่จะ พัฒนาตนเองจะต้องมีความใส่ใจมีการติดตามสังเกตตนเองในแง่พฤติกรรมการแสดงออกความคิดและอารมณ์ ความรู้สึกในสถานการณ์ต่างๆ อย่างเป็นปัจจุบัน ซึ่งจากการรู้ตนเองเกี่ยวกับพฤติกรรมการแสดงออก ความคิด และอารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้ จะทาให้บุคคลเกิดการตระหนักรู้ถึงปัญหาและความจาเป็นของการเปลี่ยนแปลง ตนเอง พร้อมทั้งมีความมุ่งมันที่จะฝ่าฟันอุปสรรคและการผลักดันตนเองเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายได้
2) ผู้ที่ต้องการพัฒนาตน ต้องเป็นผู้ที่มีบทบาทหลักในการลงมือพัฒนาตนด้วยตนเอง หมายถึง ผู้จะ พัฒนาตนตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อชีวิตตนเองว่าไม่มีใครมาลงมือแทนตนเองได้ ถึงแม้ว่า ในการ เปลี่ยนแปลงตนเองอาจจะได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อน พ่อแม่ หรือครูอาจารย์ร่วมด้วยแต่อย่างไรก็ตามผู้ที่มี บทบาทหลัก คือ ผู้ที่ต้องการพัฒนาตนเองนั่นคือ การพัฒนาตนเป็นความรับผิดชอบของบุคคลผู้จะพัฒนาหรือ เปลี่ยนแปลงตนเอง
3) มนุษย์ทุกคนมีความสามารถที่จะควบคุมและจัดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมและปัจจัยภายใน ตนเองเพื่อการพัฒนาตนเองได้ แม้ว่าสภาพแวดล้อมภายนอกและความคิดความรู้สึกซึ่งเป็นสภาวะภายในตัว บุคคลจะส่งผลรวมกันต่อพฤติกรรมมนุษย์ แต่ผู้ที่จะควบคุมและจัดการให้ตัวเรามีการพัฒนาคนหรือมี พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมก็คือ ตัวเราเอง
4) การพัฒนาตนเอง เป็นการเปลี่ยนแปลงตนเองที่มีขอบเขตของจุดมุ่งหมายครอบคลุมทั้ง 3 ดา้ น คือ เพื่อการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เพื่อการปอ้ งกันการปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต และเพื่อการสร้าง เสริมศักยภาพของตนให้สูงขึ้น
5) การพัฒนาตนเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องตลอดชีวิตเพื่อความสุขและความงอกงามของตนเอง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความสุขและความงอกงามของสังคมส่วนรวมด้วยเช่นกัน
-142-
สรุป
ทปี่ระชุมสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาได้นิยามความหมายของการพัฒนาอย่าง ยั่งยืนไว้ว่า หมายถึง การพัฒนาที่สนองความต้องการของคนในปัจจุบัน โดยไม่ทาให้อนุชนรุ่นหลังสูญเสีย โอกาสในการพัฒนาเพื่อสนองความต้องการของเขาเองด้วยหรือกล่าวอีกอย่างได้ว่า การพัฒนาที่ต้องคานึงถึง ผลกระทบด้านต่างๆ 3 ด้านหลัก คือ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านสิ่งแวดล้อมทั้ง 3 ด้านมีความเชื่อมโยง สัมพันธ์กัน และขณะเดียวกันควรใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมต่อสภาพเศรษฐกิจสังคมและความต้องการของ ประเทศ เทคโนโลยีบางเรื่องเหมาะสมกับบางประเทศ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะของแต่ละประเทศองค์การอนามัย โลก กล่าวถึงคุณสมบัติของคาว่าเทคโนโลยีที่เหมาะสมคือ เหมาะสม ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ ปรับปรุง ให้เข้ากับสภาวะท้องถิ่นได้ เป็นที่ยอมรับของประชาชนในท้องถิ่น สามารถนาไปสู่การพึ่งพาตนเองได้ตลอด จนถึงการตรหนักรู้การใช้เทคโนโลยีและการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ต่อไป
คาถามท้ายบท
1. จงอธิบายความหมายของคาว่า “การพัฒนาที่ยั่งยืน” (Sustainable Development) 2. จงอธิบายความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม
-143-
เป็นธรรม
เศรษฐกิจ
สังคม
สังคม
เศรษฐกิจ
สิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดลอ้ ม
พ่ึงพา
เติบโต
ยั่งยืน
3. จงอธิบายว่า เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการพัฒนาที่ยั่งยืน มีความสอดคล้องกับ หลักเศรษฐกิจ พอเพียง อย่างไร พร้อมท้ังยกตัวอย่างประกอบ
4. แนวทางในการปฏิบัติที่จะไปสู่การพัฒนาส่ิงแวดล้อมที่ย่ังยืน มีก่ีแนวทาง อะไรบ้าง
5. จงอธิบายถึงผลกระทบและปัญหาสังคมที่เกิดจากเทคโนโลยีสนเทศ ได้แก่อะไรบ้าง และแนวทางการ แก้ไขเป็นอย่างไร
-144-
บรรณานุกรม
กิตติพันธ์ นพวงศ์ ณ อยุธยา. 2552. รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการวิจัยปฏิบัติการเสริมพลังความมั่นค ของชาติมิติสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตามรอยพระยุคลบาทเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียง : ธรรมาธิปไตย ในพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช . ปัตตานี : ศูนย์ศึกษาและพัฒนาธรรมาธิปไตย.
กิตติพันธ์ นพวงศ์ ณ อยุธยา. 2554. ข้อเสนอโครงการวิจัยปฏิบัติการ : “บูรณาการพลังชีวิตธรรมาธิปไตย เด็ก เยาวชน และครอบครัวในพื้นที่ภาคใต้ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”. กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษา-และพัฒนาธรรมาธิปไตย.
กิตติพันธ์ นพวงศ์ ณ อยุธยา. ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง:\ \Administrator\Desktop\3detail_php.mht. บงกช นพวงศ์ ณ อยุธยาและคณะ. 2554. รายงานวิจัยประเมินผลเชิงระบบเรื่อง : งานบูรณาการการพัฒนา เกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัย (2543) สิ่งแวดล๎อมเทคโนโลยีและชีวิต (พิมพ์ครั้งที่ 4) กรุงเทพมหานคร: สานัก
พิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 1. เกษม จันทร์แก้ว (2540) วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร: โครงการสหวิทยากรบัณฑิตศึกษาสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล๎อม ภาควิชา อนุรักษ์วิทยา คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ขบวน พลตรี (2530) ตารา-เอกสารวิชาการฉบับที่ 7 ภาคพัฒนาตาราและเอกสารวิชาการกรมการฝึกหัดครู คณาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร. (2550). เอกสารประกอบการสอนมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม.
มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร กรุงเทพฯ.
ครรชิต มาลัยวงศ์.(2538). เทคโนโลยีสารสนเทศ. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยกรุงเทพ.
จารุวรรณ วิโรจน์ และจรัมพร ยุคะลัง ปัญหาการติดเกมคอมพิวเตอร์ต่อสุขภาพของนิสิต คณะสาธารณสุข
ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
ชัยพจน์ รักงาม.(2540). เทคโนโลยีสารสนเทศ. วารสารวิทยบริการ.
ซ้ายขวัญ (2536) วิทยาศาสตร์กับสังคม (SCIENCE AND SOCIETY) หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมการฝึกหัด ถนอมพร เลาหจรัสแสง.(2542). อินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษา.วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร. ทักษิณา สวนานนท์.(2530). คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา.
ปทีป เมธาคุณวุฒิ.(2544). เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารสถาบันอุดมศึกษา.กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์แห่ง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.ครู
ณรงค์ เส็งประชา (2532) มนุษย์กับสังคม (ฉบับปรับปรุงใหม)่ กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์โอเดียนสโตร์. ดลฤดี เพชรสุวรรณ และศิริไชย หงษ์สงวนศรี พฤติกรรมการเล่นเกมและภาวะการติดเกมคอมพิวเตอร์ในเด็ก
และวัยรุนที่มารับการรักษา
-145-
นิพนธ์ พังพงศกรและคณะ. 29-30 พฤศจิกายน 2546. สานักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ. 24 พฤศจิกายน 2546
ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กรุงเทพมหานคร (แผ่นพับ เผยแพร่) . มณจันทร์ เมฆธน, พุทธพร สว่างศรี และวีรภาพ เจริญวิริยะภาพ (2543) สิ่งแวดล๎อม เทคโนโลยีและชีวิต กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
ราตรี ภารา (2538) ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล๎อม กรุงเทพมหานคร: ทิพย์วิสุทธิ พจนานุกรมฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. (2546). กรุงเทพมหานคร : นานมีบุคพับลิคเคชั่น.
วิชัย เทียนน้อย (2539) การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ กรุงเทพมหานคร: อักษรวัฒนา.
ศูนย์เครอื ข่ายการดาเนินงานด้านนิเวศเศรษฐกิจและการผลิตที่สะอาด (ม.ป.ป.) เครือข่ายการดาเนินงานด้าน
นิเวศเศรษฐกิจและการผลิตที่สะอาด : Thailand Network of Eco-efficiency and Cleaner Production. สานักงานสานักมาตรฐานการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการ พัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์. 2548.
เสถียร โกเศศ (2515) วัฒนธรรมเบื้องต้น พระนคร : ไทยวัฒนาพานิช.
สุพิศวง ธรรมพันทา (2540) เอกสารคาสอนมนุษย์กับสังคม (MAN & SOCIETY). กรุงเทพมหานคร : ด.ี ดี.
บุคสโตร์.
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ.(2539).ไอที 2000 นโยบาย เทคโนโลยีสารสนเทศ
แห่งชาติ.กรุงเทพฯ : สานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ. สานักนายกรัฐมนตรี.(2535). ระเบียบว่าด้วยการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ พ.ศ. 2535.
กรุงเทพฯ : สานักนายกรัฐมนตรี.
สุชาดา กีระนันท์.(2541). เทคโนโลยีสารสนเทศสถิติ: ข้อมูลในระบบสารสนเทศ. กรุงเทพฯ :โรงพิมพ์แห่ง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สุเมธ วงค์พานิชเลิศ.(สิงหาคม-กันยายน 2538) 80-82. “เทคโนโลยีสารสนเทศ” วารสาร สสท.
สนธยา พลศรี (2547) ทฤษฏีและหลักการพัฒนาชุมชน กรุงเทพมหานคร : โอ.แอส. พริ้นติ้ง เฮาส์ สานักคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติสานักนายกรัฐมนตรี บทสรุปยุทธศาสตร์การเรียนรู้ตลอดชีวิต อิสมาอีล เจ๊ะนิ ศูนย์ศึกษาและพัฒนาธรรมาธิปไตย
Zander, James W. Vander. (1990). Sociology : The Core. 2nd ed. New York McGraw-Hill. ภัยจากเทคโนโลยี.[ออนไลน์].เขา้ถึงได้จากhttp://sunnyjaa.blogspot.com/.
Ellington, H. and Harris, D.(1986). Dictionary of Instruction Technology.N.Y. Micholspublisings. UNESCO.(1974). Population education in Asia : Population quality-of-life themes. Bangkok : UNESCO Regional Office for Educational in Asia. https://sites.google.com/site/2200405muthita/e-book/bth-thi-7
การศึกษาตลอดชีวิต[ออนไลน์]เขา้ถึงได้จากhttp://dnfe5.nfe.go.th/ilp/liciti/longlife.html Lifelong Learning [ออนไลน์] เขา้ ถึงได้จาก http://www.learners.in.th/blogs/posts/388092 http://www.wikipedia.org EDUCATIONTECHNOLOGY[ออนไลน์]เขา้ถึงได้จากhttp://bussabong.blogspot.com. โลกปัจจุบันกับเทคโนโลยีเพื่อการสอนในอนาคต[ออนไลน์]เขา้ถึงได้จาก http://blog.eduzones.com/futurecareerexpo/94488 ความหมายของนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา[ออนไลน์]เขา้ถึงได้จาก http://54540044.blogspot.com/2012/06/2_19.html
www.dhamma4u.com http://www.thidarath.myreadyweb.com/article/topic-8095.html http://www.youngmea.com/page_bx.php?cid=23&cno=468 http://hilight.kapook.com/view/45580 http://www.247friend.net/blog/Anatomii/2011/01/06/entr
-146-